“ผมชอบคำว่า wonder อยู่แล้ว มันคือความรู้สึกอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเมื่อผมได้อ่านหนังสือดีๆ เลยใช้ชื่อสำนักพิมพ์ว่า Words Wonder”
ณัฐกร วุฒิชัยพรกุล เริ่มต้นจากความรักในการอ่าน สู่การเป็นคนทำหนังสือเต็มตัว และแฟนตาซีคือแนวหนังสือที่เขาเลือก เพราะความประทับใจเมื่อตัวอักษรที่เรียงร้อยอยู่ตรงหน้า ถ่ายทอดเรื่องราวสุดแสนจะจินตนาการถึง แถมยังสอดแทรกข้อคิดอันแหลมคม และสำคัญสุดคือสนุกจนวางไม่ลงซึ่งบันดาลความอัศจรรย์ใจให้แก่เขา ณัฐกรจึงสร้างโลกใบเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวแปลกพิสดารจากปลายปากกานักเขียนชื่อดังระดับโลก ซึ่งเขาอยากแบ่งปันให้เพื่อนนักอ่านคนอื่นๆ ได้ร่วมเดินทางท่องเที่ยวไปในดินแดนมหัศจรรย์ของนิยายแฟนตาซีพร้อมกับเขา ในชื่อสำนักพิมพ์ Words Wonder
Words Wonder เกิดขึ้นได้อย่างไร
ปี 2013 ครับ ตอนนั้นผมช่วยธุรกิจที่บ้านอยู่ แต่ผมไม่ชอบและไม่ถนัดเลย ประจวบกับตอนนั้นมีแฟนเลยอยากสร้างความมั่นคงให้แก่ชีวิต มานั่งคิดดู ผมชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก เลยคิดว่าทำหนังสือน่าจะดี เพราะมีหนังสือหลายเล่มที่เราชอบแต่ไม่มีฉบับแปลเป็นภาษาไทย พอดีผมรู้จักกับคุณวันชัย ประชาเรืองวิทย์ เจ้าของสำนักพิมพ์แม่น้ำ จึงโทร.ไปปรึกษาท่านเรื่องการเปิดสำนักพิมพ์ ท่านให้คำแนะนำมาว่าต้องทำยังไงบ้าง ก็เริ่มจากตรงนั้น
ที่มาของชื่อสำนักพิมพ์
ผมชอบคำว่า wonder อยู่แล้ว มันคือความรู้สึกอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเมื่อผมได้อ่านหนังสือดีๆ เลยใช้ชื่อสำนักพิมพ์ว่า Words Wonder
Words Wonder เน้นหนังสือแนวไหนเป็นหลัก เพราะปัจจุบันเห็นมีไซไฟด้วย
จริงๆแล้วเราเน้นแฟนตาซีเป็นหลักครับ แต่พอดีไซไฟเหมือนเป็นพี่น้องกับแฟนตาซี นักเขียนไซไฟบางทีก็เขียนแฟนตาซีด้วย สลับกันได้ แล้วพอเห็นเรื่องน่าสนใจ ก็เลยลองทำ
นิยายแฟนตาซีจาก Words Wonder แตกต่างกับเจ้าอื่นตรงไหน
เนื่องด้วยเราทำแนวแฟนตาซีเป็นหลัก จึงมีแฟนตาซีที่เป็นวรรณกรรมเยาวชน และก็แฟนตาซีสำหรับผู้ใหญ่ด้วย อีกทั้งเราตัดสินใจทำนิยายเล่มหนาๆ ชุดหนึ่งมีหลายเล่ม ซึ่งไม่ค่อยมีใครทำนอกจากเรื่องนั้นจะถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์หรือซีรีส์ เพราะไม่กล้าเสี่ยง แต่สำหรับผมถ้าจะทำแฟนตาซีต้องทำให้สุด หนังสือของเราจึงมีเล่มดังๆ ที่คุณภาพระดับโลก
สำนักพิมพ์มีเกณฑ์ในการคัดเลือกวรรณกรรมคลาสสิคและวรรณกรรมร่วมสมัยมาจัดพิมพ์อย่างไร
ประการแรกต้องเป็นแฟนตาซีที่เราอ่านแล้วชื่นชอบ มีคุณค่า วรรณกรรมคลาสสิคที่เราทำก็เป็นแฟนตาซี อย่างชุดพ่อมดแห่งเอิร์ธซี (A Wizard of Earthsea) เป็นงานคลาสสิคตลอดกาล ผมอ่านแล้วชอบตั้งแต่ย่อหน้าแรก เป็นแฟนตาซีที่แฝงปรัชญาด้วย แต่อ่านไม่ยากเลยเลือกมาพิมพ์ ตัวอย่างอีกเล่มคือเรื่องน้ำหอม (Das Parfum) เป็นวรรณกรรมคลาสสิคที่คนรู้จักจำนวนมาก แต่อาจไม่เคยมองว่านี่เป็นนิยายแฟนตาซี ทั้งที่จริงๆ แล้วหนังสือเรื่องนี้ได้รางวัล World Fantasy Award ในต่างประเทศ ทว่าคนส่วนมากไม่ค่อยรู้
นักอ่านซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของสำนักพิมพ์คือกลุ่มใด
ลูกค้าส่วนมากคือวัยรุ่นไปจนถึงวัยเพิ่งเริ่มทำงาน เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด อย่างไรก็ตาม ผมอยากให้คนทุกเพศทุกวัยได้อ่านแฟนตาซี และผมเชื่อมั่นว่าไม่ว่าคุณจะอยู่วัยใดต้องมีสักเรื่องที่คุณชื่นชอบแน่
ปัจจุบันสำนักพิมพ์ออกหนังสือมาแล้วกี่ปก
สี่สิบกว่าปกได้ครับ
เล่มไหนที่มีกระแสตอบรับดี
เล่มที่ขายดี คืองานของนีล เกแมน (Neil Gaiman) อย่างผจญภัยในสุสาน (The Graveyard Book) คอรัลไลน์ (Coraline) แล้วก็มีเล่มที่สร้างเป็นภาพยนตร์อย่าง ผู้มาเยือนหลังเที่ยงคืน (A Monster Calls) และเล่มที่มีคนรู้จักกว้างขวางอยู่แล้วอย่างน้ำหอม (Das Parfum) ที่เหลือมีทั้งขาดทุนบ้าง หรือไม่ก็พอขายได้ครับ
ตลาดหนังสือนิยายแฟนตาซีในปัจจุบันเป็นอย่างไร
คนอ่านแฟนตาซีในไทยมีจำนวนไม่น้อยนะ เพียงแต่ว่าเขาอาจจะอ่านเฉพาะประเภทที่สนใจ อย่างเช่น กลุ่มที่อ่านงานของนักเขียนไทย กลุ่มที่อ่านนิยายแปลจีน นักอ่านจะเลือกอ่านแนวที่ตัวเองชอบ และอาจไม่รู้เลยว่ามีเราอยู่ในตลาดด้วย ส่วนเรื่องคู่แข่งผมคิดว่าไม่ถึงกับมีเยอะ เพราะหนังสือที่เราทำจริงๆ คือแฟนตาซีแปลที่ไม่ใช่หนังสือเด็ก ซึ่งมีคนทำน้อย เราจึงสบายตรงที่ไม่ต้องแย่งกับใครเยอะ เพราะแม้งานที่เรานำมาพิมพ์เป็นของนักเขียนระดับโลกแทบทั้งหมด ทว่าในไทยอาจไม่ได้นิยมเทียบเท่าหนังสือแปลแนวสืบสวนสอบสวน เราเลยไม่ต้องไปแข่งกับสำนักพิมพ์ใหญ่หรือสำนักพิมพ์อื่นเพื่อแย่งซื้อลิขสิทธิ์ แต่ถ้าเล่มไหนดังมากๆ ก็อาจต้องแข่งกันบ้าง อย่างไรก็ดี ตลาดนี้ยังมีพื้นที่ให้สำนักพิมพ์เล็กๆ ของผมอยู่ ฐานลูกค้ายังสามารถขยายได้อีกมาก
ในยุคแฮร์รี่ พอตเตอร์ กระแสแฟนตาซีบูมในไทยมาก แล้วปัจจุบันกระแสนั้นยังมีอยู่หรือไม่
ไม่เท่ายุคแฮร์รี่ พอตเตอร์บูมอยู่แล้วครับ ยุคนั้นเฟื่องฟูมาก ทุกคนหันมาทำแฟนตาซี แต่ตอนนี้หลายอย่างเปลี่ยนไป การเข้ามาของโซเชียลมีเดีย netflix หรือ youtube ดึงเวลาในการอ่านไปมาก คนทำธุรกิจนี้ก็เหนื่อยขึ้น แต่ถ้าคุณสังเกตดีๆ จะเห็นได้ว่าคุณภาพรูปเล่มหนังสือสูงขึ้น และราคาก็แพงขึ้น แล้วหนังสือแฟนตาซีที่ผมทำแม้จะเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม แต่ก็มีความแมสอยู่บ้างในบางเล่ม เราจึงยิ่งต้องหาเรื่องเจ๋งๆ คุณภาพการแปลและรูปเล่มที่ดีมาสู้ เพราะตอนนี้เรายังไม่แมสและยากที่จะแมส ถ้าหวังจะทำเงินเป็นกอบเป็นกำผมว่ายาก แต่ผมอยู่ได้เพราะผมรัก และอยากจะทำหนังสือดีขึ้นไปเรื่อยๆ
คนไทยรู้จักนิยายแฟนตาซีมานาน จริงๆแล้วนิยายแฟนตาซีในไทยมีความหลากหลายแค่ไหน
ผมคิดว่ายังหลากหลายไม่พอ คือคนมีภาพอยู่ในหัวแล้วว่าอะไรคือแฟนตาซี และส่วนมากพอพูดถึงแฟนตาซีก็ต้องคิดว่าเป็นเรื่องของเด็ก แม้ว่าบางส่วนจะไม่ใช่แล้ว แต่คนจำนวนมากยังคิดแบบนี้อยู่ แล้วถ้าลองสังเกตดูจะเห็นว่าแฟนตาซีในไทยมีเทรนด์ เช่น ช่วงไหนแนวย้อนเวลาดัง จะมีหนังสือแนวนี้ออกมาเพียบ ช่วงไหนแนวเกมออนไลน์ดังก็จะเขียนแนวนี้ออกมาเยอะ ไอเดียจึงอยู่ในกรอบ ซึ่งไม่ใช่ไม่ดี แต่ผมคิดว่าเราหลากหลายได้มากกว่านี้ มีความกว้าง ความลึกได้มากกว่านี้ ผมเลยพยายามเอาเรื่องเจ๋งๆ ที่เราชอบมาแปล แต่บางเรื่องก็ต้องยอมรับว่าได้แต่คิด ยังไม่กล้าทำ เพราะยังไม่แน่ใจตลาด
สำนักพิมพ์มีแนวทางโปรโมตหรือกลยุทธ์ทางการตลาดอย่างไร
เรามีเฟซบุ๊ก wordswonderbooks และทวิตเตอร์ ซึ่งเป็นช่องทางหลักติดต่อกับลูกค้า ส่วนการออกบูธนั้น ผมมองว่าสำคัญ เราจึงพยายามออกบูธให้บ่อยตามกำลังที่เราทำได้ เพื่อให้ลูกค้าเห็นว่ามีเราอยู่ตรงนี้นะ กิจกรรมก็ประกอบด้วยจัดงานเสวนา เล่นเกมในเฟซบุ๊กหรือทวิตเตอร์ และไลฟ์คุยแบบกันเอง ด้วยความที่เราเป็นสำนักพิมพ์เล็ก เราจึงมีงบประมาณไม่มากเพื่อทำการตลาด ซึ่งเป็นจุดอ่อนอย่างหนึ่ง ต้องอาศัยปากต่อปากช่วยโปรโมต ผมจึงคิดว่าถ้าเราทำหนังสือให้ดี ลูกค้าจะกลับมาอุดหนุนอีก อาจใช้เวลาหน่อยในการสร้างฐานลูกค้า แต่ในที่สุดผลงานจะทำให้เราอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
จะเจอหนังสือของ Words Wonder ได้ที่ไหนบ้าง
ร้านหนังสือทั่วไป หรือตามร้านหนังสืออิสระออนไลน์ หรือสั่งตรงกับสำนักพิมพ์ โดยส่งข้อความในเฟซบุ๊กได้เลย ผมตอบเอง ให้แนะนำหนังสือด้วยก็ยิ่งยินดี
อุปสรรคที่พบเจอในการทำสำนักพิมพ์มีอะไรบ้าง
การทำสำนักพิมพ์นี่ต้องใช้เวลา หนังสือแต่ละเล่มใช้เวลาอย่างน้อย 3-4 เดือน พอส่งไปขายกับสายส่ง ก็ต้องรออีก 4 เดือนกว่าจะได้เงิน หนักนะครับสำหรับสำนักพิมพ์เล็กๆ ที่ต้องอดทนรอขนาดนั้น แล้วพอเราทำหนังสือชุด ลูกค้าไปเจอบางเล่มไม่เจอบางเล่ม เป็นปัญหามาก พนักงานในร้านหนังสือเชนไม่รู้ว่าเรื่องนี้เป็นชุดเป็นซีรีส์มีหลายเล่ม ต้องสั่งมาพร้อมกันทั้งชุดไม่เช่นนั้นจะขายยาก จึงมักวางขายแค่เล่มสอง ไม่มีเล่มหนึ่ง แล้วมันจะขายได้ไหม จริงๆ ปัญหานั้นเยอะมาก พูดไม่จบหรอก แต่เราต้องสู้ อยู่กับมันให้ได้ รัฐบาลต้องเข้ามาช่วย แต่เขาก็ยังไม่มาสักที
จากสถานการณ์โควิด-19 ตั้งแต่ปี 63-64 ส่งผลกระทบแก่สำนักพิมพ์อย่างไร
โดนหนักอยู่แล้วครับ ตอนโควิด-19 ระบาดรอบแรก คนต้องกักตัวอยู่บ้านอาจซื้อหนังสือไปอ่านแก้เครียดกัน แต่พอหลายๆรอบเข้า คนรายได้น้อยลง เขาก็ต้องใช้เงินน้อยลงด้วย งานหนังสือที่เป็นรายได้ช่วยหล่อเลี้ยงสำนักพิมพ์เล็กก็หายไป เพราะถูกยกเลิกการจัดหมด ดีที่หนังสือไม่มีเน่าเสีย ก็ประคองตัวกันไปก่อน
วางแผนสู้ต่อไปอย่างไรในยุคที่เศรษฐกิจไม่ดี ซ้ำร้ายยังงดจัดกิจกรรมเนื่องจากภาวะโรคระบาดด้วย
เมื่อคนใช้เงินน้อยลง เขาย่อมเลือกจ่ายสิ่งที่เขาเห็นว่าคุ้มค่าก่อน สิ่งที่ผมต้องทำคือ ผลิตหนังสือให้ดีขึ้น คุ้มค่ามากขึ้น ให้ประสบการณ์อันยอดเยี่ยมแบบหาที่อื่นไม่ได้ แล้วมุ่งเน้นทำตลาดออนไลน์ ต่อจากนี้เมื่อโควิด-19 ผ่านไปแล้ว สิ่งที่ยังเหลืออยู่คือพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เราต้องตามให้ทัน ผมเป็นคนช้ามากกับเรื่องพวกนี้ แต่ตอนนี้สถานการณ์บังคับให้เราต้องตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น
ปีนี้มีแพลนอะไรในการออกผลงาน
ปีนี้ผมจะระวังมากขึ้นในการออกผลงาน จำนวนปกอาจไม่เท่าช่วงก่อนโควิด-19 ระบาด และคงไม่เน้นแนวไซไฟ เพราะว่าสำนักพิมพ์อื่นเริ่มทำไซไฟมากขึ้นแล้ว คงกลับไปเน้นแฟนตาซีที่เราถนัด ปีนี้เราจะออกหนังสือเล่มจบของนิยายชุด สองชุด คิดว่าจะออกเล่มจบของชุดเก่าให้หมดก่อน แล้วค่อยเริ่มเปิดนิยายชุดใหม่ เพราะตอนนี้ยังเหนื่อยอยู่ เลยอยากเน้นเล่มเดี่ยวและจบชุดที่ค้างไว้ แต่จะมีชุดใหม่ออกมาแน่นอน เพียงแต่ต้องรอจังหวะเหมาะๆ ก่อน
3 เล่มที่ Words Wonder อยากแนะนำ
- ผจญภัยในสุสาน (The Graveyard Book)
เขียนโดย Neil Gaiman
เป็นเรื่องของเด็กคนหนึ่งที่ถูกเลี้ยงดูโดยผู้ที่อยู่ในสุสาน แน่นอนว่าไม่ใช่คน หนังสือเล่มนี้การันตีด้วยรางวัลวรรณกรรมเยาวชนยอดเยี่ยมของทั้งอังกฤษและอเมริกา ทุกคนอ่านได้ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่
เ
- รือรัตติกาล (Fevre Dream)
เขียนโดย George R.R. Martin
เป็นผลงานของผู้เขียน Game of Thrones เล่มเดียวจบ พูดถึงประเด็นความเป็นมนุษย์ในนิยายแฟนตาซีสยองขวัญได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ที่ผมอยากให้อ่านเพราะเรื่องนี้สนุกจริง ฝีมือของนักเขียนผู้นี้หาคนเทียบยาก กลวิธีการเขียนนั้นนักเขียนยุคใหม่เทียบไม่ได้เลย ถ้าอยากได้เรื่องที่วางไม่ลง เล่มนี้ไม่ผิดหวัง และเป็นเรื่องที่ได้รับการรีวิวมากที่สุดตั้งแต่ทำสำนักพิมพ์มา
- มิสต์บอร์น (Mistborn)
เขียนโดย Brandon Sanderson
ผมแนะนำมิสต์บอร์นเพราะนี่คือเล่มแรกของหนังสือชุด แนว Epic แฟนตาซี หรือแฟนตาซีสเกลใหญ่ที่หาอ่านได้ยาก ไม่มีคนทำ ไม่ค่อยมีคนลงทุนเพราะต้นทุนสูงมาก และเล่มหนา แต่ประสบการณ์จากการอ่านหนังสือประเภทนี้หาไม่ได้จากที่อื่นอีก นักเขียนเขียนได้สนุกมาก มีประเด็นการเมืองเกี่ยวกับการต่อต้านเผด็จการ การไม่ยอมก้มหัวให้ความชั่ว ระบบเวทมนตร์ในเรื่องก็ต่างจากเรื่องอื่น การอ่านเรื่องนี้เหมือนได้เข้าไปในโลกอีกใบ อยากให้ลองครับ
คอลัมน์: ถนนวรรณกรรม