คนส่วนใหญ่ อยากได้ อยากมี อยากเป็น อะไรสักอย่างด้วยกันทั้งนั้น
แต่ ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ และบางคนไม่คิดจะทำด้วยซ้ำไป
และต่อไปนี้คือเหตุผลว่าทำไมคนถึงไม่ทำตามฝันของตัวเอง
- ไม่ชัดเจน
เราจะไปไหนก็เมื่อมีจุดหมายที่จะไป จะไปทำงาน จะไปช้อปปิ้ง จะไปชายทะเลเพื่อพักผ่อน
คนที่ไม่ทำตามฝันของตัวเอง เกิดจาก ยังไม่ชัดเจนพอว่าฝันของตัวเองคืออะไร
อยากเป็นคนรวย แต่ตอบตัวเองไม่ได้ว่ารวยมาจากการทำอะไร ขายของออนไลน์ก็ไม่เคยทำ จะตั้งบริษัทก็ไม่มีทุน จะเล่นหุ้นก็ไม่มีความรู้ ทุกอย่างมันเลือนราง ดูเบลอๆ ไม่ชัดเจน
เมื่อยังไม่ชัดเจน ก็ยังเหนี่ยวไกลงมือทำตามฝันไม่ได้เพราะยังไร้จุดหมายไร้ทิศทาง
หรืออาจจะมีความฝันหลากหลายเกินไป นักร้องก็อยากเป็น นักแสดงก็อยากทำให้ได้ อยากจะเป็นเจ้าของกิจการที่อายุน้อยรวยร้อยล้านก็ด้วย มีฝันร้อยแปดที่ล่องลอยให้เลือกทุกวัน จนไม่รู้จะทำอะไรดี สุดท้ายคือ ยังไม่ลงมือไล่ล่าความฝัน
ความฝันก็ยังคงเป็นความฝันต่อไป เพราะขาดเป้าหมายที่ชัดเจน
- ไม่สำคัญ
อะไรที่สำคัญเราจะทำก่อน อะไรไม่สำคัญเราจะเอาไว้ก่อน
ในข้อนี้การที่ไม่ทำตามที่ฝัน ไม่ใช่เพราะไม่มีความฝัน แต่เพราะฝันนั้นยังไม่สำคัญพอที่จะทำ
คือ จัดลำดับความฝันนั้นไว้กลางๆ หรือท้ายๆ คือจะทำก็ได้ ไม่ทำก็ไม่เป็นไร
เช่น ฝันอยากเป็นนักว่ายน้ำติดทีมชาติไปแข่งโอลิมปิก แต่ขณะเดียวกันก็มีความสุขกับการใช้ชีวิตแบบสบายๆ ไม่ชอบอยู่ในวินัยหรือมาให้ใครบังคับ
แทนที่จะลงมือฝึกซ้อมว่ายน้ำ ก็เลือกที่จะนั่งๆ นอนๆ ใช้ชีวิตแบบเอาสุขสบายไม่อยากต้องมีระเบียบวินัยในการฝึกซ้อม
เมื่อเอาความสบายมานำหน้า การอยากเป็นนักว่ายน้ำ ความฝันนั้นก็กลายเป็นความจริงได้ยาก เพราะมันไม่สำคัญและจำเป็นมากพอที่จะทำให้ไล่ล่า
แต่ถ้าคิดว่าการฝึกฝนว่ายน้ำให้ติดทีมชาติเพื่อไปแข่งโลลิมปิก เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดและรอไม่ได้ เพราะเป็นความฝันเดียวในชีวิต และถ้ารอต่อไปอายุมากขึ้นโอกาสก็จะหมดไปไม่ทันการ
คิดได้แบบนี้ การฝึกซ้อมว่ายน้ำให้ติดทีมชาติ จะขึ้นมาเป็นความสำคัญลำดับแรกของชีวิต และเมื่อมันสำคัญมาก เราจะลงมือทำ
อะไรที่เรายังไม่ทำ เพราะสิ่งนั้นไม่สำคัญพอ
2. ไม่ลงมือทำ
บางคนมีความฝัน ชัดเจนว่าอยากได้ อยากมี อยากเป็นอะไร และรู้ด้วยว่าสิ่งนั้นสำคัญมาก แต่ก็ยังไม่ได้ตามที่ฝันสักที เพราะยังไม่มีการกระทำ
คือมีความสุขกับความฝัน แค่คิดว่าอยากได้นั่น อยากเป็นนี่ ก็มีความสุขแล้ว
แต่ปัญหาคือ ต่อให้ฝันดีเลิศแค่ไหน ยิ่งใหญ่อย่างไร มันไม่มีวันเป็นจริงได้ ถ้าไม่มีการลงมือทำ
ดังนั้น แทนที่จะมีความสุขกับการฝันอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ อยากเป็นนักร้องนักแสดง ก็ให้มีความสุขกับการลงมือทำตามที่ฝันด้วย
คราวนี้ทุกความฝันมีโอกาสเป็นจริงได้ เพราะสะพานที่เชื่อมระหว่างความจริงกับความฝัน สะพานนั้นคือการทำให้ฝันเป็นจริง
3. ทำไม่ตลอด
บางคนฝันชัดเจนว่าอยากได้อะไร ให้ความสำคัญจนลงมือทำไล่ล่าความฝันไป แต่ที่ยังไม่ได้เพราะทำไปไม่ตลอด
เพราะไม่ว่าจะฝันอะไรคงไม่ได้มาง่ายๆเพียงชั่วข้ามคืน บางความฝันเป็นเดือนเป็นปีหรือไม่ก็หลายปี หรือบางทีอาจต้องใช้เวลากันทั้งชีวิตเลยที่เดียว
ดังนั้นตลอดระยะทางอันยาวไกล กว่าจะทำให้ฝันกลายเป็นจริงอาจเจอแรงต้าน รอนาน อุปสรรคขวางทางจนอาจเลิกล้มก่อนก็เป็นได้
บางคนขยันตอนต้นแล้วแผ่วปลาย มีแรงบันดาลใจแต่ทำไปไม่ตลอด
วิธีการก็คือ ต้องเอาความฝันมาหล่อเลี้ยงจิตใจ แม้ระหว่างทางที่ฝันไปจะมืดมิด แต่เป้าหมายความฝันต้องสว่างอยู่กลางใจ คือยังอยากได้ฝันนั้นเหมือนดังเดิม
เมื่อเดินไปถึงครึ่งทางคิดจะหันหลังกลับ ให้ถามตัวเองว่า เราอยากเดินทางไล่ล่าเพราะอะไร แม้เดินไปหน้าไม่มีใครรับประกันว่าต้องได้ แต่ถ้าถอยหลังล้มเลิกไป ไม่มีวันได้แน่นอน
ให้ความฝันหล่อเลี้ยงจิตใจ ให้ฝันอยู่ในทุกลมหายใจ แล้วเราจะรู้ว่าเราตื่นขึ้นมาทุกเช้าเพื่ออะไร เราเหนื่อยยากทุกวันทำไม แล้วเราจะมีพลังก้าวไปจนกว่าได้พิชิตฝัน
ถ้าความฝันกระจ่างชัดอยู่กลางใจ
อุปสรรคขวางหนามบาดแผลใดๆ
ก็ไม่มีความหมายอะไรเลย
คอลัมน์: ก้าวไกลไปข้างหน้า
เรื่อง: จตุพล ชมภูนิช
ภาพ: ขวัญญาณี ศิรธนอนันต์