๕๖
♦ วาสนาอีกชาติหนึ่ง ♦
……………

สองวันผ่านพ้นไป ล้วนไม่มีเหตุการณ์อุบัติขึ้น กิมเม้งตี้ขณะที่นั่งผนึกลมปราณ พลันได้ยินนอกประตูห้องแว่วสำเนียงอันแผ่วเบาคล้ายดั่งใบไม้ร่วง

            มันสะท้านใจวาบ คำนึงว่า

“…นี่แสดงว่าเป็นเสียงฝีเท้าเหยียบย่ำพื้นดินของผู้มีพลังฝีมือสูงเยี่ยม บุคคลนี้สามารถเร้นกายเข้ามาในระยะใกล้ชิด เราค่อยรู้สึกตัว ทั้งๆ ที่กำลังนั่งผนึกกำลัง อาศัยวิชาตัวเบาเช่นนี้ก็นับว่าน่าสะท้านโลก…”

ดังนั้นจึงกระทำตามแผนที่กำหนดไว้ ล้มกายลงบนเตียงนอน แสดงท่วงท่ากำลังหลับใหล

ประตูห้องพลันถูกผู้คนผลักเปิดออก บังเกิดสุ้มเสียงดังขึ้น

กิมเม้งตี้เพียงลืมตาข้างเดียวมองออกไป แลเห็นหน้าประตูยืนหยัดไว้ด้วยบุรุษชุดดำสนิท ศีรษะใช้ผ้าดำคลุมปกปิดโฉมหน้าเอาไว้

เพราะเหตุนี้ กิมเม้งตี้จึงเพียงสามารถคำนวณจากส่วนสัดของผู้ที่มาว่า ฝ่ายตรงข้ามหาใช่ผู้ชราภาพ สำหรับใบหน้าท่าทางมิอาจทราบได้

มันรีบพริ้มตาลง แสดงท่วงท่าที่ทอดอาลัย ผู้คลุมหน้าชุดดำมีประกายตาดั่งสายฟ้า เขม้นมองอย่างคมกล้าอยู่เนิ่นนาน จึงกล่าวอย่างเย็นชาว่า

“แฮ่โฮ้วคง ท่านทราบว่าเราเป็นใครหรือไม่?”

กิมเม้งตี้พลันคำนึงขึ้นว่า

“…แย่แล้ว หากแม้นพวกมันเคยรู้จักกัน ละครฉากนี้ก็ไม่ต้องแสดงเลย…”

ทั้งนี้ก็เพราะ ขอเพียงแต่กิมเม้งตี้เอ่ยปากขึ้นจากสุ้มเสียงจะทำให้เป็นพิรุธ ดังนั้นมันจึงแสร้างเป็นมิได้ยินไม่แยแสสนใจ

ผู้คลุมหน้าชุดดำกล่าวอีกว่า

“เมื่อเป็นเช่นนี้แสดงว่า กี้เฮียงเค้งได้ตกตายไปแล้ว มาตรมิเช่นนั้นกิมเม้งตี้ ย่อมต้องฆ่าท่านเพราะความหึงหวง”

กิมเม้งตี้ยังไม่สนใจ ได้ยินฝ่ายตรงข้ามกล่าวสืบไปว่า

“ดูจากท่วงท่าท่าน แสดงว่าไม่คำนึงถึงความเป็นความตายจากสถาบันเรา ย่อมจดจำไว้ว่าสถาบันเรา จัดการกับผู้ทรยศอย่างไร

เราหากลงมือ ท่านคิดขอชีวิตก็มิทันท่วงที แต่เราย่อมมิลงมืออย่างง่ายดาย เพราะได้ยินว่าท่านมีภูมิปัญญาอันยอดเยี่ยม คงคะเนล่วงหน้าได้ว่า สถาบันอำมหิตจะส่งผู้คนมา ดังนั้นท่านย่อมมีหนทางสังหารตัวเอง

กิมเม้งตี้ได้ยินถึงตอนนี้ ก็ทราบว่ามันคราก่อนไม่เคยพบเห็นแฮ่โฮ้วคง จึงปลอดโปร่งวางใจ ลุกขึ้นมาในท่านั่ง เอื้อมมือหยิบฉวยห่อกระดาษใบหนึ่ง หัวร่อแค่นๆ กล่าวว่า

“น่าเสียดายที่เฒ่าบัดซบผู้นั้น (อลัชชีโลกันตร์) มิได้มาเอง และเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็ไม่มีโอกาสรอดชีวิตเลย”

ผู้คลุมหน้าชุดดำ เขม้นมองห่อกระดาษในมือของกิมเม้งตี้ ปากก็กล่าวว่า

“ในห่อผ้าเป็นวัตถุสิ่งใด?”

“ของวิเศษที่ในรอบร้อยปียากพบพานสิ่งหนึ่ง มีแต่เฒ่าบัดซบมาด้วยตนเอง จึงทราบถึงคุณค่า ยังเหนือล้ำกว่าฆ่าเราแฮ่โฮ้วคง ซึ่งหมายความว่ามันจะละเว้นชีวิตเราเพราะของวิเศษนี้”

“วาจาของท่านเป็นความจริง เราไม่เคยสนใจของวิเศษทั่วใต้หล้า และหากแม้วัตถุในมือของท่านคือของวิเศษ เราพอฆ่าท่านแล้ว ก็สามารถหยิบฉวยไป”

กิมเม้งตี้กล่าวว่า

“ท่านคิดง่ายดายเกินไปแล้ว ในห่อกระดาษของเรา มีวัตถุอยู่สองอย่าง หนึ่งคือของวิเศษล้ำค่า หนึ่งคือระเบิดเพลิงที่มีอานุภาพร้ายแรง พอแตกระเบิด ในรัศมีสิบวาไม่มีผู้คนรอดชีวิตได้อย่างเด็ดขาด”

มันวางห่อกระดาษลงบนเตียง รั้งมือขึ้นหมายกดกระแทกลง

ผู้คลุมหน้าชุดดำพุ่งควับไปไกลโข ปฏิกิริยาคล้ายดั่งสายฟ้าแลบพุ่ง ว่องไวราวกับภูตพราย

กิมเม้งตี้หัวร่อ ฮา ฮา กล่าวว่า

“ไม่มีกำลังขวัญเสียเลย หากแม้นวาจาของเราล้วนโป้ปด ไยมิใช่พอถูกข่มขู่ท่านก็หลงกล”

ผู้คลุมหน้าชุดดำแค่นหัวร่ออย่างเย็นชากล่าวว่า

“เราไยต้องเสี่ยงอันตราย มิว่าอย่างไร ท่านก็ไม่อาจรอดพ้นจากเงื้อมมือของเรา”

“อือม์ ท่านถนัดในวิชาฝีมือแขนงใด?”

“เราใช้แต่ฝ่ามือเปล่าเปลือยคู่นี้ มิว่าท่านจะใช้อาวุธอย่างไรก็สามารถปลิดชีวิตท่านอย่างว่าง่าย”

“นั่นกลับมิแน่นัก ในสองวันมานี้ ได้ตีความแตกฉานท่าดาบอันสูงเยี่ยมมิน้อย ซึ่งกิมเม้งตี้ถ่ายทอดต่อมา ในวันนี้เราลองสามารถพิสูจน์ความเป็นความตายของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด”

มันพุ่งปราดขึ้น หยิบฉวยห่อกระดาษถาโถมเข้าหาฝ่ายตรงข้าม พลางแสดงท่าทางหมายจะเหวี่ยงห่อกระดาษในมือ

ผู้คลุมหน้าชุดดำถอยกายอย่างปราดเปรียว เนื่องจากมันยังจดจำกำชับของอลัชชีโลกันตร์ว่า

“หากแม้นกี้เฮียงเค้งตายไปจริงๆ แฮ่โฮ้วคงก็ไม่คิดมีชีวิต ในยามนั้นจะต้องระวังว่า มันจะใช้วิธีตกตายตามกัน”

กิมเม้งตี้แค่นหัวร่อเหยียดหยามฝ่ายตรงข้าม และสาวเท้าก้าวออกจากห้อง ไปทางหลังสวน ผู้คลุมหน้าชุดดำก็ติดตามอย่างกระชั้นชิด และมิมีทีท่าขุ่นเคืองเพราะการถูกดูแคลนเลย

ฝ่ายกิมเม้งตี้ ซึ่งแอบอ้างเป็นแฮ่โฮ้วคงในขณะนี้ ได้วิ่งมาถึงข้างหลุมฝังศพ เปิดแผ่นศิลาปากทางเข้าขึ้นก่อน แล้วจึงลงมาจากเนินดิน คุกเข่ากราบกรานที่หน้าหลุม เวลาลุกขึ้นพลันเหวี่ยงห่อกระดาษลงบนพื้นดิน

ผู้คลุมหน้าชุดดำผู้นั้น เห็นอย่างชัดเจนว่า ห่อกระดาษพอตกถึงพื้นดิน หามีประกายไฟแลบกระจายออกมาแม้แต่น้อย จึงทราบว่าได้ถูกหลอกลวง

กิมเม้งตี้ร้องดังๆ ว่า

“อาเค้ง เราต้องใช้อุบาย จึงสามารถกราบไหว้ท่านตามสบาย บัดนี้เราจะอาศัยวิชาดาบพุทธไร้เทียมทานที่กิมเม้งตี้ถ่ายทอดให้ ต่อสู้กับทารกนี้ วิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของท่าน โปรดช่วยเหลือเราจะได้รับชัยชนะด้วย”

ผู้คลุมหน้าชุดดำถลันวูบเดียวก็อยู่ในระยะประชิดติดพัน ดวงตาของมันสาดประกายเจิดจ้าอย่างชั่วช้าอำมหิต สะบัดฝ่ามือฟาดเข้าใส่ พลันปรากฏมรสุมอันคลุ้มคลั่งทะลักออก ความเข้มแข็งของพลังฝ่ามือน่าแตกตื่นยิ่งนัก

กิมเม้งตี้มีใจสะท้านหวั่นไหว คำนึงว่า

“เรา… เราเคยเผชิญกับผู้มีฝีมือทั่วใต้หล้ามาแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดที่มีพลังฝีมือทัดเทียมกับเดียรัจฉานนี้ รู้สึกว่าคำตักเตือนของเฮียเค้งมิผิดพลาด ฝ่ายตรงข้ามได้สำเร็จวิชาหัตถ์เทยพดาไร้เทียมทานแล้ว!…”

ขณะครุ่นคิดอยู่นั้น ก็สะบัดดาบต่อต้าน ประกายดาบพอกรีดผ่าน ได้กระจายอย่างดุร้าย ผู้คลุมชุดดำอุทานดังเอ๊ะ สภาวะจู่โจมพลันเปลี่ยนไป

แลเห็นมันต่อยหมัดเตะเท้า บัดเดี๋ยวฝ่ามือบัดเดี๋ยวดรรชนี ทั้งไขว่คว้าคร่ากุม พลิกแพลงไม่มีที่สิ้นสุด แต่เต็มไปด้วยความมั่นคง

กิมเม้งตี้กวัดแกว่งดาบปัดป้อง มีทั้งรุกและรับ ดูอย่างผิวเผินทั้งสองฝ่ายคู่คี่ก้ำกึ่ง ยามกระทันหันยากจะจำแนกผลแพ้ชนะ

ทั้งสองฝ่ายหักล้างกันสี่สิบกระบวนท่า วิชาท่าร่างยิ่งต่อสู้ยิ่งพิสดาร เรือนร่างยิ่งเคลื่อนไหวยิ่งรวดเร็ว พอถึงภายหลังปรากฏแต่เงาร่างพุ่งฉวัดเฉวียนไม่มีทางแยกแยะโฉมหน้า

การพันตูผ่านไปอีกหลายสิบกระบวนท่า สภาพการณ์พลันเชื่องช้าลงมา ทั้งสองฝ่ายทุกๆ ท่าร่างเต็มไปด้วยความระมัดระวังไม่ต่อสู้อย่างเร่งร้อนอีก

มาตรแม้นว่าสภาวะแช่มช้าไปมากมาย แต่ความเผ็ดร้อนดุร้ายของสถานการณ์ มีแต่เพิ่มพูนขึ้นอีก ในรัศมีหลายวาพลังอันแกร่งกร้าวทะลักเปี่ยมล้น ก่อเกิดสำเนียงที่สะท้านขวัญ

กิมเม้งตี้สำนึกทราบว่า หากโรมรันกันเนิ่นนาน สำหรับกับมันมีแต่ผลร้าย จึงมุ่งหวังว่าในร้อยกระบวนท่าให้หลัง เสาะพบช่องว่างรอยโหว่ของคู่ต่อสู้ ลงมือพิฆาตเอาชัย

ดังนั้นจึงตวาดอย่างเกรี้ยวกราดว่า

“เพลงดาบหลายท่าที่เราได้รับถ่ายทอดจากกิมเม้งตี้เป็นอย่างไรน่าเสียดายที่มันไปแล้ว มาตรมิเช่นนั้นหากเป็นมันลงมือ ย่อมจัดการท่านได้”

ผู้คลุมหน้าชุดดำ แค่นหัวร่อดังเฮอะฮะ กล่าวว่า

“ท่านมิต้องเสแสร้างแกล้งดัดอีกต่อไป ท่านก็คือกิมเม้งตี้วิชาดาบพุทธไร้เทียมทานนี้ มีความยอดเยี่ยมอยู่บ้าง หากแม้นพลังภายในลึกล้ำกว่านี้ เราก็มิมีโอกาสเอาชัย”

กิมเม้งตี้ถูกมันเปิดโปง ทราบว่าแผนเดิมที่กำหนดไว้มิอาจใช้อีก จึงไม่ส่งเสียงกล่าววาจา ต่อต้านศัตรูอย่างสุดกำลัง

มันมีประสบการณ์ชำนิชำนาญ ทุกครั้งพอพบว่าฝ่ายตรงข้ามมีส่วนที่อ่อนด้อย ก็จะจู่โจมคุกคาม

ดังนั้นจวบจนบัดนี้ มันมิเพียงแต่ไม่มีวี่แววพ่ายแพ้ ยังสามารถรุกกระหน่ำอย่างสวยงาม แต่ทว่าหลังจากต่อสู้กันอีกหนึ่งร้อยกระบวนท่า กระบวนท่าผู้คลุมหน้าชุดดำ ยิ่งนานยิ่งแสดงอานุภาพพลังภายในที่ซุกซ่อนไว้ ยิ่งหนักแน่นดุดัน

นี่เป็นส่วนที่ร้ายกาจของวิชาดาบพุทธไร้เทียมทาน ควรทราบว่าไม้ตายแขนงนี้ ได้ผสมผสานจากวิชาสองแขนง หนึ่งคือเจ็ดกระบวนท่าซับซ้อน อีกหนึ่งคือประทับมุทิตา

วิชาทั้งสองแขนงนี้ เวลาสำแดงออก มีความพิสดารที่เสริมส่งช่วยเหลือกัน ประทับมุทิตาเป็นกำลังเทพยดาชนิดหนึ่ง สามารถทำให้เจ็ดกระบวนท่าซับซ้อนยิ่งลึกล้ำพิสดารขึ้น

และเจ็ดกระบวนท่าซับซ้อน ก็สามารถเสริมสร้างอานุภาพของประทับมุทิตา ทั้งสองสิ่งนี้ย่อมเกื้อหนุนกัน ดุจดั่งน้ำท่วมขึ้นเรือลอยสูง ไม่มีวันหยุดยั้งสิ้นสุด

กิมเม้งตี้หากแม้นไม่ใช้ดาบพุทธไร้เทียมทานเข้าต้านรับก็ต้องถูกพลังกดดันของฝ่ายตรงข้าม คุกคามจนไม่มีทางใช้ท่าร่าง แม้เป็นเช่นนั้น กิมเม้งตี้เนื่องจากพลังการฝึกปรืออ่อนด้อย จึงถูกกำลังภายในของฝ่ายตรงข้าม ทำให้เพลงดาบมิอาจร่ายรำตามใจนึก

นี่ย่อมเป็นการแยกแยะความสูงล้ำต่ำต้อย สำหรับด้านความเป็นความตาย เพียงแต่เป็นเรื่องช้าเร็วเท่านั้น

กิมเม้งตี้ทราบดีว่าผิดท่าไป พลันรวบรวมกำลังทั่วทั้งกายขยับข้อมือ สะบัดดาบ จู่โจมออกสามกระบวนท่าติดตามกัน

ผู้คลุมหน้าชุดดำ ย่อมไม่หักหาญอย่างเสี่ยงอันตราย จึงเสื่อมโทรมพลังการกดดัน ถอยปราดไปด้านหลังเล็กน้อย กิมเม้งตี้ฉวยโอกาสนี้ กระโดดออกจากวงต่อสู้

ผู้คลุมหน้าชุดดำ มิเพียงแต่ไม่ร้อนรน กลับหัวร่ออย่างชั่วร้าย เร่งเร้ากำลังฝ่ามือไล่ล่าฝ่ายตรงข้าม นี่แสดงว่าวิชาเทพยดานี้ลึกล้ำอย่างสุดแสน พอก่อเกิดเป็นพลังกระแสหนึ่ง ฝ่ายศัตรูแม้จะหลบหนีออกจากวง ก็ยากจะต้านทานอานุภาพกระแทกพลังฝ่าอากาศติดตามมา

กิมเม้งตี้พุ่งขึ้นไปบนหลุมฝังศพ ผู้คลุมหน้าชุดสีดำไล่ล่ามาทางด้านหลัง พลันตวาดก้องร้องขึ้น ฝ่ามือทั้งสองข้างผลักดันโดยพร้อมเพรียง บังเกิดกำลังฝ่ามืออันแกร่งกร้าวทะลักทลายใส่กลางหลังฝ่ายตรงข้าม

ฝีเท้าของกิมเม้งตี้แม้รวดเร็วกว่านี้ ก็ไม่อาจว่องไวกว่าพลังฝ่ามือเทพยดาของฝ่ายตรงข้าม หากสะบัดดาบกลับต้านทาน ฝ่ายตรงข้ามได้ผนึกพลังจนสุดตัว ยากที่จะได้รับไว้

ช่วงเวลานั้น กิมเม้งตี้ได้ย่อกายลง พลันจมลงไปในดิน กำลังฝ่ามือสายนั้นทะลักฝ่าข้ามศีรษะไป

ต้นสนโบราณที่อยู่นอกรัศมีหลายวา พลันหักโค่นลงมาดังกึกก้อง กิ่งใบปลิวกระจัดกระจาย บังเกิดเสียงดังเกรียวกราว

และกิมเม้งตี้ ได้หลบซ่อนอยู่ในหลุมอย่างปลอดภัย แผ่นศิลาบนศีรษะปิดสนิทเข้าหากันแล้ว

มิหนำซ้ำโลงศิลาที่บรรทุกมัน ในยามนี้ได้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว โยกย้ายไปแห่งอื่น เครื่องกลไลดังครืนครั่น

กิมเม้งตี้นั่งอยู่ในโลงไม้ หอบหายใจอย่างตลอดเวลา เบื้องหน้าสายตามืดทะมึน มิอาจแลเห็นสิ่งใด ชั่วครู่ให้หลังโลงไม้ก็หยุดชะงักไม่เคลื่อนไหว แต่ได้เคลื่อนห่างมาจากที่เดิมเจ็ดแปดวา

มันล้วงหยิบคบไฟ พอจุดขึ้นก็กวาดสายตา รอบบริเวณพบว่าตัวเองได้อยู่ในห้องศิลาที่กว้างขวางหลังหนึ่ง

ด้านข้างของมันมีโลงศิลาอีกใบหนึ่ง นอกจากนั้น ทั่วทั้งสี่ด้านมีแคร่ ไม้และหีบอยู่มิน้อย บนแคร่กองสุมไว้ด้วยสิ่งของมากมาย นอกหีบไม้ติดกระดาษ ระบุชื่อสิ่งของ

มันยามชำเลืองแล เห็นว่าหีบหลายใบบรรจุ กระดาษ เทียนไข ผลไม้แห้ง ใบชา ของจุกจิกต่างๆ กักตุนสรรพสิ่งของสามารถดำเนินชีวิตอย่างปรกติสามัญ

กิมเม้งตี้ก้าวออกจากโลง จัดการจุดเทียนไขหลายเล่ม จนสว่างไสวทั่วทั้งห้อง จากนั้นมันเริ่มสำรวจดูโลงศิลาใบนั้น

แลเห็นตัวโลง ประดับอยู่เหนือแกนศิลาอันหนึ่ง ตามคำบอกเล่าของแฮ่โฮ้วคง เพียงแต่หมุนเคลื่อนโลงศิลา ก็จะปรากฏบานประตู สามารถออกไป

ภายในโลงย่อมต้องเป็นซากศพของกี้เฮียงเค้ง กิมเม้งตี้มองอย่างเซื่องซึมอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงสำรวจดูรอบบริเวณ

ก่อนอื่นกิมเม้งตี้พบว่า ทางมุมห้องมีร่องน้ำแห่งหนึ่งบนผนังมีรูเล็กๆ ใช้จุกไม้อุดเอาไว้ มองวูบเดียวก็ทราบว่าเป็นลำน้ำบาดาลที่แฮ่โฮ้วคงกล่าวอ้างถึง

มันขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงตกลงว่าจะนั่งสงบสักครู่หนึ่งปัจจุบันนี้ ไม่อาจก่อไฟต้มน้ำชงน้ำชา ทั้งนี้ก็เพราะฝ่ายตรงข้าม ย่อมยังคงอยู่ด้านบน เสาะหาทางเข้าหลุมฝังศพ หากมีควันพวยพุ่งออก อย่างน้อยศัตรูจะทราบว่ามันยังอยู่ในหลุม สามารถอุดตายช่องระบายลม

หากแม้นกิมเม้งตี้อดรนทนดูสักหลายวัน แล้วค่อยจุดไฟฝ่ายตรงข้ามจะเข้าใจว่า มันอาศัยทางลับหลบหนีไป จึงเที่ยวสืบเสาะรอบบริเวณ ไม่อยู่ใกล้หลุมฝังศพ

กิมเม้งตี้ดับเทียนไขทั้งหมด จากนั้นนั่งขัดสมาธิอยู่ในโลง การต่อสู้เมื่อครู่นี้ นับว่าชั่วชีวิตยังมิเคยเผชิญมา เสื่อมสูญพลังไปมากมาย

เพราะเหตุนี้ การนั่งขัดสมาธิของมัน ค่อยฟื้นตื่นขึ้นมาเมื่อยามเช้าของวันรุ่งขึ้น

ภายในห้องแม้มืดมิดยิ่งนัก แต่กิมเม้งตี้มีสายตากล้าแข็งสามารถแลเห็นสภาพรอบกายโดยสังเขป มันเดินมาที่ริมร่องน้ำถอนจุกไม้บนผนัง น้ำใสกระแสหนึ่งก็ซัดกระฉอกลงไปในร่องน้ำ

ร่องน้ำนี้มหึมายิ่งนัก กิมเม้งตี้รู้สึกว่าจะต้องซุกซ่อนอยู่ในที่นี้สามถึงห้าเดือน ฝึกปรือดาบพุทธไร้เทียมทาน จึงตกลงใจว่า จะกักน้ำจนเต็มร่อง

มิทราบว่ารอคอยอยู่เนิ่นนานเท่าใด ร่องน้ำได้ล้นปรี่แล้วพลันแว่วเสียงดังเบาๆ คล้ายดั่งร่องนี้ จมลึกลงไปอีกหลายนิ้ว

กิมเม้งตี้รู้สึกตื่นเต้นสงสัย คาดคิดว่าจะเป็นเพราะพื้นดินอ่อนร่วน ไม่อาจต้านทานน้ำหนักของน้ำที่ขังเต็มหรือไม่? นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น จึงยื่นมือไปลูบคลำบนพื้นดิน

หาคาดไม่ว่า พื้นดินแข็งแกร่งยิ่งนัก ไม่มีทางยุบลง กิมเม้งตี้คลางแคลงใจอย่างใหญ่หลวง หยิบฉวยเทียนไขหลายเล่มจุดสว่างไสว ประดับอยู่ทั่วสี่ด้าน

ในห้องศิลาได้สว่างเจิดจ้า กิมเม้งตี้กำลังจะสำรวจพื้นดินทั่วห้อง พลันพบเห็นว่า บนพื้นห่างจากร่องน้ำทางขวามือหลายวา แผ่นศิลาก้อนหนึ่งได้พลิกขึ้นมา ปรากฏเป็นช่องกลวงแห่งหนึ่ง

กิมเม้งตี้บังเกิดความสงสัยใจ ถือเทียนไขเดินเข้าไปดู แลเห็นภายในช่องกลวงกลับมีหีบเหล็กรูปสี่เหลี่ยมสีแดงใบหนึ่งกว้างยาวประมาณหนึ่งเชียะ หนาครึ่งเชียะ

บนหีบติดกระดาษขาวใบหนึ่ง เขียนไว้ว่า “ฮูกุน (คำเรียกหาสามี) กิมเม้งตี้ โปรดเปิดออก” ซึ่งเป็นลายมือของกี้เฮียงเค้ง

กิมเม้งตี้ทราบว่าย่อมต้องมีเลศนัย จึงทั้งตึงเครียดทั้งลิงโลด ชั่วครู่ค่อยสงบจิตใจหยิบฉวยหีบเหล็ก จัดการเปิดฝาหีบออกมา

แลเห็นภายในหีบบรรจุสิ่งของมิน้อย มีจดหมาย ขวดยา เข็มทอง กรรไกรเล็กๆ กับมีดเล็ก

กิมเม้งตี้ ฉีกจดหมายออกอ่านดูด้วยจิตใจที่เร่งร้อน แลเห็นมีใจความว่า

“ฮูกุน ท่านสามารถลงมือตามคำบอกเล่าถัดจากนี้ไป ช่วยให้ข้าพเจ้าฟื้นคืนชีวิต แต่หากแม้นพบจดหมายนี้หลังที่ข้าพเจ้าถูกบรรจุฝังสองร้อยวันแล้ว แม้จะมียาวิเศษและกรรมวิธียอดเยี่ยม ก็ยากจะคืนวิญญาณ”

หลังจากนั้นก็เป็นการอธิบายว่า จะช่วยเหลืออย่างไรซึ่งครอบคลุมกรรมวิธีทั้งใช้เข็มทองทิ่มแทงจุดกรีดเนื้อตัดชีพจรถ่ายโลหิตต่างๆ นานา

กิมเม้งตี้ทั้งแตกตื่นทั้งปีติ คำนึงว่า

“…นางบอกว่า ขอเป็นภรรยาของเราในชาติหน้า บัดนี้นางได้ตายไปแล้วจริงๆ แต่หากแม้นเราหากอีกสองร้อยวันค่อยมาถึงที่นี้ หรือแฮ่โฮ้วคงอัตวินิบาตกรรมตัวเอง จนปากสุสานถูกปิดตายนางก็จะถูกฝังอยู่ในใต้ดินตลอดกาล…”

ความคาดคิดเหล่านี้ สามารถเป็นไปได้อย่างยิ่ง ดังนั้นปรากฏการณ์ครานี้นับว่าหวาดเสียวเปี่ยมอันตรายยิ่งนัก

กิมเม้งตี้ดูวิธีการช่วยเหลือ จดจำจนแม่นยำ เชื่อมั่นว่าไม่มีการผิดพลาด แล้วจึงเริ่มลงมือ

มาตรแม้นว่ากิมเม้งตี้จะมีพลังฝีมือสูงล้ำ กำลังขวัญเหนือมนุษย์ แต่นี่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของกี้เฮียงเค้ง กอปรกับกรรมวิธีละเอียดถี่ยิบ เวลาดำเนินการสับสนยุ่งเหยิง จนก่อกวนมันจนเหงื่อกาฬแตกชุ่มโชก ค่อยประสบความสำเร็จ

เข็มทองเล่มนั้น ยังปักตรึงอยู่บนจุดสำคัญที่คอหอยของกี้เฮียงเค้ง สีหน้าของนางนอกจากเหลืองซีดผอมซูบกว่าเก่าก่อนเล็กน้อยแล้ว ยามพินิจดู ผิดแผกจากยามมีชีวิตไม่เท่าใด

กิมเม้งตี้ยืดกายขึ้น เคลื่อนไหวกระดูกเส้นเอ็น ปาดเหงื่อกาฬบนใบหน้า ดวงตาทั้งคู่จับจ้อง สตรีงามเบื้องหน้าจนแน่วนิ่ง

สติปัญญาของนาง มาตรแม้นสูงล้ำไร้ผู้ทัดเทียม แต่ขณะนี้นางปราศจากความรู้สึก และหากแม้นว่านางต้องจากโลกนี้ไป พร้อมกับวัยสาวอย่างน่าเสียดาย ยังต้องสูญเสียความรู้ที่ร่ำเรียนมาจนเปรื่องปราดอย่างน่าสะทกสะท้อน

กิมเม้งตี้พักผ่อนอยู่ครู่หนึ่ง ห้วงสมองหวนทบทวนถึงกรรมวิธีที่มันลงมือช่วยเหลือเมื่อครู่นี้ว่า มีการผิดพลาดหรือไม่ ครุ่นคิดอยู่หลายตลบ จึงกล้ามั่นใจ

สมควรทราบว่า ข้อนี้มีความสำคัญยิ่ง บัดนี้มันเพียงแต่ถอนเข็มทอง กี้เฮียงเค้งจะฟื้นคืนชีวิตหรือไม่ ก็จะพิสูจน์ชัดในบัดดล

หากแม้นมันมิผิดพลาดแม้แต่น้อย เข็มทองพอถอนออกมากี้เฮียงเค้งก็จะฟื้นฟูสติสัมปชัญญะ หัวใจเต้นเลือดลมโคจร อวัยวะทุกส่วนเริ่มทำงานตามปรกติ

ถ้าหากว่าเวลาที่มันลงมือ มีความพลาดผิด อย่างไรขณะนี้หวนนึกขึ้นได้ ยังมีวิธีการช่วยเสริม ซึ่งวิธีดังว่าได้บันทึกอยู่ในท้ายจดหมาย

ดังนั้นการที่มันทบทวนเหตุการณ์ยามลงมือ จึงสำคัญใหญ่หลวงนัก หากมีส่วนผิดพลาด และคิดไม่ออก พอถอนเข็มทองกี้เฮียงเค้งก็จะสูญวิญญาณมิมีทางช่วยเหลือ

กิมเม้งตี้หาใช่สามัญชน ขบคิดจนเชื่อมั่น จึงตกลงใจอย่างเด็ดเดี่ยว ยื่นมือคว้าจับเข็มทอง ถอนขึ้นมาอย่างแผ่วเบา!

ในยามนั้น เป็นช่วงเวลาที่เขม็งตึงเครียดที่สุดในชีวิตของมันถึงกับกลั้นลมหายใจ จับตาดูโฉมสะคราญในโลงศิลา

พริบตานั้นกี้เฮียงเค้งเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง แลเห็นสีหน้าของนางค่อยๆ แดงระเรื่อ ปากกับจมูกมีลมหายใจระบายออก ความอบอุ่นของร่างกายได้ทวีขึ้น

กิมเม้งตี้สังเกตความเปลี่ยนแปลงของนาง มันแม้ทราบว่าร่องรอยทุกสิ่งนี้ดำเนินอย่างปรกติ แต่มันยังมิกล้าวางใจอย่างปลอดโปร่ง ต้องรอให้กี้เฮียงเค้งลืมตาขึ้น จึงกล้ามั่นใจว่า นางได้ฟื้นคืนวิญญาณ

แต่ช่วงเวลานั้น ยาวนานกว่าวินาทีที่ถอนเข็มทองมากมายนัก มันขบกรามกรอดพยายามข่มกลั้นความพลุ่งพล่านของอารมณ์ พยายามอดทนรอ

มิทราบว่าผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด กี้เฮียงเค้งพลันระบายลมหายใจยาวๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาของนางมาตรแม้นมิได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน แต่ยังสุกใสและน่ารัก เปี่ยมล้นด้วยประกายแห่งปัญญา

กิมเม้งตี้กล่าวอย่างนุ่มนวลว่า

“อาเค้ง การหลับนอนของท่านนับว่ายาวนานอย่างยิ่ง ขณะนี้รู้สึกเป็นอย่างไร?”

กี้เฮียงเค้งแย้มยิ้ม พลางกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าปวดชาไปทั่วร่าง ท่านสามารถโอบอุ้มข้าพเจ้าขึ้นมาได้หรือไม่”

กิมเม้งตี้จวบจนบัดนี้ จึงบังเกิดความปลาบปลื้มยินดี ยื่นมือเข้าไปในโลงอย่างสุดจะอดกลั้น โอบอุ้มนางขึ้นมา เริ่มต้นจุมพิตนาง

ทั้งสองล้วนแต่มีความรู้สึกที่กลับชาติกำเนิดใหญ่ พริบตานั้นได้ลืมเลือนทุกสรรพสิ่ง ลุ่มหลงอยู่ในการจุมพิตอันยาวนานที่เปี่ยมล้นด้วยความอ่อนหวาน ดื่มด่ำกับความอบอุ่นที่ยากจะพบพาน

เนิ่นนานให้หลัง กิมเม้งตี้จึงปล่อยปละนางกล่าวว่า

“ท่านหิวหรือไม่?”

กี้เฮียงเค้งหัวร่อ พลางกล่าวว่า

“ไม่หิว เหตุการณ์ทั้งหมดเป็นอย่างไร?”

“ทั้งหมดเป็นไปตามการคาดคะเนของท่าน เรามาได้ทันท่วงทีปลอมแปลงเป็นแฮ่โฮ้วคง ให้มันแอบอ้างเป็นเราจากที่นี้ไป ต่อจากนั้นสถาบันอำมหิตจัดส่งผู้คลุมหน้าชุดดำที่ฝึกปรือวิชาดาบพุทธไร้เทียมทานปรากฏขึ้น บังคับให้เราต้องหลบหนีเข้ามาในหลุมฝังศพ”

เพียงวาจามิกี่ประโยค ก็เท่ากับบอกเล่าเหตุการณ์ทั้งมวล กี้เฮียงเค้งถามไถ่เรื่องเวลาจนแน่ชัด เงียบงันไปชั่วครู่จึงกล่าวว่า

“ตามรายทางที่ท่านเร่งรุดมา ได้สืบเสาะข่าวคราวของซิเล้ง ฉี้อิง และพวกหรือไม่?”

กิมเม้งตี้ทรุดกายนั่งลงบนเตียงศิลา ไขว่คว้านางมาอยู่ในอ้อมอก กล่าวว่า

“ท่านมักจะกังวลใจในตัวผู้อื่น สภาพการณ์ของพวกมันมีทั้งดีทั้งร้าย ดีที่ว่าเจดีย์ทองคำได้เปิดออก ไม้ตายนับร้อยพันแขนง เริ่มตกทอดเข้ามาในโลกมนุษย์ นี่เป็นพฤติการณ์ของพวกฉี้อิง ปึงเซียะ สำหรับซิเล้ง…”

มันจงใจไม่กล่าวต่อไป ดูว่ากี้เฮียงเค้งจะกระทำอย่างไร กี้เฮียงเค้งกล่าวขึ้นว่า

“อาเล้งย่อมต้องหายสาบสูญไปอย่างกระทันหันใช่หรือไม่?”

“เอ๊ะ ท่านทราบได้อย่างไร?”

กี้เฮียงเค้งกล่าวต่อ

“ข้าพเจ้าคาดคะเนเอา ความจริงข้าพเจ้าคาดแล้วว่าคงเป็นเช่นนั้น แต่ภายหลังเราเห็นพลังฝีมือของอาเล้ง อาอิง ยังมีปึงเซียะ ล้วนสูงเยี่ยม ข้าพเจ้าจึงวางใจ หาคาดไม่ว่าในที่สุดยังไม่รอดจากผลสุดท้ายเช่นนี้…”

นางหยุดเล็กน้อยจึงกล่าวสืบไปว่า

“แต่น่าประหลาดที่แม้แต่อาเล้งยังไม่อาจรักษาตัวเอง ถ้าเช่นนั้นอาอิงและพวกสามารถเปิดเจดีย์ทองคำอย่างสะดวกได้อย่างไรกัน”

กิมเม้งตี้จึงบอกเล่าเหตุการณ์เกี่ยวกับซิเล้งที่สืบทราบมาว่าได้สูญสิ้นความกระตือรือร้น ภายหลังถูกอุ้ยเอี้ยงคร่าตัวไป และพวกฉี้อิงระเปิดเจดีย์ทองคำ ได้ปรากฏจับฮึงไต้ซือกับเฒ่าเอกะประหลาดขึ้น

สุดท้ายมันเอ่ยปากถามว่า

“ท่านแม้มิอาจคำนวณทราบเรื่องที่เกิดขึ้น แต่จากน้ำเสียงของท่าน คล้ายดั่งรู้ล่วงหน้าว่า จะมีเหตุการณ์ที่อุ้ยเอี้ยงกับจับฮึงไต้ซือออกมาขัดขวาง ที่แท้เห็นได้จากด้านใด?”

กี้เฮียงเค้งยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า

“เหตุผลนี้เห็นได้ชัดเจนยิ่ง หากแม้นเจดีย์ทองคำตลอดเวลาไม่มีผู้คนเฝ้ารักษา ถ้าเช่นนั้นในตงง้วนที่เปี่ยมปัญญาชน ย่อมต้องมีนักทำกุญแจที่ยอดเยี่ยม เร่งรุดไปเปิดประตูลับบนเจดีย์ทองคำ

แต่ทว่ากลับไม่มีเหตุการณ์เช่นนั้นเลย แสดงว่าความจริงมีผู้คนลอบคุ้มครอง ซึ่งเป็นมือชั้นเฉกเช่นจับฮึงไต้ซือและอุ้ยเอี้ยง ทำให้นักทำกุญแจมิมีทางปฏิบัติงาน เพราะเหตุนี้เจดีย์ทองคำจึงตั้งตระหง่านอยุ่ในไต้เซาะซัวอย่างโดดเด่น”

นางหยุดสูดลมหายใจ กล่าวสืบไปว่า

“จับฮึงไต้ซือกับอุ้ยเอี้ยง ย่อมต้องมีความสัมพันธ์กับเทพโฉดสะท้านโพยมและมหาสมณะโพธิสัตว์ ดังนั้นการที่พวกมันมีความสำเร็จลึกล้ำ จึงไม่น่าประหลาดใจเลย ท่านว่าใช่หรือไม่?”

กิมเม้งตี้กล่าวว่า

“ข้อวิจารณ์เหล่านี้ พอเปิดโปงรู้สึกตื้นเขิน แต่ความจริงนอกจากท่าน ในใต้หล้าคงไม่มีผู้ใดคาดคิดถึง และเท่าที่เราดูมา ท่านคล้ายดั่งมิกังวลในความเป็นอยู่ของซิเล้งเลย”

“ข้าพเจ้าบอกกับท่านเถอะ ซิเล้งมีชะตาชีวิตกำหนดแน่ชัดว่า จะมีอิสตรีจำนวนมากคอยช่วยเหลือมันทุกวิถีทาง ยามมีอันตรายจะคลี่คลายจนปลอดภัย นี่จากเกณฑ์ชะตาของมัน ทำนายได้ว่าไม่ประสบเภทภัย”

นางหยุดไปเล็กน้อยจึงกล่าวว่า

“อีกด้านหนึ่งว่าจากสภาพความจริง หากแม้นอาเล้งเวลาที่มีพลังฝีมือเข้มแข็ง ได้ถูกศัตรูคร่ากุม ชีวิตของมันก็มีอันตรายนี่คำนวณจากเหตุผลว่า หากแกร่งกร้าวย่อมแตกหักง่าย

แต่มันยามท้อแท้ทอดอาลัย ได้ตกเป็นเชลย สถานการณ์ก็แตกต่างไป มาตรแม้นไม่อาจอ้างอิงเหตุผลที่แน่นอน แต่จิตใจยามนี้ของท่าน คงรู้สึกว่ามันไร้อันตราย นี่คือเหตุผลของข้าพเจ้า”

กิมเม้งตี้ กล่าวคำว่าเลื่อมใสอย่างจริงใจ กี้เฮียงเค้งยิ้มน้อยๆ กล่าวอีกว่า

“พวกเราสมควรถกเถียงเรื่องดาบพุทธไร้ผู้เทียมทานที่ท่านฝึกปรือแล้ว ท่านรู้สึกว่าในหนึ่งปีนี้ความรุดหน้าเป็นประการใด?”

“หากกล่าวในด้านเพลงดาบ เราได้แตกฉานอย่างยิ่ง ความพลิกแพลงพิสดาร ก็ล้วนตีความลึกซึ้ง”

“ถ้าเช่นนั้น ท่านไฉนจึงไม่อาจต่อต้านผู้ทรงฝีมือที่อลัชชีโลกันตร์จัดส่งมาเล่า?”

กิมเม้งตี้กล่าวว่า

“สำหรับกระบวนท่าของพวกเราทั้งฝ่าย ล้วนไม่อาจสยบซึ่งกันและกัน แต่พลังการฝึกปรือของฝ่ายตรงข้ามลึกล้ำกว่าเรา ดังนั้นพอต่อสู้กันเนิ่นนาน เราจึงเป็นฝ่ายพลาดพลั้ง”

“ที่แท้ปัญหาเกิดด้านพลังการฝึกปรือ แต่ข้าพเจ้ายังมิเข้าใจ ก่อนที่ท่านจะฝึกปรือวิชาดาบพุทธไร้เทียมทาน ก็มีพลังภายในลึกล้ำแม้แต่ชนชั้นจูกงเม้งก็ไม่อาจสูงส่งกว่าท่าน”

นางเงียบงันไปเล็กน้อย จึงกล่าวว่า

“ถ้าเช่นนั้น ผู้ทรงฝีมือที่อลัชชีโลกันตร์ฝึกฝนสำเร็จด้านเวลามีจำกัด เกี่ยวกับพลังการฝึกปรือ สมควรเป็นรองท่าน แต่ความจริงหาใช่ไม่ นั่นเป็นเพราะเหตุใด?”

กิมเม้งตี้ส่งเสียงกล่าวว่า

“นี่ก็ไม่อยากจะอธิบาย ควรทราบว่าในบันทึกดาบพุทธไร้เทียมทาน ก็มีแนววิชาฝึกหัดพลังภายใน และเวลาสำแดงความพิสดารของท่าร่าง ก็ต้องอาศัยแนวพลังภายในนั้น

พลังฝีมือที่เรามีอยู่ก่อน ย่อมไม่มีประโยชน์อย่างยิ่ง ฝ่ายตรงข้ามหากพอเริ่มต้น ก็ฝึกฝนแนวพลังภายในคัมภีร์ แม้จะหักล้างกำลังภายในอย่างหักโหม ก็ไม่อาจเอาชัยเลย

แต่ทว่าเวลาใช้ท่าร่างฝ่ายตรงข้ามกลับสามารถชดเชยเสริมหนุนด้วยกัน ยิ่งต่อสู้ยิ่งห้าวหาญ ในที่สุดก็เอาชัยได้ นี่คือที่มาของไร้เทียมทาน”

กี้เฮียงเค้งกล่าวว่า

“ถ้าเช่นนั้นครั้งหน้าท่านหากเผชิญกับฝ่ายตรงข้าม สามารถหาทางหักล้างกำลังภายในอย่างหักโหม ไม่ให้มันมีโอกาสใช้วิชาหัตถ์เทพยดาไร้เทียมทานหรือไม่?”

“มิได้ เราหากคิดเอาชัยมัน มีแต่ปรับปรุงความสำเร็จของตัวเอง เราหากสามารถบรรลุถึงขั้นสูงสุด เวลาเผชิญกับคู่ต่อสู้ ก็จะต่อต้านสลายกันเอง ซึ่งยามนั้นวิชาฝีมือที่ร่ำเรียนจากสำนักอาจารย์ จะแสดงอานุภาพโค่นมันจนพ่ายแพ้”

“ฟังจากน้ำเสียงของท่าน คล้ายกับว่าหากคิดบรรลุถึงขั้นสูงสุด หาใช่เรื่องลำบากไม่ แต่ท่านไฉนกระทำมิได้ นี่ย่อมมีอุปสรรคบางประการ พวกเราต้องหาทางกำจัด เพื่อสมปรารถนา”

กิมเม้นตี้กล่าวอย่างครุ่นคิดว่า

“ยามบอกออกไม่ยากลำบาก เราอาจจะต้องเสื่อมเสียเวลาชั่วชีวิตจึงบรรลุถึงขั้นสูง แต่อาจจะวันนี้ก็สามารถทะลวงอุปสรรค เราคาดว่าอาจเป็นเพราะอุปนิสัยที่มักเปลี่ยนแปลง ไม่สามารถพากเพียรพยายาม”

“สำหรับวิชาฝีมือไม่เป็นไร แต่ท่านอย่าได้ไม่มีจิตใจแน่นอนต่อข้าพเจ้า”

“ท่านกังวลเกินไปแล้ว เรามีความรักต่อท่านอย่างลึกซึ้งไม่เปลี่ยนแปลง และในหนึ่งปีจึงทราบว่าอะไรคือรักแท้ ความรู้สึกบางประการเมื่อกาลก่อน เพียงแต่การพลุ่งพล่านที่เลื่อนลอยชนิดหนึ่ง”

กี้เฮียงเค้งแย้มยิ้มออกมา และครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งค่อยกล่าวว่า

“ท่านลองท่องเคล็ดวิชาด้านพลังภายในของดาบพุทธไร้เทียมทานออกมา”

กิมเม้งตี้ย่อมมิปฏิเสธ จึงท่องเคล็ดออกไป กี้เฮียงเค้งรับฟังตลบหนึ่ง ก็กล่าวว่า

“อือม์ ข้าพเจ้าสามารถจดจำได้แล้ว ด้านพลังฝีมือของข้าพเจ้าแม้ใช้มิได้ แต่สามารถเข้าใจความลึกล้ำในเคล็ดวิชากำลังภายใน”

“ท่านเข้าใจได้อย่างไร”

“ไม้ตายแขนงนี้ ท่านชั่วชีวิตเกรงว่าไม่มีโอกาสสำเร็จแตกฉาน เนื่องจากวิชาดาบแขนงนี้ แม้จะไร้เทียมทาน แต่รากฐานได้สร้างขึ้นจากความมุทิตา”

“หากแม้นยึดมั่นในความมุทิตา ไฉนจึงสามารถฆ่าศัตรู เกรงว่ามิว่าผู้ใดก็ยากจะสำเร็จ”

กี้เฮียงเค้งผงกศีรษะกล่าวว่า

“ถูกต้อง หาไม่แล้วผู้ทรงฝีมือที่อลัชชีโลกันตร์ส่งมา ก็สามารถเอาชัยท่าน และฆ่าท่านแล้ว ควรทราบสามไม้ตายไร้เทียมทานบัญญัติขึ้นโดยมหาสมณะโพธิสัตว์ และเทพโฉดสะท้านโพยม

มหาสมณะโพธิสัตว์เมื่อเป็นหลวงจีนทรงปริยัติธรรมในสถาบันสงฆ์ ย่อมมีดวงจิตอันเมตตาการุณย์ในไม้ตายทุกแขนง ได้แฝงไว้ด้วยหลักมุทิตา”

กิมเม้งตี้กล่าวว่า มันไม่เข้าใจ เนื่องจากนางกล่าวลึกซึ้งเกินไป

กี้เฮียงเค้งเอื้อนเอ่ยว่า

“พวกเราสนทนากันตั้งแต่เริ่มต้นกันเถอะ ก่อนอื่นต้องสังเกตสามไม้ตายไร้เทียมทานในแนวพลังภายในล้วนแฝงไว้ด้วยความมุทิตา หากแม้นเป็นผู้ที่มีนิสัยนิยมฆ่าฟัน ก็ไม่อาจบรรลุถึงชั้นนสูงล้ำไร้ขอบเขต

หมายความว่า แม้มีความสำเร็จก็ไม่ลึกล้ำสุดยอด แต่นี่เป็นด้านปรับรากฐานพลังภายในเท่านั้น สำหรับกระบวนท่า ซึ่งใช้เป็นสิ่งกวาดล้างหมู่อสูร ย่อมต้องแฝงไว้ด้วยอานุภาพเกรี้ยวกราดดุดัน

เพราะเหตุนี้ ความรู้สึกมุทิตา ไม่เป็นอุปสรรคต่อการพิฆาตศัตรูของท่าน แต่หากแม้นเป็นชนชาวธรรมะ มีความคิดผดุงธรรม จิตใจไร้เพลิงอำมหิต แต่ไม่คิดชิงดีชิงเด่น เวลาฝึกปรือพลังภายใน ความรุดหน้าก็ฉับไวยิ่ง

อย่างรวดเร็ว ก็จะมีความสำเร็จถึงชั้นสูงสุดยอด ภายหลังยังสามารถรุดหน้าโดยไม่หยุดยั้ง จนในที่สุดจะมีสังขารอยู่ยงคงกระพัน”

กิมเม้งตี้จวบจนบัดนี้จึงเข้าใจลึกซึ้ง และเลื่อมใสในภูมิปัญญาของนางจนหมดหัวใจ

กี้เฮียงเค้งเอื้อนเอ่ยว่า

“หากแม้นท่านมีความมั่นใจในตัวเอง กล้าท้าทายต่อสู้กับจิตอสูรในใจของตน ล้มล้างความรู้สึกส่วนตัวแต่กาลก่อนบางประการ กลับกลายเป็นยึดมั่นในความมุทิตา ถ้าเช่นนั้นการฝึกปรือวิชากำลังภายในด้านนี้ ก็จะมีความสำเร็จ

แต่ทว่าความจริง ศัตรูที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ทุกผู้คน ก็คือตัวเอง หากสามารถหักโหมเอาชัยตัวเองทั่วทั้งใต้หล้าก็จะไม่มีคู่มือต้านทาน!”

นางเมื่อกระตุ้นหนุนเช่นนี้ กิมเม้งตี้พลันบังเกิดความคิดหมายเอาชัยอย่างรุนแรง คำนึงว่า

“…วาจาของนางแม้เป็นความจริงทุกถ้อยคำ แต่เรากิมเม้งตี้หรือว่าจะเกรงกลัวด้วย พร้อมกับนั้นหากไม่มีความรุดหน้า ภายหลังจะต้านทานบริวารของอลัชชีโลกันตร์ได้อย่างไร?…”

มันตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว กล่าวอย่างจริงจังว่า

“เราจะกระทำอย่างสุดความสามารถ ท่านมีทัศนะข้อคิดเห็นอย่างไร?”

กี้เฮียงเค้งในส่วนลึกของหัวใจ บังเกิดความปีติลิงโลดแทบคลุ้มคลั่ง

ทั้งนี้ก็เพราะนางประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงบุรุษผู้นี้ ทำให้กมลสันดานของมันพลิกแพลงโดยสิ้นเชิง และเนิ่นนานเข้าก็จะมิเป็นบุคคลที่เลือดเย็นอำมหิต กระทำตามใจชอบแล้ว

นางขบคิดอยู่เล็กน้อย จึงกล่าวสืบไปว่า

“ท่านคราแรกไม่ต้องเร่งร้อนฝึกปรือวิชา ข้อสำคัญอยู่ที่คอยถกเถียงวิจารณ์ปัญหาการดำรงชีวิตของมนุษย์กับข้าพเจ้า จนทำให้ท่านเชื่อมั่นอย่างจริงใจว่าความ ‘มุทิตา’ คือมรรคาอันแท้จริงของมนุษย์ จึงจะมีประโยชน์เกิดขึ้น”

หลัก ‘มุทิตา’ ของสถาบันสงฆ์ มีส่วนคล้ายคลึงกับการ ‘ให้อภัย’ ของนักปราชญ์ นี่คือต้นตอแหล่งกำเนิดของการแสวงหาความสุขในชีวิตมนุษย์

“หากแม้นว่า ดวงใจไม่มีที่ฝากฝังอันสงบสุข ถ้าเช่นนั้นมาตรแม้นจะล้างผลาญเงินทอง ร่ำดื่มสุราเคียงคู่ด้วยนงคราญ แสวงหาความสุขอย่างสุดชีวิต ความจริงก็มิมี ‘ความสุข’ เลย

ในใต้หล้า บุคคลที่พยายามแสวงหาอำนาจและทรัพย์สิน ดวงใจที่แข็งกระด้าง ผ่านชีวิตอันหรูหราฟุ่มเฟือย พวกมันหาใช่แสวงหาความสุข หากแต่เป็นการอัตวินิบาตกรรมอย่างแช่มช้า

ทั้งนี้เนื่องจากความจริง สิ่งที่พวกมันเสาะแสวงคือการกระตุ้นให้บังเกิดความเขม็งตึงเครียดทางอารมณ์เท่านั้นเอง

อัน ‘ความสุขที่แท้จริง’ สมควรมีความเพียงพอเปี่ยมล้นไม่เวิ้งว้างว่างเปล่าในด้านจิตสำนึก ลองถามดูหลังจากหรรษารื่นเริงสุดเหวี่ยงแล้ว ก็เป็นการเลิกร้างแยกจากกัน ในยามนั้นผู้ใดที่ไม่รู้สึกวิเวกวังเวงอ้างว้าง เปล่าเปลี่ยว

กี้เฮียงเค้งกับกิมเม้งตี้ทั้งสองสนทนากันตลอดทั้งวัน ภายในห้องลับมีสิ่งของเครื่องใช้ครบครัน การดื่มกินไม่ต้องอนาทรมิมีความรู้สึกที่ไม่สะดวกสบาย

พอถึงวันที่สาม กิมเม้งตี้ก็ได้เปลี่ยนแปลงทัศนคติส่วนตัวมากมาย ซึ่งหากเป็นกาลก่อน มันจะแค่นเสียงอย่างเย็นชาไม่สนใจรับฟัง

แน่นอน การยอมรับและเปลี่ยนแปลงในด้านทัศนคติ ยังไม่เพียงพอต่อการนับว่าเป็นวิชาฝีมือสมควรสามารถดำเนินปฏิบัติ อย่างน้อยต้องมีการเชื่อมั่นอย่างเปี่ยมล้น

นี่สามารถสมมุติว่า วีรบุรุษผู้หนึ่งมันไม่เพียงแต่มีบุคลิกและความนึกคิดของวีรบุรุษ หากมีโอกาสก็จะแสดงออกอย่างประจักษ์แจ้ง จึงจะเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง

มาตรมิเช่นนั้น เพียงแต่นึกคิด้วยมันสมอง มิว่าผู้ใดก็สามารถเป็นนักปราชญ์หรือวีรบุรุษแล้ว นี่เรียกว่า “การทราบซึ้งและปฏิบัติรวมรั้งเป็นเอกะ” หมายความว่าเมื่อทราบเหตุผล ก็สมควรปฏิบัติเป็นเรื่องราวขึ้น

ในวันที่สามนี้ กิมเม้งตี้เริ่มต้นฝึกปรือพลังภายใน กี้เฮียงเค้งก็เริ่มต้นฝึกฝนเช่นกัน โดยมิรู้สึกตัว กาลเวลาได้ผ่านพ้นไปสิบกว่าวัน

ทิวานี้ กิมเม้งตี้หลังจากฝึกฝีมือแล้ว พลันกล่าวกับกี้เฮียงเค้งว่า

“เราวันนี้ได้ทะลวงผ่านเขตขึ้นสุดยอดแล้ว นับแต่นี้ไปกระบวนท่าที่ลึกล้ำจำนวนมาก เราล้วนสามารถสำแดงอานุภาพ นี่เป็นการส่งเสริมของท่าน เรารู้สึกสำนึกในพระคุณ”

กี้เฮียงเค้งปลาบปลื้มเป็นที่ยิ่ง แต่นางก็คาดคำนวณว่ามันยังมีวาจาอย่างอื่นคิดเอ่ยอ้าง และจริงดังคาดหมาย กิมเม้งตี้ได้กล่าวอีกว่า

“หากทว่าเราหลังจากครุ่นคิดแล้วว่า มาตรแม้นภายหลังเราจะเปลี่ยนแปลงสภาพการดำรงชีวิต แต่กำหนดนัดหมายกับซิเล้งเมื่อกาลก่อน ยังต้องกระทำกันแน่นอน นี่หมายความว่า มันหากยังมีชีวิตอยู่”

อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่