นิยามตัวเองเป็นคนแบบไหน เราถามชายหนุ่ม “เป็นคนบ้าครับ (หัวเราะ) เป็นคนสนุก เป็นมนุษย์ไม่อยู่นิ่ง กล้าเสี่ยง เราเสี่ยงกับทุกเส้นทางที่เลือก ทุ่มสุดตัว ทั้งเรื่องงานและเรื่องความสัมพันธ์กับผู้คน”
นี่คือคำตอบที่ได้จาก ‘เซ้นต์’ ศุภพงษ์ อุดมแก้วกาญจนา ซึ่งเราให้สมญา “อายุน้อยร้อยโพรเจกต์” เพื่อนิยามตัวตนของเขาอีกหนึ่งสมญา ในวัย 24 ย่าง 25 ปี หลายคนยังอยู่ในช่วงที่เรียกว่า first jobber ทว่าอายุ 24 ปีของเซ้นต์ผ่านการเล่นซีรีส์มาแล้วหลายเรื่อง (แจ้งเกิดด้วยซีรีส์วาย บังเอิญรัก Love by Chance) และกำลังจะมีผลงานละครชุดดวงใจเทวพรหม ภาคต่อของสุภาพบุรุษจุฑาเทพ เป็นพิธีกรรายการเพลง T-Pop Stage เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทผลิตสื่อบันเทิง Idol Factory และเป็นผู้จัดซีรีส์ แอบหลงรักเดอะซีรีส์ และ ทฤษฎีสีชมพู นี่เป็นเพียงงานในวงการบันเทิงเท่านั้น แน่นอนว่าชายหนุ่มคนนี้มีโพรเจกต์อีกนับสิบที่เขาวางแผนไว้ บทสนทนานี้จึงเกี่ยวกับคติ วิสัยทัศน์ และเศรษฐศาสตร์ ที่หล่อหลอมในตัวเขา เชื่อว่าจะสร้างแรงบันดาลใจและพลังบวกได้ไม่น้อย
ออกจากกรอบของตัวเอง
“ชื่อ ‘เซ้นต์’ แปลว่านักบวช แต่ผมนับถือพุทธครับ แม่เอาชื่อมาจากหนังที่ชอบ บางครั้งแม่ก็เรียกผมว่า ‘ลูกซุปๆ’ เสียงเพี้ยนมาจาก ‘ศุภพงษ์’ ชื่อจริงฮะ มีชื่อจีนคือหวงหมิงหมิง เป็นเหลนคนสุดท้ายที่มีชื่อจีน วัยเด็กใช้ชีวิตที่จังหวัดตราดก่อนจะย้ายมาเรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนอัสสัมชัญ” เซ้นต์รำลึกความหลัง
“สมัยเด็กถ้าใครถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ผมมักตอบว่าทำธุรกิจ พอดีว่าได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งกล่าวว่า ถ้าอยากเป็นนักธุรกิจหรือนักลงทุนที่เติบโต ต้องมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ตอนนั้นถ้าเลือกเรียนต่อที่ตราด ก็จะได้อยู่ห้องคิง แต่ถ้ามากรุงเทพฯ ก็เริ่มต้นใหม่ ผมเลือกเสี่ยงเพื่อการเปลี่ยนแปลง จึงย้ายมาเรียน ม.ปลาย ที่กรุงเทพฯ”
การตัดสินใจที่ดีที่สุด
“ปัจจุบันผมใช้คำว่า ‘นักลงทุน’ แทน ‘นักธุรกิจ’ เพราะไม่อยากโฟกัสแค่ธุรกิจเดียว แต่ผมชอบที่จะเห็นธุรกิจเกิดใหม่ และเรามีส่วนร่วมซัพพอร์ต ด้วยความที่สนใจการลงทุนจึงเลือกเรียนเศรษฐศาสตร์ ที่มศว เพราะเศรษฐศาสตร์อยู่รอบตัวเราตลอดเวลา ทฤษฎีกล่าวว่าเศรษฐศาสตร์คือการตัดสินใจใช้ทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่สำหรับผมนิยามให้แคบกว่านั้นว่า เศรษฐศาสตร์ = การตัดสินใจ เริ่มตั้งแต่การตัดสินใจเล็กๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น ผมจะกินน้ำตอนนี้ก็เป็นการตัดสินใจ ตื่นเช้าขึ้นมาจะทำอะไร ก่อนนอนจะทำอะไร ล้วนเป็นการตัดสินใจทั้งนั้น ผมอยากเรียนรู้เพื่อให้มีการตัดสินใจที่ดี และสามารถช่วยผู้อื่นให้เขามีการตัดสินใจที่ดีด้วย ส่วนปริญญาโท เลือกเรียน Business Design Thinking เพราะคิดว่าน่าจะต่อยอดธุรกิจของผมได้
“ผมอยากเป็นนักธุรกิจมากๆ จึงพยายามเข้าหารุ่นพี่ศิษย์เก่าที่ทำธุรกิจ เพื่อขอเขาฝึกงานโดยไม่รับค่าจ้าง เคยขอเข้าไปนั่งฟังพี่เขาประชุมกัน เพราะอยากรู้ว่าคุยอะไร เคยฝึกงานในทีมมาร์เก็ตติงสร้างคอนโดฯ เคยช่วยขายรถ ส่งต่อลูกค้าให้รุ่นพี่ ได้ค่าตอบแทนนิดหน่อย และเคยขายของก๊อกๆ แก๊กๆ ผมพยายามหาค่าขนมเอง เพราะลำพังค่าเล่าเรียนก็หลายหมื่นแล้ว ไม่อยากรบกวนครอบครัวมากกว่านี้ พอขึ้นปีหนึ่งก็เลิกขอเงินที่บ้านครับ”
อาสาสร้างสุข
นอกจากเรื่องเรียนและความฝันที่อยากทำธุรกิจ อีกสิ่งที่เซ้นต์ทุ่มเทกายใจทำมาตลอดนั่นคือการทำงานอาสา “ผมเป็นคนทำอะไรทำสุดแรง จึงไม่ใช่แค่ชอบทำงานอาสาธรรมดา เรียกว่าบ้าทำเลย เริ่มตั้งแต่ประถมเลยครับ สมัยเด็กๆ อากงเป็นประธานศาลเจ้า ผมก็ไปช่วยอากงทำงาน เช่น งานเทกระจาด งานล้างป่าช้า ผมไปช่วยขุดศพ ช่วยแล่เนื้อแห้งๆ ที่ติดกระดูก พอ ป.3 ตั้งกลุ่มอาสาครั้งแรก ผมกับอาจารย์ที่เป็นประธานสร้างกลุ่มขึ้นมาสองคน ตอนนั้นยังเด็ก ไม่มีทุนทรัพย์จะช่วยเหลือ ก็ใช้แรงกายเข้าช่วย เน้นช่วยงานพุทธศาสนา ช่วยงานวัดต่างๆ ผมชอบสวดมนต์ ทำบุญ ปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว พอโตขึ้นเริ่มระดมทุนได้ก็มีนำของไปบริจาค จัดสวดมนต์ข้ามปี ซึ่งผมจัด 11 ปีต่อเนื่อง นอกจากนั้นมีช่วยงานเครือข่ายส่งเสริมศักยภาพเด็กและเยาวชน กลุ่มอินเทอร์แรคท์ เป็นโรตารี่ของเด็กมัธยม อยู่ชมรมอาสาพัฒนา เรียกว่าทำงานอาสาตั้งแต่สมัยอยู่ตราดจนเข้ามหา’ลัยเลยครับ”
เห็นหนุ่มเซ้นต์ผิวขาวหน้าใสแบบนี้ เจ้าตัวกล่าวว่าชอบงานก่อสร้างมาก “ผมถนัดงานก่อสร้าง เพราะคุณแม่สอนให้ทำงานช่างแต่เด็ก พอทำค่ายอาสา เราอยู่หน่วยจัดการ ทำงานวางแผนต่างๆ แต่ทรัพยากรคนจำกัด เมื่อลงพื้นที่ผมต้องเป็นกำลังเสริมให้แผนกต่างๆ ผมจะอยู่แผนกช่างหรือก่อสร้าง ผมเป็นรุ่นพี่บางครั้งก็เสียสละให้รุ่นน้องนอน ส่วนเรานั่งผสมปูนถึงตีหนึ่งเพราะมีเวลาทำแค่ 7 วัน”
เพราะทำงานอาสานับสิบปี จึงเห็นข้อด้อยบางอย่างที่ต้องปรับปรุง “ผมทำค่ายอาสาสมัยมัธยมปลาย เราไปที่จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อทำสนามเด็กเล่นให้โรงเรียน ต้องเทปูนทำสนาม ซึ่งพวกเราทำไม่เป็น ต่อให้มีทุนทรัพย์แต่ไม่มีความรู้ก็ใช่ว่าจะทำสำเร็จ ผมจึงเกิดความคิดว่า คงจะดีถ้ามีหน่วยงานที่พารุ่นพี่ซึ่งเคยทำค่ายอาสามาส่งต่อความรู้ให้รุ่นน้อง พอผมเข้ามหา’ลัย ก็อยู่ชมรมอาสาพัฒนา เป็นรองประธาน ผมเล็งเห็นว่ามหา’ลัยคือการรวมตัวของเด็กที่ถนัดหลากหลาย เรามีเด็กวิศวะโยธาที่ช่วยให้ความรู้เรื่องก่อสร้าง มีเด็กเศรษฐศาสตร์ช่วยดูแลการเงินการจัดการ ถ้านำองค์ความรู้ที่มีส่งต่อให้น้อง ปั้นเด็กอาสารุ่นใหม่ๆ เขาไม่ต้องลองผิดลองถูกเอง มีพี่เลี้ยงคอยสอน เช่น จะขอทุนยังไงโดยไม่เน้นเปิดกล่องรับบริจาค ผมจึงเป็นรุ่นแรกที่บุกเบิกจัดตั้งหน่วยนี้ขึ้นมาซัพพอร์ต”
เหตุผลของการทำงานอาสาอย่างต่อเนื่องคืออะไร เราถามเซ้นต์ “ผมว่ามนุษย์เรามีความต้องการบางอย่างที่แตกต่างกัน บางคนต้องการผลประโยชน์ บางคนต้องการเงิน ส่วนการทำงานอาสานั้นคือความต้องการช่วยเหลือผู้อื่น ต้องการทำความดี ผมชอบบรรยากาศที่ทุกคนมารวมตัวกันแล้วมีเป้าหมายเดียวกัน คือทำเพื่อผู้อื่น สร้างความสุขให้เขา เป็นเป้าหมายร่วมที่ใหญ่มาก จนเป้าหมายส่วนตัวไม่สำคัญเท่า
“ทุกวันนี้ผมยังเป็นที่ปรึกษาให้รุ่นน้องอาสา หลายคนมีอุดมคติ แต่ท้อแท้ใจ ผมจะไม่ห้ามและไม่บอกให้ทำต่อ แค่ถามว่ายังมีความสุขกับสิ่งที่ทำไหม ถ้ายังแฮปปี้ ตอนนี้เหนื่อยก็ถอยออกมาก่อน ไม่ต้องตัดขาด แค่อยู่ในจุดที่เราจัดสมดุลชีวิตได้ บางคนคุณพ่อคุณแม่ไม่เข้าใจ ผู้ใหญ่เขาไม่เห็นสิ่งที่เราจะได้ ก็ต้องสื่อสารว่าเราไม่ได้ไปเกเรนะ ผมเชื่อว่าทุกความขัดแย้งแก้ได้ด้วยการสื่อสารให้เข้าใจ”
จากเปิดกล่องรับบริจาคสู่เปิดประตูวงการบันเทิง
“ผมเข้าวงการบันเทิงเพราะงานอาสา” เซ้นต์เล่าถึงจุดเริ่มต้นบนเส้นทางบันเทิงว่า ช่วงที่ไปเปิดกล่องรับบริจาคทำค่ายต่างๆ นั้นมีแมวมองมาชักชวนให้เข้าวงการ แต่เขาไม่สนใจ เพราะอยากโฟกัสเรื่องเรียนและการทำค่ายเป็นหลัก ทว่ากลับเจอเหตุการณ์ที่จุดเปลี่ยนทางความคิด “ผมไปเปิดกล่องรับบริจาค แล้วโดนพูดเหมือนพวกเราจะมาหลอก ทั้งๆ ที่โรงเรียนมัธยมของผมก็ค่อนข้างน่าเชื่อถือ เด็กอาตี๋หน้าขาวๆ สิบกว่าคนมาเปิดกล่องยังโดนครหาว่าจะหลอก ผมพูดเชิญชวนบริจาคทั้งวันเช้ายันเย็น ได้มา 20 บาท จนกลับไปคิดว่าจะทำยังไงให้มีความน่าเชื่อถือกว่านี้ เลยตั้งใจจะเข้าวงการบันเทิง เพื่อให้เสียงของเรามีน้ำหนักพอที่จะชวนคนมาทำความดี
“จากนั้นผมไปแคสติงทุกวัน จนได้โอกาสรับบทนำในซีรีส์บังเอิญรัก แม้จะเข้าวงการด้วยเหตุผลอยากทำค่าย แต่พอร่วมงานไปสักพักก็รู้สึกว่ารักงานบันเทิง รักการแสดง รักการร้องเพลง จะเห็นว่าผมถ่ายแบบก็อินกับงานมาก กล้าพูดเลยว่าไม่มีงานไหนที่ไม่ภูมิใจ ไม่มีงานไหนที่ไม่เต็มที่ ส่วนปณิธานที่อยากชวนคนมาทำความดี ปีแรกผมสามารถพาแฟนคลับไปทำบุญ ปีต่อมาไปสร้างกำแพงวัด เงินบริจาคก็ส่งต่อให้หน่วยงานการกุศลและหน่วยงานอาสาของมหาวิทยาลัยครับ”
เซ้นต์ไม่หยุดเพียงแค่เปิดประตูวงการบันเทิงสำหรับตัวเองเท่านั้น แต่ยังมอบโอกาสแก่ผู้มีฝันคนอื่นได้เปิดประตูก้าวสู่วงการนี้ด้วย “ความตั้งใจแรกที่ผมเปิดบริษัทเพื่อดูแลเรื่องงานตัวเองครับ เริ่มต้นกับผู้จัดการแค่สองคน จากนั้นมีน้องที่รู้จักซึ่งเจอเหตุการณ์เลวร้ายของวงการบันเทิงมาไม่ต่างกัน ขออยู่ด้วย เป็นสามคน เวลาผมออกงานก็จะพาน้องไป แต่เขากลับไม่ได้โอกาส ไม่มีแสงสปอตไลต์ส่องถึง แม้มีคนยื่นข้อเสนอให้ พอเอาเข้าจริงกับไม่เหมือนที่ตกลง จนน้องท้อ และบอกว่าจะออกจากวงการ ทั้งที่เขาเริ่มแคสต์งานก่อนผมอีก ผมเลยตัดสินใจบอกว่าอดทนสู้อีกสักปี พี่จะเก็บเงินสร้างซีรีส์ให้ จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่บริษัท Idol Factory ทำธุรกิจเอนเทอร์เทนเมนต์ครบวงจร ทั้งดูแลศิลปิน ซึ่งปัจจุบันมีน้องๆ ในสังกัด 8-9 คน ไปจนถึงงานโพรดักชันครับ” เซ้นต์เล่าถึงก้าวสำคัญในการทำธุรกิจของเขา
“เมื่อเราวางแผนจะทำซีรีส์แล้ว ต่อมาคือการตกผลึกว่าจะทำแนวไหน เริ่มจากสิ่งที่ถนัดก่อนคือซีรีส์วาย เพราะผมแจ้งเกิดจากแนวนี้ เราเข้าใจองค์ประกอบต่างๆ และอยากสนับสนุนวงการ LGBTQ+ ด้วยผมมองว่าหน้าที่ผู้จัดคือการสร้างสรรค์สังคม เราอยากสนับสนุนหรือเป็นกระบอกเสียงให้อะไร และผมยังมองไกลไปอีกว่า สิ่งที่เราอยากสร้างไม่ใช่แค่ละครหรือซีรีส์เท่านั้น แต่เรายังสร้างโอกาส สร้างชีวิตให้เด็กๆ อีก หลายคนสู้มาเยอะมาก สิ่งที่เขาต้องการแค่โอกาสสักครั้ง เมื่อผมอยู่ในจุดที่ให้โอกาสได้ ก็อยากมอบให้ แม้จะเป็นเพียงโอกาสเล็กๆ”
กรุยทางสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ
“ซีรีส์เรื่องล่าสุดคือ ทฤษฎีสีชมพู ซึ่งเป็นซีรีส์ความรักระหว่างผู้หญิงกับผู้หญิง เป็นโพรเจ็กต์ที่ผมพูดมาสองปีแล้วว่าอยาก ผมไม่สนด้วยว่าใครจะทักท้วงยังไง เพื่อนนักลงทุนก็ปรามว่าซีรีส์แนวนี้ไม่มีข้อมูลทางสถิติเลยนะ ต่างจากซีรีส์ชาย-ชายที่ทำกันมานาน สิ่งที่เสียเปรียบคือเมื่อไม่มีสถิติให้เห็น นักลงทุนย่อมไม่เชื่อมั่น แถมโพรเจ็กต์หลักล้านขนาดนี้ เด็กอายุ 21 ปีใครจะกล้าลงทุนด้วย ผมควักจ่ายเองหมด ผลตอบรับจะเป็นอย่างไรไม่ว่ากัน”
เหตุผลที่นักแสดงหนุ่มสนใจซีรีส์หญิงรักหญิงคือ “ทุกวันนี้ยังไม่มีคนทำ ผมอยากเป็นคนเริ่มต้น ถ้ามีผู้ริเริ่ม ก็จะมีผู้สานต่อ เหมือนค่ายอาสาที่ต้องการคนบุกเบิก สังเกตซีรีส์ชายรักชายซึ่งบูมมากๆ เมื่อคนผลิตกันเยอะขึ้น สิ่งที่ตามมาคือการพัฒนา ทุกวันนี้บทซีรีส์วายพัฒนาไปไกล ออกจากรักใสๆ ในรั้วโรงเรียนมัธยมหรือมหา’ลัย สู่อาชีพต่างๆ มีแอ็กชัน แฟนตาซี ผมอยากให้เกิดแบบนี้กับซีรีส์หญิง-หญิงเช่นกัน เพราะสุดท้ายสิ่งที่ได้คืออุตสาหกรรมบันเทิงที่พัฒนาขึ้น และหวังว่าจะพัฒนาถึงจุดที่เพิ่ม GDP เป็นซอฟต์พาวเวอร์ของเรา แน่นอนว่าทั้งหมดนี้อาจไม่ทันในรุ่นผม อาจเกิดขึ้นในรุ่นลูกหลาน แต่ถ้าเราไม่เริ่มเสียวันนี้ จะเกิดในรุ่นหลังได้อย่างไร”
เรียนรู้แล้วก้าวไปข้างหน้า
เซ้นต์ไม่เคยนิยามคำว่า “ดัง” คือแบบไหน แต่มีภาพของความสำเร็จที่อยากไปให้ถึง “ผมอาจมองในมุมเศรษฐศาสตร์ คือผมอยากเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงจนได้ไปทำงานต่างประเทศ จากนั้นนำองค์ความรู้จากต่างประเทศมาพัฒนางานในเมืองไทย ดึงนายทุนต่างประเทศมาลงทุน เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ให้เจริญยิ่งขึ้น ผมคิดว่าวงการบันเทิงไทยยังมีกรอบ เราไม่โตเท่าหลายๆ ประเทศ แน่นอนว่าสิ่งนี้จะไม่เป็นจริงถ้าเรามีเพียงอุดมคติ มันจะเกิดขึ้นได้หากเราทำธุรกิจ มีเงินทุน มีผู้ใหญ่ให้โอกาส ต้องอาศัยความร่วมมือกัน ผมอยากจะเป็นคนดึงทุกฝ่ายแล้วช่วยกันพัฒนา”
แม้เซ้นต์จะยังมีอายุไม่เยอะ แต่ก็ผ่านประสบการณ์มาไม่น้อย เมื่อเจอปัญหานักแสดงหนุ่มใช้ความอดทนเป็นที่ตั้ง “ผมรู้สึกว่าแค่อดทนครับ แล้ววันหนึ่งปัญหาก็จะเล็กลง โฟกัสที่เหตุแห่งทุกข์ เรียนรู้ แก้ไข และปล่อยวาง มันคืออริยสัจ 4 ผมเองก็มีความกดดัน มีความทุกข์ เราหนีไม่พ้นเพราะเราเป็นมนุษย์ แต่อริยสัจ 4 ช่วยให้มูฟออนได้เร็ว”
สิ่งที่เซ้นต์ได้เรียนรู้ และเป็นปณิธานในการดำเนินชีวิตของเขา “หนึ่ง เต็มที่กับทุกอย่าง เพราะจะได้ไม่เสียใจทีหลัง อะไรที่ทำไปแล้วก็อย่าเสียใจ เราทำดีที่สุดแล้ว ยอมรับผลและเรียนรู้ ไม่ดีก็แก้ไข ดีก็ก้าวต่อ สอง รักคนรอบข้างเหมือนรักตัวเอง เรามีเวลาอยู่บนโลกนี้ไม่เกิน 100 ปี แค่หลักหมื่นวันเท่านั้น มีเวลาเจอกันแค่นี้ อยากให้ทำดีต่อกัน ไม่ต้องคาดหวัง แต่เชื่อว่าจะนำมาซึ่งสิ่งดีๆ ผมอยากให้โลกนี้น่าอยู่ เราเริ่มได้ด้วยการแคร์คนรอบข้าง เห็นใจกัน แบ่งปันกัน ไม่ใช่แค่เรามีความสุข แต่สังคมโลกเราก็จะสงบสุขด้วย สาม รอบคอบกับทุกก้าว ทางเดินชีวิตไม่ราบรื่นเสมอไป ฉะนั้นต้องไตร่ตรอง วิเคราะห์ เรียนรู้ เราก็จะลดข้อผิดพลาดลงได้”
นักแสดงหนุ่มอายุน้อยร้อยโพรเจ็กต์ไม่หยุดแค่ธุรกิจในวงการบันเทิง แต่ยังวางแผนลงทุนในอุตสาหกรรมอื่นด้วย เราเชื่อว่าความมุ่งมั่นที่จะสู้ไม่ถอย และปณิธานที่เขายึดไว้ในใจ จะเป็นพลังให้เขาประสบความสำเร็จดังหวัง
คอลัมน์: เรื่องจากปก เรื่อง: ภิญญ์สินี ภาพ: อนุชา ศรีกรการ
ASAI Bangkok Chinatown
Dusit International
531 Charoen Krung Rd, Pom Prap,
Pom Prap Sattru Phai, Bangkok 10110
T: +66 2200 8999 Ext.8993
Instagram: asaihotels
Facebook: ASAI Hotels