วาสุเทพ เกตุเพ็ชร์ นักเล่าเรื่องมืออาชีพ

-

วาสุเทพ เกตุเพ็ชร์

นักเล่าเรื่องมืออาชีพ

มะลิลา, อนธการ, เจ็ดวันจองเวร, ความรักครั้งสุดท้าย, The Collector คนประกอบผี, The Gifted นักเรียนพลังกิฟท์, สามีสีทอง, เพลิงนาง รายชื่อภาพยนตร์และซีรีส์ที่ยกมานี้คือผลงานส่วนหนึ่งของ “วา-วาสุเทพ เกตุเพ็ชร์” นักเขียนบทรุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง ด้วยผลงานการเขียนบทอันหลากหลายแนว ไม่ว่าจะเป็นสยองขวัญ ดราม่า คอเมดี้ หรือแม้แต่แฟนตาซี การันตีฝีมือด้วยการถูกเสนอชื่อเข้าชิงและได้รับรางวัลจากเวทีทรงคุณค่า เช่น Asian Television Awards สุพรรณหงส์ นาฏราช ไม่เพียงงานเขียนบทละคร เขายังมีผลงานหนังสือ และท้าทายตัวเองยิ่งขึ้นด้วยการกำกับซีรีส์  The Gifted Graduation ต่อจากนี้คือบทสนทนาระหว่างเรากับ “นักเล่าเรื่องมืออาชีพ”

นักเขียนบทถือเป็นอาชีพที่คุณใฝ่ฝันหรือเปล่า

ทั้งใช่และไม่ใช่ คือผมเรียนจบนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ สาขาภาพยนตร์และภาพนิ่ง หรือเรียกง่ายๆ คือจบฟิล์ม ด้วยความคิดแค่ว่าอยากทำหนัง อยากอยู่ในวงการหนัง แต่ยังไม่รู้ชัดว่าตัวเองเหมาะกับตำแหน่งไหนหรือถนัดอะไร ระหว่างทางจึงค่อยๆ ค้นหาตัวเอง จนได้มาทำงานเขียนบทหนัง บทละคร และค้นพบว่าสิ่งที่อยากทำตั้งแต่เด็กจริงๆ คือ “การเป็นนักเล่าเรื่อง” (story teller) เพราะชอบอ่านหนังสือ ชอบดูหนังดูละคร เราอยากเล่าเรื่องของเรา ขอแค่ได้ถ่ายทอดสิ่งที่คิด โดยไม่จำกัดว่าต้องอยู่ในรูปแบบใด ถือว่าเราได้บรรลุความฝันแล้ว

เริ่มต้นเล่าเรื่องด้วยการเขียนนิยาย?

ผมเริ่มเขียนนิยายตอนเรียนชั้นมัธยมลงเว็บไซต์เด็กดีดอทคอม ทำไมถึงมาเขียนนิยายได้นั้น เพราะการเขียนคือเครื่องมือเล่าเรื่องที่ง่ายที่สุดสำหรับเด็กอายุ 15 ปี ซึ่งไม่มีทั้งกล้องหรือโทรศัพท์มือถือคุณภาพสูง เริ่มแรกแค่เขียนเล่นๆ มีคนอ่านหลักสิบก็ดีใจแล้ว จนเขียนได้สักสองสามปี อยากประสบความสำเร็จมากขึ้น อยากมีหนังสือตีพิมพ์ ตอนนั้นมีโครงการประกวด Young Thai Artist Award เปิดรับต้นฉบับพอดี ด้วยกติกาซึ่งผู้สมัครต้องมีอายุไม่เกิน 25 ปี จึงคิดว่าเราน่าจะพอสู้ไหว สู้แค่คนอายุไล่เลี่ยกัน เลยส่งต้นฉบับนิยาย เรื่องราวของข้าวมันไก่ เข้าประกวด ผมไม่ได้รางวัลชนะเลิศหรอก แต่ได้รางวัลหนังสือดีเด่น และตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ ซึ่งเราพอใจมาก รู้สึกว่าประสบความสำเร็จดังหวังแล้ว เลยขยับไปสู่สิ่งอื่น เหตุผลที่เราไม่ได้ต่อยอดด้านการเขียนเหมือนหลายๆ คน อาจเพราะเราอยากเป็นนักเล่าเรื่องมากกว่าเป็นนักเขียน แล้วเราเรียนนิเทศจึงมีโอกาสสัมผัสการเล่าเรื่องหลายรูปแบบ เช่น ละครเวที ภาพยนตร์ เลยอยากทดลองหลายๆ ทาง

มีการเล่าเรื่องรูปแบบใดที่รู้สึกชอบหรือถนัดมากกว่า

ผมไม่เคยรู้สึกว่าชอบอันไหนเป็นพิเศษ เพราะมองแต่ละรูปแบบเป็นเครื่องมือการนำเสนอที่มีข้อเด่นและข้อจำกัดต่างกัน ดังนั้นบางเรื่องราวเราเลือกนำเสนอด้วยวิธีนี้ เพราะคำนึงถึงความเหมาะสมมากกว่าความชอบหรือถนัด

เขียนทั้งหนังสือและบทหนังบทละคร เคยสับสนด้านวิธีการเขียนบ้างไหม

ช่วงหลังเขียนบทอย่างเดียวเลยไม่ค่อยมีปัญหาอะไร แต่แรกๆ ที่ยังทำหลายอย่างมีผลกระทบบ้าง เช่น เรื่องของภาษา นิยายต้องการภาษาสมบูรณ์แบบ พร้อมเผยแพร่สู่นักอ่านทุกคน แต่บทละครเขียนเพื่อให้ทีมงานและนักแสดงอ่านเข้าใจเป็นพอ ฉะนั้นความสวยงามของภาษาจึงไม่จำเป็นเท่านิยาย ช่วงแรกของการทำงานอาจมีเผลอบ้าง แต่เมื่อรู้ตัวก็ปรับให้เหมาะสม รู้ว่าอะไรที่จำเป็นหรือไม่จำเป็นต้องเขียน

อย่างไรก็ตาม คนมักเข้าใจผิดว่า เขียนบทละครไม่จำเป็นต้องเก่งภาษา ผมขอยืนยันว่าไม่จริงเลย ภาษาคือรากฐานของการเล่าเรื่องทุกรูปแบบ ไม่มีทางที่คนไม่สนใจภาษาจะเขียนบทละครได้ดี ยิ่งถ้าคุณเคยเขียนนิยาย คุณแค่ปรับนิดเดียวก็เขียนบทได้เลย แต่ถ้าคลังคำน้อย ไม่รู้จักรูปประโยค ไม่มีทักษะภาษา แล้วมาเขียนบทละคร ยังไงเสียก็ลำบาก

ปัญหาของคนที่ทักษะการเขียนไม่แข็งแรงแล้วมาทำงานเขียนบทนั้นมีอะไรบ้าง อธิบายให้เห็นภาพหน่อย

แน่นอนว่าคุณจะคิดคำไม่ออก ถ่ายทอดสิ่งที่ตัวละครอยากพูดออกมาไม่ได้ เรายอมรับว่ามีหนังหลายเรื่องที่บทพูดไม่จำเป็นต้องทรงพลังมาก แต่ในฐานะนักเขียนบท เราย่อมให้ความสำคัญแก่ภาษามากที่สุด ในการทำหนังหรือละคร ทุกฉากทุกตอนมีจุดมุ่งหมายของการนำเสนอ เมื่อเราเป็นคนเขียนบท เราต้องทำบทของเราเพื่อสื่อถึงจุดมุ่งหมายนั้นให้ได้ ทำให้ตัวละครพูดในสิ่งที่ต้องการสื่อ ทำให้คนดูได้เห็นสิ่งที่ต้องการเล่า หากเราไม่เก่งภาษา เราจะเขียนให้ตัวละครพูดออกมาได้อย่างไร หากเราไม่เก่งภาษา เราอาจต้องเขียนบทถึงห้าหกบรรทัดเพื่อสื่อความ ทั้งที่ความจริงสามารถเขียนแค่ประโยคเดียวแล้วตรงเป้ากว่า ผมจึงขอยืนยันว่า ทักษะภาษาจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับอาชีพนักเขียนบท อาจไม่ต้องถึงขั้น “ทมยันตี” หรือเป็นกวีนิพนธ์ แต่อย่างน้อยต้องอ่านหนังสือ รู้จักคำเชื่อม มีคลังคำพอสมควร

ผลงานการเขียนบทของคุณมีหลากหลายแนวมาก มีแนวไหนที่สนใจเป็นพิเศษไหม

คำตอบคล้ายกับข้างต้น ไม่มีความชอบแนวไหนเป็นพิเศษ เพราะหนังและละครแต่ละแนวมีกลุ่มคนดูที่แตกต่าง จึงเป็นความท้าทายว่าสิ่งที่เราเล่านั้น คนดูแต่ละกลุ่มเข้าใจจุดมุ่งหมายรึเปล่า ผมจึงสนุกกับงานทุกแบบที่ได้ทุ่มเททำ

เล่าถึงซีรีส์ The Gifted ซึ่งประสบความสำเร็จมากจนมีภาคต่อ The Gifted Graduation หน่อย

แรกเริ่มซีรีส์เรื่องนี้เกิดจากโปรเจ็กต์หนังสั้นจบการศึกษาของ ‘แซนด์’ ธรรมรงค์ เสริมฤทธิรงค์ พูดถึงเด็กที่มีพลังพิเศษซึ่งลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษา ด้วยไอเดียของเรื่องที่แปลกใหม่น่าสนใจ ผู้ใหญ่จึงนำมาสร้างเป็นซีรีส์ฉายทางทีวี ผมได้มาเป็นทีมพัฒนาบทร่วมกับแซนด์เจ้าของโปรเจ็กต์ สำหรับซีรีส์เรื่องนี้คนอาจมองว่าเป็นเรื่องแฟนตาซี แต่จริงๆ แล้วเป็นเรื่องราวที่ใกล้ตัวเรามาก พลังพิเศษหรือศักยภาพคือความฝันของวัยรุ่นที่อยากมีพลังในแบบของตัวเอง และการลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง มักเป็นสิ่งที่เราเคยนึกคิดอยากทำแบบนี้บ้าง เมื่อภาคแรกประสบความสำเร็จมหาศาล มีคนรอภาคต่อ และมีฐานคนดูต่างประเทศ จึงไม่มีเหตุผลที่ค่ายจะไม่ทำต่อ เลยเกิดซีซั่นสองตามมา

ในการทำงานผมมีแนวคิดตั้งต้นคือ สิ่งที่เราอยากเล่า 40% สิ่งที่คนดูอยากดู 40% และสิ่งที่สังคมจำเป็นต้องดู 20% ดังนั้นในซีซั่นสองนี้สิ่งที่เราอยากเล่า คือพัฒนาการของตัวละครที่มีความซับซ้อนขึ้น ส่วนสิ่งที่คนดูอยากดู เขาจะได้เจอและเข้าใจตัวละครที่เขารักมากขึ้นอีก และผมรู้ว่าคนดูอยากเห็นปลายทางของเรื่องแบบไหน ผมพยายามให้คนดูได้ในสิ่งที่ต้องการ สุดท้ายสังคมจำเป็นต้องดูอะไร เราพยายามตามให้ทันบริบทของสังคม สอดแทรกสิ่งที่คิดว่าสังคมในปีนี้น่าจะต้องการ แต่จะประสบความสำเร็จเหมือนซีซั่นหนึ่งหรือไม่นั้น เราไม่รู้ คนดูอาจไม่ชอบก็ได้ แต่เราอยากทดลอง

“ศักยภาพ” หรือพลังพิเศษของตัวละครซึ่งเป็นจุดเด่นของซีรีส์ มีการออกแบบอย่างไร

ทางโปรดิวเซอร์ให้โจทย์ว่า นี่คือโลกของเด็กที่มีพลังพิเศษในประเทศไทย ต้องทำให้ดูน่าเชื่อถือ จะมาเวอร์วังอลังการแบบหนัง อเวนเจอร์ส (The Avengers) หรือ เอ็กซ์เมน (X-Men) ไม่ได้ แล้วศักยภาพจะเกิดขึ้นลอยๆ ไม่มีที่มาไม่ได้ เช่น ศักยภาพเรียนรู้รวดเร็วและเก่งทุกอย่าง เราคิดว่าศักยภาพนี้เป็นไปได้ เพราะมีคนที่ดูคลิปวิดีโอแป๊บเดียวแล้วทำตามได้เลยจริงๆ แล้วทำไมตัวละครถึงต้องมีศักยภาพนี้ เพราะเขามีนิสัยรักความสมบูรณ์แบบ (perfectionist)  แล้วทำไมถึงมีนิสัยนี้ เพราะครอบครัว เราพยายามคิดทุกอย่างให้รัดกุมที่สุด เพื่อที่จะตอบคำถามคนดูได้ และทำให้คนดูเชื่อตามเรา

The Gifted Graduation คุณทั้งเขียนบทและกำกับด้วย การควบสองบทบาททำให้ได้งานตรงใจมากขึ้นหรือเปล่า

แน่นอนว่าเป็นไปตามที่คิดอยู่แล้ว เราเขียนเองย่อมได้ภาพออกมาตรงตามความคิดมากที่สุด แต่มีข้อต้องระวังคือ คนเขียนบทเปรียบเสมือนสมอง กำหนดว่าตัวละครทำอะไร พูดอะไร ที่ไหน ในขณะที่ผู้กำกับต้องมองภาพรวมว่าสิ่งที่บทเขียนมานั้น ทีมงาน ตากล้อง นักแสดง ทำงานได้เหมาะสมไหม สมมติเราเป็นนักเขียนบท นักแสดงต้องพูดสิ่งนี้เพราะตอบโจทย์ของเรื่อง แต่ปรากฏว่านักแสดงเป็นเด็กลูกครึ่งอายุ 16 ปี ผู้ไม่เข้าใจความหมายของคำ ผู้กำกับจำเป็นต้องตัดทอนเพื่อให้นักแสดงแสดงได้ และตรงตามเป้าหมายของคนเขียนบท แต่เมื่อเราเป็นทั้งคนกำกับและเขียนบท เรามีอำนาจที่จะคงบทไว้ จึงต้องระมัดระวังในการทำงานมากขึ้น มองบทเสมือนไม่ได้เขียนเอง ย้อนถามตัวเองให้ถี่ถ้วนว่าสิ่งที่เขียนมาสมบูรณ์แบบจริงหรือเปล่า หรือจำเป็นต้องปรับบ้าง

ทั้งนี้ การควบสองหน้าที่ช่วยให้เราทำงานอย่างเข้าใจมากขึ้น ก่อนหน้าเราเป็นแค่นักเขียนบท อยากเขียนอะไรก็เขียน เขียนให้ตัวละครคุยกันบนเครื่องบินก็เขียน ทำไมล่ะ เขาเจอกันบนนั้นก็ต้องคุยกันบนนั้นสิ แต่ตอนนี้เราเข้าใจว่าอะไรเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมในเชิงโปรดักชั่นมากขึ้น เจอกันบนเครื่องบินใช้เงินห้าแสน ถ้างั้นเจอกันที่แท็กซี่หน้าสนามบินก็ได้ บทนี้ยาวไปนักแสดงจำไม่ได้หรอก ตัดให้สั้นลงหน่อย ถ้าเขียนแบบนี้ผู้จัดกรี๊ดแน่เพราะต้องใช้เงินมหาศาล หรือทีมตัดต่อด่าแน่เพราะต้องทำ CG เพิ่ม การเขียนนิยายไม่ต้องมาคิดเรื่องพวกนี้ อยากจินตนาการแค่ไหนก็ได้ แต่บทละครไม่ใช่ ทุกฉากคือเงินที่ลงทุน คือคิวนักแสดง พอเราเข้าใจภาพรวมมากขึ้น อะไรที่เราแก้ได้จึงแก้ก่อน ดีกว่าไปสร้างปัญหาให้ทีมงานอื่นๆ ภายหน้า แต่ถ้าแก้ไม่ได้จริงๆ จำต้องขอโทษด้วย

ในฐานะนักเขียนบท มีบทในฝันที่อยากเขียนบ้างไหม

ผมตอบไม่ได้ว่าอยากเขียนแนวไหน เพราะสุดท้ายผมเขียนได้ทุกแนว แต่ความฝันของผมคืออยากเห็นอุตสาหกรรมนี้แข็งแรงขึ้น คนมักพูดว่าบทซีรีส์เกาหลีดีจัง ทำไมเมืองไทยไม่ทำแบบนั้นบ้าง เพราะนักเขียนบทไทยไม่เก่งรึเปล่า เราอยากแก้ต่างว่า คุณรู้ไหมว่าบทซีรีส์เกาหลีเรื่องหนึ่งใช้เวลาเขียนสองถึงสามปี แล้วค่าตอบแทนที่ได้รับมากพอให้เขาอยู่ได้ แต่นักเขียนบทเมืองไทยต้องเขียนอย่างน้อยสี่ถึงห้าเรื่องต่อปีเพื่อให้อยู่ได้ แล้วเราเป็นมนุษย์ ในข้อจำกัดต่างๆ เราไม่สามารถทำงานให้ออกมายอดเยี่ยมได้ทั้งหมด แต่เราไม่ได้พูดเพื่อบอกว่าเกาหลีเขาเก่งน้อยกว่าที่คิด หรือเราเก่งเทียบเท่า ไม่ว่าจะเป็นฮอลลีวูดหรือเกาหลีเขาเก่งมากๆ แต่อย่าลืมว่าเขาไม่ได้เก่งแต่เกิด ด้วยอุตสาหกรรมบันเทิงที่ก้าวหน้ามาก มีส่วนช่วยสนับสนุนให้เขาผลิตงานได้ดีขึ้นเรื่อยๆ เขาทำซีรีส์หมอที่จริงจังได้ เพราะเขามีทุนในการรีเสิร์ช ดังนั้นในฐานะคนเขียนบท ไม่มีบทที่เราอยากเขียนเป็นพิเศษ แต่เราฝันว่าวันหนึ่งอุตสาหกรรมบันเทิงจะเข้มแข็ง มีผลตอบแทนมากกว่านี้ ให้คุณค่าแก่ความคิดสร้างสรรค์มากกว่านี้

นอกจากนั้น อีกสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า คือเรามีเสรีภาพในการเล่าเรื่องมากแค่ไหน คนทำละครโดนข้อครหาตลอดว่าทำแต่เรื่องผัวเมีย ขอถามกลับว่า คุณให้เสรีภาพในการเล่าเรื่องใหม่ๆ มากน้อยแค่ไหน เราทำงานแล้วพบว่ามีพื้นที่ที่เข้าไม่ได้มากมาย ประเด็นนี้แตะไม่ได้เพราะหมิ่นเหม่ศีลธรรม ประเด็นนี้อ่อนไหวต่อวิชาชีพ แล้วคนในสังคมไม่ได้เรียกร้องต้องการซึ่งเสรีภาพในการพูด สุดท้ายคนทำละครจึงกลับไปสู่การเล่าเรื่องนินทาชาวบ้าน เรื่องผัวเมีย เรื่องความรัก เพราะฉะนั้นถ้าถามผมว่าอยากเขียนบทแนวไหน ผมต้องถามกลับว่า แล้วตอนนี้เราเขียนได้กี่แนวบ้าง แทนที่จะไปคิดฝันถึงสิ่งที่ยังไม่มา เราหันมาดูก่อนว่าตอนนี้เราอยู่กับอะไร แล้วหาทางแก้ไข เพื่ออีกยี่สิบปีข้างหน้าจะดีขึ้น และเมื่อถึงวันที่เรามีเสรีภาพในการเล่าเรื่องมากกว่านี้ ผมอาจคิดออกว่าบทในฝันที่ผมอยากเขียนเป็นแบบไหน

เรื่องความรักหรือเรื่องผัวเมียถือเป็นเรื่องที่เล่าได้ง่ายและปลอดภัย (safe sone) ที่สุดใช่ไหม

ถ้ามองในมุมคนเขียน เรื่องรักเขียนยากนะ เพราะมีคนทำมาเยอะมาก จะเขียนยังไงให้พิเศษกว่าที่เคยมี แต่เป็นเรื่องที่เล่าได้ง่ายและปลอดภัยที่สุดใช่ไหม ตอบว่าใช่ เพราะเป็นเรื่องของปัจเจกชน ครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง คนใดคนหนึ่ง มนุษย์เรามีปัญหาสักกี่เรื่อง เรื่องแฟน สามีภรรยา มากสุดคือความยากจน ไม่ได้ไปแตะประเด็นโครงสร้างอะไรมาก ไม่ได้ไปฉีกกรอบศีลธรรมที่คนในสังคมอิน จึงเล่าได้ง่าย และเป็นเซฟโซนของการทำละครเหมือนกัน

ที่ละครรัก ละครผัวเมีย ยังขายได้ เพราะคนไทยก็ชอบเสพเหมือนที่ชอบเสพเรื่องซุบซิบด้วยรึเปล่า

คนมักอินกับสิ่งที่มีประสบการณ์ร่วม เขาดูแล้วได้อะไรบางอย่าง และละครแนวนี้ก็ตอบโจทย์ แต่ถ้าบอกว่าคนไทยชอบดูแต่ละครรักๆ ใคร่ๆ เป็นการมองเพียงมิติเดียวเกินไป เพราะละครทางเลือกก็มีให้เห็น เช่น ฉลาดเกมส์โกง หรือแม้แต่ The Gifted แต่ไม่เยอะ เป็นเพราะเขียนบทไม่สนุกรึเปล่า ละครทางเลือกถึงไม่ประสบความสำเร็จนัก ผมขอย้อนกลับไปที่อุตสาหกรรมอีกว่า การทำงานสักชิ้น ไม่มีทางที่เราจะสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรกหรอก ทุกคนต้องเรียนรู้จนเชี่ยวชาญในที่สุด สำหรับละครรักหรือละครผัวเมียนั้น เรามีตัวอย่างมากมายว่า ทำแล้วดีหรือไม่ดี แต่สำหรับละครหมอสักเรื่อง เราแทบไม่มีความรู้ในการทำเลย และแน่นอนว่าเรื่องแรกทำแล้วต้องแป้ก ไม่สำเร็จ ทีนี้ถ้าไม่มีคนสู้ต่อ ย่อมไม่เกิดความรู้สำหรับการพัฒนาสู่เรื่องถัดๆ ไป คนที่จะมาบุกเบิกละครแนวนี้ก็ฝ่อหายไปหมด สุดท้ายกลับสู่เซฟโซน ทำละครครอบครัว ละครผัวเมีย อย่างทุกวันนี้

การถูกเสนอชื่อเข้าชิงและได้รับรางวัลนั้น เป็นกำลังใจให้คนทำงานมากน้อยแค่ไหน

เราทำงานย่อมอยากได้ผลตอบรับที่ดี ไม่อยากให้ผลงานหายเงียบไปเฉยๆ สิ่งใดที่เป็นเสียงตอบรับจากคนดู ดีต่อใจหมด ไม่ว่าจะเป็นรางวัล เรตติ้ง คำชมในโซเชียลมีเดีย หรือการติดเทรนด์ทวิตเตอร์ ทุกสิ่งที่เป็นกระแสตอบรับมีคุณค่าแก่เราเท่าเทียมกัน แต่ไม่ได้ตั้งความหวังว่าต้องได้รางวัล แค่ทำให้ดีที่สุด แล้วรางวัลจะมาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเอง

 

3 เล่มในดวงใจของ วาสุเทพ เกตุเพ็ชร์

  • แฮร์รี่ พอตเตอร์ เขียนโดย เจ. เค. โรว์ลิง

เด็กเจนวายไม่มีทางที่จะไม่ชื่นชอบเรื่องนี้ เพราะพวกเราโตมากับหนังสือชุดนี้

  • ตลิ่งสูง ซุงหนัก เขียนโดย นิคม รายยวา

เป็นหนังสือรางวัลซีไรต์ที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกมากที่สุด

  • นิทานเวตาล แปลโดย ‘น.ม.ส.’

อ่านแล้วรู้สึกว่านี่คืออัจฉริยะในการเขียน


 

ภิญญ์สินี

Writer

กองบรรณาธิการ ศิษย์เก่าเอกปรัชญาและศาสนา ชอบติดตามกระแสสังคม และเทรนด์แฟชั่น สนใจศิลปวัฒนธรรม และสีมงคล ลายนิ้วหัวแม่มือคือลายมัดหวาย

อนุชา ศรีกรการ

Photographer

ช่างภาพที่เกิดวันเดียวกับวันถ่ายภาพโลก เลยทำอย่างอื่นไม่เป็นแล้ว

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!