มิวสิคเข้าวงการบันเทิงครั้งแรกขณะมีอายุแค่ 15-16 ปี ในฐานะไอดอล สมาชิกวง BNK48 รุ่น 1 ซึ่งเธอทำผลงานไว้โดดเด่น อย่างการแสดงบนเวทีที่เต็มไปด้วยอินเนอร์อันทรงพลัง จนแฟนคลับต่างชื่นชมว่ามิวสิคเข้าถึงความเป็นไอดอลสไตล์ญี่ปุ่นได้ดีเยี่ยม นอกจากความสามารถด้านการร้องการเต้น มิวสิคยังฉายแววด้านการแสดง ภาพยนตร์ Where we belong ที่ตรงนั้น มีฉันรึเปล่า คือผลงานแจ้งเกิดซึ่งได้รับคำวิจารณ์เชิงบวก และเปิดทางสู่งานแสดงเรื่องอื่นๆ วันนี้มิวสิคจบการศึกษาจากการเป็นไอดอล ไม่มีคำว่า BNK48 ต่อท้ายชื่อ และเป็น ‘มิวสิค’ แพรวา กับทางเดินชีวิตสายใหม่ที่เธอเลือกเอง มาทำความรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอในหลากหลายแง่มุมให้มากขึ้นกัน
Begin Again
พอจบการศึกษาจาก BNK48 แล้วมีภาพในหัวไหมว่าเราจะทำอะไรต่อ เราถามมิวสิค “ไม่มีเลยค่ะ หนูคิดว่าคนเราจะมีช่วงที่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต เช่น จากมัธยมก้าวสู่มหา’ลัย หรือจากมหา’ลัย ก้าวสู่วัยทำงาน จะเป็นช่วงที่เราหวาดหวั่น มองไม่เห็นอนาคต ช่วงเวลาที่ออกจาก BNK48 คือช่วงเวลาดังกล่าว หนูไม่มีภาพว่าจะทำอะไรต่อ อาจไม่มีงานในช่วงแรกเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่อยากตีตนก่อนไข้ เลยเริ่มจากหางานอดิเรก ทำนั่นทำนี่ มีเรียนตัดเย็บเสื้อผ้า งานพากย์ งานแสดงบ้าง
“ก่อนหน้านี้หนูทำงานในสังกัดบริษัท เขากำหนดคนที่จะแสดงไว้ก่อนแล้ว จึงเป็นไปได้ยากที่เราจะลาหยุดตามอำเภอใจ หนูทุ่มเทเวลาในการทำงาน เลือกงานก่อนสิ่งอื่นใด ช่วงเวลานี้จึงเหมือนย้อนไปใช้ชีวิตวัยรุ่นที่ไม่ได้ใช้ และทำได้ในระดับที่ตัวเองพอใจ กลายเป็นว่าสิ่งที่เจอไม่น่าหวาดหวั่นเท่าที่เคยกังวลไว้”
Education
เราถามมิวสิคถึงโครงการเรียนต่อ เธอวางแผนจะกลับไปใช้ชีวิตนักศึกษาไหม “หนูรู้สึกว่าการเรียนค่อนข้างใช้เงินเยอะ และตอนนี้หนูไม่มีเงินเก็บที่พร้อมขนาดนั้น เลยตัดสินใจหาสิ่งที่อยากเรียนจริงๆ ก่อน ได้ยินมาว่าการเรียนมหา’ลัยค่อนข้างหนัก อาจต้องอดนอนเพื่อทำงานส่ง ถ้าต้องเสียทั้งเงินและสุขภาพ หนูก็อยากทุ่มเทในสิ่งที่เราสนใจจริงๆ รอค้นหาให้เจอแล้วเต็มที่กับมันดีกว่า ไม่อยากแค่เรียนเพื่อจบเอาใบปริญญาเท่านั้น หรือถ้าหนูไม่เจอสิ่งที่อยากเรียนเลย หนูก็ไม่ซีเรียส นั่นไม่ใช่สิ่งที่หนูสัญญากับตัวเองว่าต้องทำสำเร็จให้ได้”
อย่างไรก็ตาม แม้ครอบครัวจะคอยสนับสนุนการตัดสินใจของมิวสิค แต่ก็ยังเป็นห่วงอนาคตลูกสาวสุดที่รัก “คุณแม่จริงๆ ไม่โอเคหรอก (หัวเราะ) ยังถามตลอดว่าจะไปเรียนเมื่อไร แม่ก็ยังเป็นห่วง หากเรามีวิชาติดตัวสักอย่างสองอย่างก็ช่วยการันตีความมั่นคงในชีวิต หากไม่มีพ่อแม่แล้วลูกก็ยังเอาตัวรอดได้นะ หนูเปิดใจคุยกับแม่หลายๆ อย่าง จนแม่วางใจว่าเราโตแล้ว จัดการชีวิตได้ ไม่มีอะไรต้องห่วง”
From Idol to Actress
สำหรับผู้ชมอย่างเรา มองว่ามิวสิคคือไอดอลที่เจิดจรัส ร้องเต้นได้เฉิดฉาย จนเหมือนกับเกิดมาเพื่อทำสิ่งนี้ ทว่าภายในใจของอดีตไอดอลคนนี้กลับอึดอัดขัดข้อง เธอจึงเลือกออกมาตามหาเส้นทางที่สร้างความมั่นใจ “หนูรู้สึกว่าหนูขาดคุณสมบัติการเป็นไอดอล คือหนูไม่มีความมั่นใจในตัวเองมาโดยตลอด หลายครั้งที่ขึ้นเวทีก็ขึ้นด้วยความรู้สึกขาดความมั่นใจ และยังมีเรื่องของบิวตี้สแตนดาร์ด จะมีคนมาคอยคอมเมนต์บั่นทอนความมั่นใจของเราเสมอ อย่างเรื่องสิว ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดา พอสิวขึ้นตอนออกงาน ก็จะเจอแอนตี้ที่คอยคอมเมนต์บั่นทอนความรู้สึก พอสั่งสมทุกวันๆ ก็เปลี่ยนจากเด็กที่ไม่คิดมาก กลายเป็นคนคิดมาก ขาดความมั่นใจ ในฐานะคนที่ต้องแสดงบนเวที รู้สึกเสมอว่าเราทำดีไม่พอ ไม่เต็มที่ เพราะฉะนั้นเลยออกมาแล้วตามหาสิ่งที่ทำแล้วมีความมั่นใจดีกว่า ณ ตอนนี้ นักแสดงอาจเป็นสิ่งที่หนูทำแล้วรู้สึกมั่นใจ”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับบท ‘ฝน’ นักเรียนแพทย์ในละครหมอตลอดกาล ซึ่งทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้น “ไม่คิดว่าชีวิตหนึ่งจะได้เป็นหมอกับเขา ได้ร่วมงานกับทีมงานที่เก่ง รวมทั้งพี่ๆ นักแสดงมากความสามารถ และเจอคุณหมอที่มาให้ความรู้ อย่างซีนตรวจคนไข้ เราไม่สามารถตรวจส่งเดชได้นะ ต้องเรียนรู้โรคก่อน เพื่อให้เกิดความเข้าใจว่าสิ่งที่เราต้องทำคืออะไร เช่น โรคฮีตสโตรก คือความร้อนในร่างกายสูงเกินไป แล้วจะรับมือยังไง ทั้งที่เป็นโรคใกล้ตัวคนไทยมาก แต่เรากลับไม่ค่อยรู้วิธีรับมือนัก
“ความรู้ที่ได้จากละครช่วยให้เราใส่ใจเรื่องสุขภาพตัวเองมากขึ้น ตัวหนูเป็นคนดื่มแอลกอฮอล์แล้วมีอาการแพ้ ก็เลยรู้ว่า คนที่แพ้มีโอกาสเป็นมะเร็งสูงกว่าคนทั่วไปถึง 15% การดูแลสุขภาพไม่ใช่เพื่อตัวเองเท่านั้น ยังเป็นการทำเพื่อคนสำคัญรอบข้าง เขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง และเป็นการแบ่งเบาภาระของบุคลากรทางการแพทย์ด้วย เขาเหนื่อยเหมือนกันนะที่ต้องคอยบอกคอยเตือนคนไข้ อย่าทำนะ อย่า อย่า แต่คนไข้กลับไม่นำพา”
ซีนที่ยากเย็น มิวสิคยกให้ซีนที่ต้องฉีดยาคนไข้ “ภาพที่เราจำได้เวลาฉีดยาคือแค่เช็ดแอลกอฮอล์ แล้วก็ฉีด อันที่จริงมีขั้นตอนละเอียดกว่านั้นมาก ตั้งแต่การจับเข็มอย่างถูกต้อง การเปลี่ยนอุปกรณ์ ต้องระวังห้ามโดนเข็ม ตอนที่หนูเรียนรู้ขั้นตอนคืออึ้งไปเลย ข้อมูลเยอะไปหมด บทก็ต้องจำ วิธีการฉีดยาก็ต้องแม่น มันไม่ง่ายอย่างที่เราคิด”
ในบทบาทนักแสดงมิวสิคมีผลงานหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นละคร ซีรีส์ หรือภาพยนตร์ แต่สิ่งที่นักแสดงสาวโปรดปรานเป็นพิเศษยกให้การแสดงภาพยนตร์เรื่องแรก Where We Belong “หนูชอบการแสดงภาพยนตร์ เพราะมีความละเอียดมาก ทุกองศาการขยับหน้า ทุกความรู้สึก ถูกบันทึกไว้และส่งเข้าไปในจอใหญ่ๆ นั้นทั้งหมด Where we belong คือผลงานที่ได้เรียนรู้เยอะ และชอบการแสดงของตัวเองในเรื่องนี้ที่สุด พอย้อนไปดูก็เห็นชัดว่า แววตาของหนูนั้นเปลี่ยนไป ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เก็บวัยเยาว์ของหนูไว้ และแววตาคู่นั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว เลยชอบเรื่องนี้มากๆ ค่ะ”
Hobby
“งานอดิเรกของหนูคือการคอสเพลย์ แต่ช่วงหลังเริ่มรู้สึกว่าชีวิตวงการบันเทิงอาจขัดกับงานอดิเรก คือหนูไม่อยากให้ภาพลักษณ์ตัวเองดูเด็กอยู่ตลอด แต่การคอสเพลย์อาจทำให้คนมองว่าเรายังเล่นเป็นเด็กอยู่รึเปล่า ทั้งที่การคอสเพลย์นั้นใส่ความตั้งใจอย่างมาก เวลาว่างหนูมีไปเรียนเย็บผ้า เรียนตัดชุด เรียนทำพร็อปสำหรับคอสเพลย์ หนูอยากให้วันหนึ่งข้างหน้าการคอสเพลย์ถูกมองว่าเป็นงานศิลปะบ้าง ไม่อยากให้เป็นแค่งานอดิเรกที่เด็กเล่นกัน มีหนทางไหนพอที่จะทำได้บ้างนะ เหมือนตอนนี้หนูอยู่ในช่วงมองหาจุดสมดุล ทำยังไงที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่แต่ยังคงความเป็นเด็กไว้ได้”
Lover
ไม่นานนี้มิวสิคคัมเอาต์และนิยามตัวเองว่าเป็น pansexual “หนูรู้สึกว่า LGBTQ+ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน จนเราต้องพูดอย่างระมัดระวัง หนูเรียกตัวเองว่าเป็น pansexual เพราะหนูชอบที่ตัวบุคคล ไม่ว่าเขาจะเป็นชาย หญิง เกย์ กะเทย ทอม ทรานเจนเดอร์ เราชอบเขาได้หมด
“ตอนแรกหนูรู้สึกว่าความรักเป็นเรื่องที่ต้องรูดซิปปาก ยิ่งการออกมาเปิดเผยว่าฉันมีแฟนนะ จะกระทบต่อความรู้สึกของแฟนคลับรึเปล่า เขาจะรู้สึกได้รับความรักน้อยลงรึเปล่า สิ่งที่เซอร์ไพร์สคือ พอหนูเปิดเผยว่ากำลังมีความรักนะ ทุกคนกลับเปิดรับมากกว่าที่คิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดรับความเป็น pansexual ของเรา คือหนูรู้ตัวตั้งแต่เด็ก แต่รีแอ็กชันที่เราได้รับระหว่างตอนเด็กกับตอนนี้แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด หนูได้รับรีแอ็กชันในแง่ดีมากกว่าที่คิด สะท้อนว่าสังคมเปิดกว้างขึ้น
นิยามความรักของมิวสิค คนที่อยู่เคียงข้างและคอยเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน “หนูรู้สึกว่าการมีคนเฝ้าประคองเราในวันที่เรารักตัวเองไม่ไหว ก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน มันจะมีวันที่เราไม่ชอบตัวเองเลย รู้สึกชีวิตนั้นยาก หรือเจอเรื่องที่ต้องการการซัปพอร์ตทางอารมณ์ แล้วมีคนคนนี้เป็นให้เราได้ คอยซัปพอร์ตซึ่งกันและกัน ก็เป็นอะไรที่ดีนะ”
Hater
“แต่ละคนมีวิธีรับมือดราม่าและคอมเมนต์เกลียดชังแตกต่างกัน บางคนปล่อยวาง บางคนทำความเข้าใจ บางคนไม่คิดอะไรเลย ส่วนหนูจัดอยู่ในจำพวกคิดมาก หนูได้รับความเกลียดชังเร็ว ตอนนั้นเราเด็กมาก ไม่เข้าใจโลกใบนี้เลยด้วยซ้ำ แล้วจู่ๆ คนเป็นพัน หรืออาจจะแค่สิบคน ก็เขวี้ยงความเกลียดชังมาให้ สำหรับหนูเป็นเรื่องใหญ่มาก แม้แต่ตอนนี้ก็ยังรับมือไม่ค่อยได้ ยังตั้งคำถามกับคำพูดไม่ดีที่เขาเขวี้ยงใส่เรา”
Passion or Realistic
“ทุกวันนี้หนูเลือกสิ่งต่างๆ จากความชอบและความเป็นไปได้ค่ะ หนูคิดว่าคนเราไม่มีโอกาสเลือกทำสิ่งที่ชอบหรือไม่ชอบได้มากนัก แต่ถ้ามีโอกาสเลือก ย่อมอยากเลือกสิ่งที่ชอบมากกว่า เพราะชีวิตมีครั้งเดียว ไม่อยากเสียใจทีหลัง
“แต่หนูก็เข้าใจว่างานคืองาน หน้าที่คือหน้าที่ ต่อให้เราไม่ชอบไม่อยากก็ต้องทำมันอยู่ดี หนูไม่อยากให้ลูกค้าที่เลือกเราแล้ว ต้องมารู้สึกว่าเราไม่ชอบเขา ไม่อยากทำงานกับเขา เขาคงเสียใจ และหนูก็ขอบคุณที่เขาเลือกเรา จึงอยากเต็มที่กับงานที่ได้รับมอบหมาย ช่วงนี้รับเกือบทุกงานนะคะ เรียกตัวเองว่าฟรีแลนซ์ อะไรที่ทำได้ก็อยากลองทำให้หมด จะมีแค่งานวาไรตี้ที่ไม่ค่อยรับ เพราะหนูไม่ใช่คนตลก เป็นประเภทจริงจัง คิดว่างั้นค่ะ”
Important Things
สิ่งที่นักแสดงสาวโฟกัสในปัจจุบัน ได้แก่ “อันดับแรกคือเรื่องเงินค่ะ พอทำงานก็พบว่าการเงินเป็นเรื่องสำคัญนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องภาษีที่เราต้องทำความเข้าใจ น่าแปลกที่ไม่มีการเรียนการสอน หรือพูดถึงเรื่องนี้นัก
“อันดับต่อมาคือการดูแลสุขภาพ หนูเป็นคนหนึ่งที่ต้องไปกายภาพบำบัด งงมั้ย ทั้งที่ไม่ได้ทำงานออฟฟิศแต่เป็นออฟฟิศซินโดรม เนื่องจากที่ผ่านมาใส่รองเท้าส้นสูงเต้น มันไม่รองรับข้อเข่านัก เพื่อนของหนูในวงหลายคนก็มีปัญหาเรื่องเข่าและร่างกาย ยิ่งข้อเท้าพลิกบ่อยๆ ก็ยิ่งส่งผลเสีย พอมาคิดดูแล้ว คงจะดีกว่าไหมถ้าวิชาพละมีการสอนเรื่องการยืดเหยียดกล้ามเนื้ออย่างถูกต้อง การนั่ง การเดินที่ถูกวิธี
“เรื่องสุดท้าย คือ self-love หรือการรักตัวเอง หนูรู้สึกว่าคนในสังคมค่อนข้างเขวี้ยงความเกลียดชังให้กันได้ง่าย อาจเพราะเห็นดราม่าในโซเชียลเยอะมั้ง หนูอยากเห็นการซัปพอร์ตกันมากกว่าคำด่า หลายครั้งที่คำด่าก็ทำให้รู้สึกไปว่าคนคนนี้ขาดเซลฟ์เลิฟรึเปล่า อยากให้ทุกคนให้ความสำคัญแก่ตัวเอง สะท้อนความคิดและอารมณ์ของตัวเองกันเยอะๆ รวมถึงหนูด้วย อยากเป็นคนที่เข้าใจตัวเองก่อนจะไปเข้าใจคนอื่น”
Goal for 2024
“เป้าหมายของหนูคือการมีความสุข ความสุขของหนูคือการตื่นมาแล้วคิดว่าวันนี้กินอะไร หนูแค่อยากมีความสุขสม่ำเสมอในทุกวัน แม้จะเป็น bad day ก็อยากหาความสุขเล็กๆ ให้เจอ ไม่อยากใช้ชีวิตรีบร้อน ปล่อยให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่อยากบอกว่าจะทำอะไร เพราะถ้าไม่สำเร็จจะผิดหวัง แต่ถ้าวันหนึ่งได้ทำ ค่อยมาบอกทีหลังว่าปีนี้หนูทำสิ่งนี้สำเร็จแล้ว อย่างเช่น ปี 2566 ที่ผ่านมา หนูอยากเรียนตัดชุด ก็ได้เรียนแล้วนะ หนูอยากเรียนภาษาญี่ปุ่นเพิ่มเติม ก็ได้เรียนแล้ว หนูอยากเรียนศิลปะป้องกันตัวญี่ปุ่น คือไอคิโด ก็ได้เรียน ได้พากย์การ์ตูน ได้แสดงหนัง ประมาณนี้ค่ะ”
ขอบคุณสถานที่ (โลโก้อยู่ในกล่องเครดิต)
โรงแรม สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท
ที่อยู่: 89/8, 89/9 ซอย สุขุมวิท 24 แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพ 10110
เบอร์โทร: 02 779 8999
อีเมล: bkkpp.info@ihg.com