“สวัสดีครับ ผม ‘หยิ่น’ อานันท์ ครับผม ผมเป็นคนง่ายๆ ชิลล์ๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน ตั้งใจทำงาน เสร็จจากงานก็กลับไปออกกำลังกาย นอน ตื่นมาทำงานต่อ ช่วงนี้เน้นทำงานเป็นหลัก ถ้ามีเวลาว่างหน่อย มักจะแพลนไปเที่ยว เป็นคนชอบอิสระ”
ชื่อของ ‘หยิ่น’ อานันท์ อาจยังใหม่ในวงการบันเทิง เพราะนักแสดงหนุ่มเพิ่งประเดิมผลงานเมื่อไม่นานนี้ ด้วยการเป็นพระเอกมินิซีรีส์วาย En of Love รักวุ่นๆ ของหนุ่มวิศวะ ตอน กลรักรุ่นพี่ โดยที่เจ้าตัวไม่เคยผ่านงานในวงการใดๆ มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการประกวด การแคสติ้งโฆษณา หรือแสดงในเอ็มวี เรียกได้ว่างานแรกก็เจอของยากเลย แม้จะเป็นครั้งแรกของการอยู่หน้ากล้อง แต่เขาก็ทำผลงานได้ดี จนเกิดกระแสตอบรับจากแฟนคลับเป็นอย่างมาก แม้ซีรีส์จะมีเพียงสี่ตอน แต่ก็ส่งผลให้ชื่อของเขาและคู่จิ้น หยิ่น-วอร์ ขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์ บทบาทของหนุ่มวิศวะปากไม่ตรงกับใจได้มัดใจผู้ชมไว้อยู่หมัด
แม้ประสบการณ์การทำงานวงการบันเทิงของเขาจะมีไม่มาก แต่เขากลับสั่งสมความจัดเจนในชีวิตไว้ไม่น้อย ในวัยย่าง 23 ปี เขารู้จักคำว่า “ไม่มี” รู้จักความผิดหวัง และรู้ว่าชีวิตนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป หยิ่นอธิบายตัวตนว่า เขาเติบโตมากับความจริงของชีวิต ดังนั้นบุคลิกและอุปนิสัยของเขาอาจไม่ได้สดใสเหมือนเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน ออกจะหม่นๆ เงียบๆ ชอบเป็นผู้ฟัง และคิดเยอะในการเปิดบทสนทนา ทว่าเมื่อได้สนทนาและสัมผัสถึงตัวตน เรากลับคิดว่า บุคลิกที่ดูโตเกินวัย ไตร่ตรอง วางแผน ชัดเจน และมองโลกตามความเป็นจริงของเขานั้น กลับเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง เราจึงอยากชวนผู้อ่านมาทำความรู้จักตัวตน ความคิด ของนักแสดงวัยรุ่นคนนี้ให้มากขึ้น
1.หยิ่น: สิ่งที่หล่อหลอมความเป็นตัวตน
“ที่บอกว่าโตมากับความจริง กล่าวคือครอบครัวของผมก็เหมือนหลายๆ ครอบครัว ที่ประสบปัญหาล้มละลาย แล้วพ่อของผมเป็นคนต่างชาติ เป็นคนฮ่องกง เขามีสไตล์การเลี้ยงดูแตกต่างจากแม่ที่เป็นคนไทย แม่ไม่ค่อยพูดปัญหาครอบครัวให้ฟัง เพราะเห็นว่าเรายังเด็ก กลัวเราเครียด พูดไปก็เท่านั้น แต่พ่อมักคอยบอกสถานการณ์ตลอด เช่น ช่วงนี้ไม่มีงานนะ ใช้เงินระวังๆ หน่อย ให้เรารับรู้ไว้ก่อนจะได้เตรียมใจ ดีกว่าอยู่ๆ มารู้ทีเดียว คนรับไม่ไหวก็พัง แต่ขนาดรู้ก่อนยังเกือบจะพังเลย” เขาเริ่มต้นฉายภาพวัยเด็ก
หยิ่นเล่าถึงธุรกิจครอบครัวว่า คุณพ่อซึ่งเป็นคนฮ่องกงทำงานเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง เพื่อลงทุนทำธุรกิจเสื้อผ้า ในช่วงต้นธุรกิจไปได้สวย จนขยายกิจการ และมีช้อปในห้างสรรพสินค้า แต่ด้วยวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี 2540 เงินที่ลงทุนไปกลายเป็นทุนจม และขาดสภาพคล่อง ในที่สุดต้องปิดกิจการ และคุณพ่อก็ต้องเปลี่ยนงานไปเป็นลูกจ้างในโรงงานอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง ทว่าในเวลาต่อมาบริษัทที่คุณพ่อทำงานได้ปิดกิจการลง พนักงานถูกเลิกจ้าง คุณพ่อจึงตัดสินใจกลับไปทำธุรกิจเสื้อผ้าอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ จึงเบนเข็มสู่ธุรกิจสวนผักไฮโดรโปรนิกส์ แล้วต่อยอดด้วยการทำสลัดโรลขาย โดยมีคุณแม่กับคุณยายเป็นคนดูแล ในช่วงแรกยอดขายไปได้ดี แต่ด้วยภาระหนี้สินที่มี ประกอบกับปัญหาต่างๆ รุมเร้าภายหลัง ก็ทำให้ธุรกิจดำเนินไปไม่ราบรื่นอย่างที่หวัง เมื่องานการในประเทศไทยล้มเหลว คุณพ่อของนักแสดงหนุ่มจึงตัดสินใจบินเดี่ยวไปหาลู่ทางใหม่ที่ฮ่องกง
“สักช่วง ป.6 ที่เราได้รับรู้ว่าโรงงานที่บ้านไม่มีแล้ว และพ่อก็ต้องไปทำงานโรงงานอื่น เราแทบไม่รู้หรอกว่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปมากมายตอนไหน พอเรารู้ตัวก็เป็นแบบนั้นไปแล้ว ด้วยความที่เรารับรู้ปัญหามาตั้งแต่เด็ก ผมจึงไม่ค่อยเหมือนเพื่อนวัยเดียวกัน เพื่อนๆ สดใสสมวัย แต่ตัวผมออกจะหม่นๆ เงียบๆ ชอบเป็นผู้ฟัง ดูเข้าใจโลกมากกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน ในขณะที่เพื่อนบางคนร้องไห้เพราะอกหัก เรากลับไม่ค่อยเข้าใจ เรื่องแค่นี้ร้องไห้ด้วยเหรอ ถ้าเป็นกูจะร้องไห้ไหมวะ เหมือนตัวเองเลยระดับความเจ็บปวดของวัยเด็กไปแล้ว เพราะเราได้รับรู้ความเจ็บปวดที่เข้มข้นกว่านั้น”
รู้สึกว่าตัวเองต่างจากเพื่อนๆ เหรอ เราถามย้ำ “ใช่ ผมเรียนสารสาสน์ เพื่อนหลายคนในกลุ่มมาจากครอบครัวมีสตางค์ พอเขาอยากได้อะไรก็ขอแม่ซื้อให้ เช่น ซื้อโทรศัพท์ เรารู้สึกดีนะ อยากมีโมเมนต์นั้นบ้าง แต่ไม่ได้อิจฉานะครับ ไม่เคยคิดอิจฉา แค่รู้ว่าสังคมเรามีหลากหลายแบบ ในส่วนของผมแค่พอประทังชีวิต ถามว่ามีเหลือให้ซื้อของได้ไหม ก็ซื้อได้ แต่ที่บ้านไม่ซื้อให้ ครอบครัวของผมสไตล์อยากได้อะไรต้องเก็บสตางค์ซื้อเอง ไม่ว่าจะเป็นของไร้สาระขนาดไหน ถ้าเราเก็บเงินซื้อเอง ที่บ้านจะไม่ว่าอะไร เมื่อเราอยากได้โทรศัพท์ซึ่งราคาเป็นหมื่น เป็นเงินที่เยอะสำหรับเด็กนักเรียน ผมค่อยๆ ออมจากค่าขนมจนครบหมื่น ถ้าผมเก็บครบหมื่น น้าจะช่วยสมทบอีกหมื่น มือถือเครื่องแรกได้มาตอนม.2 คือ iPhone 4s ยังดีใจได้ไม่ทันไร โดนขโมยไป เจ็บใจมาก เราเก็บเงินซื้อเองนะ กว่าจะเก็บได้ครบใช้เวลาไม่ใช่เล่น ถ้าเป็นเด็กคนอื่น พ่อแม่คงช่วยซื้อเครื่องใหม่ให้ หรือให้เครื่องอื่นมาแทน แต่เราหายก็เท่ากับศูนย์ ต้องเริ่มเก็บเงินใหม่” (ร้องไห้ไหมตอนนั้น เราถาม) “ร้อง ผมแค้น ผมเจ็บใจ เป็นความรู้สึกแบบกูไม่ได้เบียดเบียนใคร ทำไมชีวิตต้องมาเจออะไรขนาดนี้ด้วยวะเนี่ย”
เราถามถึงความฝันในวัยเด็กของนักแสดงหนุ่ม เขาตอบว่า “ไม่ทันจะได้มีความฝันเลยครับ เราโตมากับการรู้ถึงปัญหาและข้อจำกัดในครอบครัว แต่ก็ไม่ใช่ไม่ดี มันดีตรงที่เรามีเป้าหมายในการทำอะไรสักอย่าง เราตั้งใจเรียนมากขึ้น ถ้าไม่รู้และคิดว่ายังมีทุกอย่างอยู่ ผมอาจใช้ชีวิตเล่นๆ เรื่อยๆ ตามเพื่อน คงไม่เป็นเหมือนตอนนี้”
ไม่อยากทำธุรกิจบ้างเหรอ เราถาม “เคยคิด แต่รู้สึกว่าธุรกิจนอกจากต้องเก่งแล้ว ยังต้องมีดวงด้วย สมมติเก่งเป็นบ้านะ แต่อยู่ๆ เจอวิกฤติเศรษฐกิจเข้า ทำอะไรไม่ได้เลย แต่ถ้าให้ทำผมอยากมีธุรกิจเล็กๆ ก็พอ ไม่อยากเป็นเจ้าของกิจการใหญ่ เอาแค่มีเงินพอใช้ ไม่จำเป็นต้องเยอะ เพราะเห็นหลายๆ คน มีธุรกิจใหญ่โต พออายุมากยังต้องนั่งเครียดกับเรื่องบริษัทของตัวเองอยู่ ชีวิตคนเรานั้นสั้น ผมจึงคิดว่าควรใช้ชีวิตดีกว่า”
อย่างไรก็ตาม แม้เจ้าตัวจะปฏิเสธว่าไม่มีความฝัน แต่ครั้งหนึ่งเป้าหมายในการเรียนของเขาก็เพื่อสอบให้ติดหมอ “ผมอยากเป็นหมอ หนึ่งเพราะเท่ เวลาเราไปหาหมอ เขาแตะเนื้อตัวเรา แล้ววินิจฉัย เออ มันเท่ดีนะ สองถ้าได้เป็นคงรู้สึกดีเพราะได้ช่วยเหลือคน ช่วยคนที่บ้านก็ได้ และสามได้เงิน เป็นอาชีพที่ใช้ฝีมือ มีความมั่นคง ไม่ต้องพึ่งดวง แต่ด้วยความที่ระบบการศึกษาไทย พูดตรงๆ ว่าห่วยแตก แทนที่การเรียนในห้องเรียนจะเป็นหลัก แล้วถ้าตามห้องเรียนไม่ทันค่อยไปเรียนพิเศษเสริม แต่กลายเป็นเรียนในห้องพอถูไถ แล้วไปมุ่งเรียนพิเศษเพื่อให้ทำข้อสอบได้ ปัญหาคือไม่ใช่เด็กทุกคนจะมีโอกาสได้เรียนพิเศษ ถ้าผมมีโอกาสได้ไปติว ผมก็อาจเป็นหมอได้ แต่ถามว่าผมมีโอกาสนั้นไหม ผมไม่มีไง เราไม่มีเงินสนับสนุนการเรียนตรงนั้น และหลายๆ คนก็เป็นแบบเดียวกับผม ความฝันหายไปเพราะไม่มีโอกาส พอผมไปสอบหมอ รู้เลยว่าจบแล้วความฝันนี้ ทั้งที่คิดว่าเตรียมตัวพอแล้วนะ อ่านหนังสือมาไม่น้อย เลยมองเป้าหมายรองคือวิศวกรรมศาสตร์ ตอนเลือกสาขาก็คิดว่าในอนาคตคงเป็นยุคไอทีเต็มตัว คนที่เข้าใจเทคโนโลยีอาจได้เปรียบ เลยเลือกสาขาคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ”
“ผมวางแผนไว้ว่าเรียนจบสี่ปี จากนั้นหางาน คงมีหนทางทำอะไรได้สักอย่าง คิดไว้แบบนั้น บังเอิญโชคดีระหว่างทางมีโอกาสดีๆ เข้ามา แต่ถามว่ามั่นคงไหม คงไม่หรอก ก็ยังต้องวางแผนกันต่อไป เราโตมากับการเห็นปัญหาต่างๆ ทำให้ผมวางแผนชีวิตอยู่เสมอ มีแผนสำรองไว้ในใจ ไม่ได้ตั้งใจคิดนะแต่เป็นไปเอง เวลาจะตัดสินใจทำอะไรเรามักคิดถึงผลลัพธ์ที่แย่ที่สุด เพื่อเตรียมแผนสำรองไว้เผื่อ
2.หยิ่น: ทางเลือกใหม่ที่เพิ่มขึ้น
โอกาสอันไม่คาดคิดที่ผ่านเข้ามาในชีวิตนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ธรรมดาๆ อย่างเขา คือการชักชวนจากแมวมอง ในงาน Open House ซึ่งมหา’ลัยจัด “จริงๆ ผมเป็นคนไม่ทำงานพาร์ทไทม์ ไม่ได้ดูถูกเงินน้อยนะ แต่เวลาและปัจจัยหลายอย่างไม่เอื้ออำนวย อย่างมหา’ลัยของผมอยู่นครนายก สมมติบางคนเขานั่งสองแถวต่อเดียวไปทำงาน ทั้งวันได้เงินสามร้อย เขาก็คุ้มแล้ว แต่ผมต้องนั่งแท็กซี่ 60 บาท ไป-กลับ ไหนจะกินอีก เลยรู้สึกว่ายังไม่เหมาะกับงานพาร์ทไทม์ แต่วันนั้นพี่เขามาชวน ไม่ได้ชวนไปเป็นนักแสดงนะครับ แต่ชวนทำงานรีวิวสินค้า รีวิวโพสต์หนึ่งได้เงินพันหนึ่ง ผมก็เอาสิครับ แค่ลงรูปเดียวก็ได้เงินพันหนึ่งแล้ว ผมเลยทำมาเรื่อยๆ จนเขามีโปรเจ็กต์งานแสดง และบังเอิญได้รับโอกาสนั่นแหละครับ
“ถ้าตามปกติเวลาโดนชวน ผมคงบอกปัด เอาไว้ก่อนแล้วกันครับ เราไม่กล้าตัดสินใจ เราไม่เคยมีผลงานด้วย แล้วไม่ได้เป็นคนมั่นใจในตัวเองขนาดนั้น แต่ ณ ตอนนั้นคือเราไม่มีอะไรจะเสีย ถ้าปฏิเสธชีวิตก็อยู่แบบเดิม ถ้าทำออกมาไม่ดีก็ไม่เป็นไรเพราะเราไม่มีอะไรให้เสียหาย ผมไม่มีความจำเป็นต้องเขินด้วย เลยลองดูสักตั้ง”
ประเดิมงานด้วยการรับบทพระเอกในซีรีส์วาย สร้างความหนักใจให้นักแสดงหน้าใหม่อย่างเขามากน้อยแค่ไหน “ผมไม่ได้หนักใจว่าต้องเล่นคู่ชายกับชาย คือเราไม่รังเกียจ และเราก็รู้ตัวว่าเพศที่เราสนใจคือเพศหญิง ณ ตอนนั้นสิ่งที่หนักใจที่สุดอยู่ที่เราจะแสดงได้เหรอวะ เราจะสวมบทบาทได้ไหม
“ผมตั้งใจมาก อ่านบทแล้วอ่านบทอีก และยังไปเรียนการแสดงด้วย ถือว่าเต็มที่แล้วในเวลานั้น แต่ถามว่าเราเล่นดีไหม ก็แค่…ไม่ย้อนกลับไปดูเพราะอายครับ” (ให้คะแนนตัวเองเท่าไหร่กับผลงานชิ้นนี้ เราถาม) “ให้เยอะอยู่ครับ เพราะเราใหม่จริงๆ จำได้ว่าคำถามแรกในวันเปิดกล้องคือ เราเริ่มแล้วจริงๆ เหรอ ถ้ามีจุดที่หักคะแนนคงเป็นเพราะผมอ่านแต่บท ไม่ได้อ่านเรื่องเต็ม เลยไม่รู้ว่าที่ถ่ายอยู่ถึงช่วงไหนแล้ว อย่างความเจ็บปวดในเรื่องอาจต้องไต่ไปถึงระดับ 8 แต่เราแค่รู้ว่าซีนนี้ต้องทะเลาะกันนะ ไม่สามารถเข้าถึงอารมณ์ลึกซึ้งเท่าที่ควร ก็หักคะแนนส่วนนี้ไป”
ส่วนซีนที่ยากที่สุดนั้น นักแสดงหนุ่มกล่าวว่าสำหรับหน้าใหม่อย่างเขา ทุกกระบวนการของการแสดงล้วนยากเย็น “อย่างการนั่งคุยปกติ ถ้าเป็นชีวิตจริงเราก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก นั่งตามสบาย คุยสิ่งที่อยู่ในหัวเรา แต่พอเป็นการแสดงต้องจัดท่าทาง ไม่ให้บังกล้อง ให้หน้ารับกล้อง การเคลื่อนไหวก็ผิดธรรมชาติแล้ว แต่เรากลับต้องทำให้ดูเป็นธรรมชาติ นอกจากนั้นยังมีเรื่องบทพูดที่ต้องจำให้ได้ เพราะถ้าเราพูดมั่วๆ คนที่เล่นคู่เราจะตามไม่ทัน อย่างเช่น ผมต้องพูดคำว่าขวดน้ำ แต่ผมดันพูดว่าแก้วน้ำ แล้วบทของคนที่เล่นคู่กันเขาต้องพูดขวดน้ำ มันก็ไม่สมเหตุสมผล ไม่ต่อเนื่องกัน สำหรับผมจึงยากไปหมด” ในส่วนความประทับใจ เจ้าตัวเผยว่า รู้สึกประทับใจการที่ตัวเองสามารถแสดงได้ พาร์ทที่ต้องร้องไห้ก็ทำได้ และประทับใจเพื่อนร่วมงานที่ช่วยเหลือกันจนงานสำเร็จ
เราถามหยิ่นต่อว่า บทบาทของ ‘วี’ ตัวละครที่เขาสวมในกลรักรุ่นพี่ กับตัวตนที่แท้จริงของเขา เหมือนหรือต่างกันอย่างไร “เอาที่เหมือนกันก่อนนะครับ เราโตมาคล้ายๆ กัน คือทั้งวีและตัวผมโตมาบนความคาดหวัง เรามีหน้ากาก เราไม่อ่อนแอให้ใครเห็น เราจะถอดหน้ากากและออกอาการอ่อนแอในเวลาที่อยู่คนเดียว หรือไม่ก็อยู่กับคนที่ไว้ใจได้ซึ่งมีไม่มาก ในชีวิตจริงของผมแทบไม่มีเลย แม้กระทั่งครอบครัวผมก็ไม่ให้เห็นด้านอ่อนแอ ส่วนมากมีแค่ตัวเองที่ได้เห็น เรารู้สึกอยากเป็นที่รัก ไม่อยากให้ใครผิดหวังในตัวเรา ส่วนมุมที่ต่างกันคือ วีเป็นคนที่ปากไม่ตรงกับใจ ชอบควบคุม บางทีเป็นห่วงนะ แต่แสดงออกแบบ ‘เฮ้ย มึงเป็นไรมึงไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้ กูจะพาไปหาหมอ’ ใช้วิธีพูดเชิงบังคับสั่งการ ในขณะที่ถ้าเป็นผมจะพูดว่า ‘เป็นอะไรรึเปล่า ไปหาหมอกันดีกว่า’ แล้วถ้าวีถูกปฏิเสธ เขาจะโมโห ทำไมไม่เชื่อฟัง เขาจะตอบสนองแบบ ‘มึงจะตายอยู่แล้ว ยังไม่ไปอีก’ แต่ถ้าเป็นผมจะพูดว่า ‘ไม่ไหวแล้วนะเว้ย ไปเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะป่วยหนักนะ’ วีแสดงความเป็นห่วงด้วยการด่า ในขณะที่ผมใช้ตรรกะหรือเหตุผลมากกว่า”
นอกจากงานแสดงแล้วเจ้าตัวยังได้ลองร้องเพลง อ้อนไม่เก่ง ผลงานเพลงที่หยิ่นร้องร่วมกับคู่จิ้น ‘วอร์’ วนรัตน์ แม้การร้องเพลงจะเป็นสิ่งที่เขาไม่ถนัดนัก เพราะเพลงส่วนใหญ่มักคีย์สูง คนเสียงทุ้มอย่างเขาค่อนข้างร้องยาก จึงไม่ค่อยมั่นใจในการร้อง แต่ถึงกระนั้นก็เป็นสิ่งที่ชอบทำ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่คนฟังร้องตามและสนุกไปด้วยกัน
เพียงไม่กี่ปีที่เขาคลุกคลีในวงการบันเทิง หยิ่นก็ได้รับโอกาสให้ทำงานอันหลากหลาย ไม่ว่าจะ ร้อง เต้น เล่นซีรีส์ ถ่ายเอ็มวี ถ่ายแบบ ออกงานอีเวนต์ ฯลฯ มุมมองของเขาที่มีต่อวงการบันเทิงจึงเปลี่ยนไป “ก่อนเข้าวงการเราเคยคิดว่าคนเป็นนักแสดงต้องหยิ่ง มีอีโก้สูงหน่อย ตามภาพดาราที่แต่งตัวแพงๆ แต่พอเราเข้ามาเอง กูก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นนี่หว่า ถามว่าเราเคยมีช่วงเวลาหยิ่งๆ บ้างไหม ไม่ได้หยิ่งนะ แต่บางครั้งเราเหนื่อยจริงๆ คนที่เราเห็นว่าหยิ่งในวันนั้นอาจเป็นเพราะเขาเหนื่อยมากๆ อาจทำงานมาทั้งวันจนล้าเลยยิ้มได้แป๊บเดียว เขาคงไม่ไหวจริงๆ เราก็เข้าใจในมุมนี้มากขึ้น
“อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ผมตั้งใจไว้คือต่อให้ผมมีชื่อเสียงแค่ไหน ผมจะไม่ทำตัวให้คนอื่นต้องลำบาก ผมจะนอบน้อมแบบนี้ต่อไป เคยได้ยินมาเหมือนกันนะ พออยู่ในจุดสูงแล้วก็เริ่มมีอีโก้ เช่น อีกห้านาทีค่อยลงไปแล้วกัน รอทีมงานเขาเซ็ตทุกอย่างไว้ให้พร้อมก่อน ในขณะที่เราคิดว่า ไม่เห็นเป็นไร เราว่างเราพร้อมลงไปรอทีมงานเลย ผมว่าทำตัวเป็นมิตรกับคนอื่นไว้ก็เป็นผลดีแก่ตัวเอง”
3.หยิ่น: ความตั้งใจ ความหวัง อนาคต
เราสนทนาถึงเรื่องในอนาคตบ้าง นิสิตที่ใกล้จะเรียนจบวางแผนชีวิตต่อจากนี้ไว้แบบใด รวมทั้งความคาดหวังกับงานในวงการบันเทิง “ผมไม่เคยคาดหวังเลยว่าเราจะดังและป็นที่ชื่นชอบขนาดนี้ ผมเล่นซีรีส์คาดหวังแค่มียอดติดตามในอินสตาแกรมสักหนึ่งแสน เพื่อไปเพิ่มค่าตัวงานรีวิว จากโพสต์รูปละหนึ่งพันบาทเป็นหกพันบาทขึ้นไป ส่วนของงานในวงการที่เข้ามา ผมโฟกัสแค่โปรเจ็กต์ที่กำลังจะเกิดว่าอยากทำให้ดีที่สุด แล้วค่อยมาดูผลกันอีกทีว่าจะไปทางไหนต่อ แต่ผมมีความหวังว่าโอกาสต่างๆ ที่ได้รับนี้จะสานฝัน สานความตั้งใจของผมได้สำเร็จในวันหน้า สิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง คืออยากให้ป๊ากลับมาไทย ไม่ต้องไปทำงานที่ฮ่องกงอีกแล้ว จริงๆ ตอนนี้ก็กลับมาได้แหละ แต่เรายังไม่มีความมั่นคงมากพอ ไว้รอให้มั่นคงกว่านี้ก่อนดีกว่า อันดับที่สองผมอยากให้ครอบครัวมีอิสระทางการเงิน ไม่ต้องเครียดกันอีกแล้วว่าเดือนต่อไปจะเอาไงดี จะหาเงินจากไหน ผมหวังว่าจะสามารถดูแลทุกคนได้ เราไม่ต้องถึงขั้นร่ำรวยหรูหรา ไม่ต้องมีรถแพงๆ หรือใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แค่ทุกคนได้ใช้ชีวิตในแบบที่อยาก ไม่ต้องเหนื่อย ผมค่อนข้างยึดติดการใช้ชีวิต เวลาเราเห็นลุงขับแท็กซี่อายุมากแล้ว มันสะเทือนใจนะ ถ้าสมมติเขาป่วย เขาก็ยังต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเองอยู่ดี เราไม่อยากให้ครอบครัวเป็นแบบนั้น ผมหวังว่าสักวันหนึ่งจะมี passive income อาจมาจากค่าเช่าห้องคอนโดฯ ที่ผมมีปัญญาซื้อเก็บไว้ได้ ส่วนความตั้งใจอันดับสาม เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้ว ผมอยากไปเที่ยวให้มากเท่าที่จะทำได้ เที่ยวรอบโลก ตอนเด็กๆ ผมไม่เคยไปเที่ยวต่างประเทศเลย เห็นเพื่อนๆ ไปเที่ยวกัน เราก็รู้สึกว้าว เลยเป็นความฝันของผมมาตั้งแต่เด็ก อยากเห็นของแปลกๆ บนโลก พีระมิด สโตนเฮนจ์ เป็นต้น”
แล้วเส้นทางวิศวกร คอมพิวเตอร์ ที่เรียนจบมาล่ะ ยังสนใจอยู่ไหม “พักไว้ก่อนครับ ผมไม่ได้ชอบหรอก แค่ทำได้ แล้วมันก็ปวดหัวด้วย เห็นรุ่นพี่ทำงาน เข้างานสิบโมง เลิกสี่ห้าทุ่ม อยู่หน้าคอมฯ ทั้งวัน แต่แน่นอนว่านั่นเป็นงานที่มั่นคงกว่านักแสดง ทว่ากว่าจะไปถึงตำแหน่งสูงๆ ได้นั้น ก็ต้องแลกต้องผ่านอะไรหลายอย่าง ผมขอเลือกทางนี้ก่อนดีกว่าครับ”
มีความผิดพลาดไหนในชีวิตที่จดจำได้ไม่เคยลืมบ้างไหม เราเปิดประเด็นใหม่ขึ้น “ในการทำงานยังไม่มีอะไรที่เราทำผิดร้ายแรง เราค่อนข้างเจียมตัวพอสมควร” (เพราะหยิ่นไม่ได้เป็นเด็กเกเรใช่ไหม เราถาม) “ใช่ แต่ตอนอยู่มัธยมผมเป็นเด็กเรียนที่ไม่เนิร์ดนะ 80% คือเล่น 20% คือเรียน แต่ไม่ใช่เรียนเฉยๆ ต้องเรียนดีด้วย นอกกรอบก็มีบ้าง เช่น โดดเรียนทั่วไป” (มีวิธียังไงให้การเรียน 20% นั้นเป็นการเรียนที่ดี เราสงสัย) “ตั้งใจเรียนในห้อง แล้วก็สอบให้ได้ ถ้ารู้ว่าจะมีสอบ ตกเย็นผมอ่านหนังสือแล้ว คือเรารู้ตัวแหละว่าจะสอบได้หรือไม่ได้ ถ้าเกิดคิดว่าเรื่องนี้สอบได้แน่ ก็โอเค ปล่อย แต่สอบได้ของผมไม่ใช่แค่พอผ่านนะ ต้องได้คะแนนเยอะด้วย พอเข้ามหา’ลัยมีเวลาว่างมากขึ้น ก็อ่านหนังสือแต่เนิ่นๆ ยิ่งช่วงหลังทำงานไปด้วย ผมอ่านหนังสือล่วงหน้าสักสองสามรอบ” เพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็ทำอย่างตั้งใจจนถึงที่สุด ผลลัพธ์ของความพยายามจึงผลิดอกออกผลให้เขาชื่นใจเสมอ ว่าที่บัณฑิตคนนี้มีลุ้นคว้าเกียรตินิยมอันดับหนึ่งไปครอง
ในวันที่เขาท้อแท้หรือทุกข์ใจ หยิ่นมีวิธีรับมือด้วยการหนีจากความทุกข์ “ผมหนีชนิดที่ไม่มานั่งคิดเรื่องนั้นอีก คิดไปก็ไม่มีประโยชน์ พักไว้ก่อนแล้วหาอย่างอื่นทำ อาจไปหาที่โล่งๆ ปลดปล่อยความคิด ไปทะเล ไปวัดก็ได้ ยิ่งช่วงนี้ทำงานเยอะ เรายิ่งไม่จมกับความทุกข์ เพราะต้องทำงาน สำหรับผมการปรึกษาคนอื่นคือสิ่งสุดท้ายที่จะทำ ผมโตมาแบบนี้ เราไม่รู้สึกอยากบอก และผมก็เชื่อในการตัดสินใจของตัวเองมากกว่า เคยลองปรึกษาคนอื่น แต่เขาเข้าใจปัญหาของเราเพียงผิวเผิน แล้วเราจะเชื่อคำแนะนำของเขาทำไม ผมจะเชื่อคำแนะนำของคนอื่นต่อเมื่อคนคนนั้นเคยมีประสบการณ์แบบเดียวกันกับผม สมมติถ้าห้ามผมเดินทางนั้น แสดงว่าเขาต้องเคยเดินแล้วรู้ว่าไปต่อไม่ได้ ผมจึงจะเชื่อ แต่ถ้าแค่ทักท้วงด้วยความไม่รู้จริง ผมจะไม่เชื่อ ต่อให้ผมตัดสินใจผิด แต่นั่นคือสิ่งที่เราเลือกก็โอเคแล้ว”
สุดท้ายก่อนจบบทสนทนา หยิ่นรวบรวมความคิดแล้วสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ทั้งหมดในชีวิต “ความไม่มีสอนให้ผมเข้าใจโลกมากขึ้น ขนาดเรายังแทบไม่ไหว แล้วคนที่หนักกว่าเราล่ะ นั่นทำให้ผมอยากช่วยเหลือคนมากๆ ทุกวันนี้เจออะไรที่พอช่วยได้ก็พยายามช่วย โอนเงินช่วยหมาแมว คนแก่ อย่างน้อยนิดๆ หน่อยๆ ก็ยังดี ส่วนในแง่ของการทำงาน เราได้เห็นว่าโลกมีความไม่ยุติธรรมอยู่ ในวันนี้ผมยังไม่ได้รับผลกระทบอะไร แต่หลายๆ คนคงเคยโดนกันมา ผมเลยได้เรียนรู้ว่าแม้แต่ในวงการบันเทิงก็ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด”
Vince Hotel Bangkok Pratunam
26/2 แยก 2 ถนนเพชรบุรี 11 แขวงพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
Tel. 02 254 6480
www.vincehotel.com
FB: vincehotelthailand