ร้านเช่าหนังสือวราสาส์น กว่า 40 ปีที่ยืนหยัดเพื่อผู้อ่าน

-

ประมาณ 20 ปีที่แล้วร้านขายหนังสือและร้านเช่าหนังสือยังเฟื่องฟู โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านเช่าหนังสือการ์ตูนที่หาง่ายไม่ต่างจากร้านสะดวกซื้อ แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี การเกิดขึ้นของอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและสมาร์ตโฟน ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการอ่านหนังสือ ร้านขายและเช่าหนังสือรายเล็กรายย่อยต่างก็พลอยได้รับผลกระทบด้วย และค่อยๆ ปิดตัวลงจนแทบไม่เหลือให้เห็นในปัจจุบัน แต่ก็ยังมีร้านที่ปณิธานแรงกล้ายืนหยัดฝ่าวิกฤติการเปลี่ยนแปลง เพื่อรักษาคุณค่าของการอ่านหนังสือให้คงอยู่คู่สังคมไทย ‘วราสาส์น’ คือร้านเช่าหนังสือที่มีชื่อยืนยงมานานกว่า 40 ปี ดำเนินกิจการโดยคุณวราภรณ์ เชฎฐาวิวัฒนา ตั้งอยู่ที่ซอยเพชรบุรี 5 ร้านวราสาส์นเดินทางเคียงข้างนักอ่านผ่านยุคที่หนังสือได้รับความนิยม เสื่อมความนิยม วิกฤติโควิด-19 และยังคงเปิดกิจการต้อนรับนักอ่านทุกเจเนอเรชัน 

ร้านนี้ก่อตั้งเมื่อไหร่และทำไมคุณวราภรณ์ถึงสนใจธุรกิจร้านเช่าหนังสือ 

ร้านเปิดตั้งแต่ปี 2524 ตอนนั้นเพิ่งรับราชการได้ไม่กี่ปี ทำงานใหม่ๆ ยังไม่ค่อยยุ่ง เลยอยากหาอะไรทำหลังเลิกงาน ด้วยความที่เราผูกพันกับหนังสือ ตอนเด็กๆ บ้านอยู่ริมคลองแสนแสบ เห็นเพื่อนบ้านพายเรือมาให้พ่ออ่านหนังสือพิมพ์จีนให้ฟัง หรืออ่านจดหมายจากเมืองจีนและให้เขียนตอบกลับ เราก็คอยฝนหมึกและล้างถ้วยชารับแขก พร้อมกับซึมซับบรรยากาศแบบนี้ พอโตขึ้นหน่อยพี่ชายซื้อนิยายจีนกำลังภายในมาอ่าน เราก็อ่านตาม และติดใจ จากนั้นก็รู้สึกรักหนังสือ รักการอ่าน ชอบอ่านทุกประเภท แต่แนวโปรดต้องยกให้นิยายจีนกำลังภายในกับวรรณกรรมเยาวชน เลยเป็นเหตุให้พอคิดหาอาชีพเสริมทำหลังเลิกงาน แวบแรกในสมองคือร้านหนังสือ  

ที่เลือกทำเลเพชรบุรีซอย 5 เพราะเป็นบ้านพี่สาว ตอนเปิดใหม่ๆ แถวนี้เพิ่งเจริญ เราทำงานตรงท่าเตียนเสร็จ นั่งรถเมล์มานี่ต่อก็ไม่ไกลนัก ตอนเปิดใหม่ๆ คนอ่านหนังสือยังไม่เยอะ จนเปิดไปสักพักถึงจะบูม 

เกิดอะไรขึ้นหนังสือถึงได้รับความนิยม 

ปลายปี 2527 เดือนพฤศจิกายน รัฐบาลประกาศลดค่าเงินบาท พอเศรษฐกิจไม่ค่อยดี คนไปไหนมาไหนก็ค่าใช้จ่ายสูง การอ่านหนังสือจึงเป็นความบันเทิงที่เสียเงินไม่เยอะ และเมื่อก่อนหนังสือไม่แพงเหมือนสมัยนี้ เล่มละ 100 กว่าบาทเอง เราคิดค่าเช่าแค่ 50 สตางค์ – 1 บาท คนเลยขลุกอยู่กับบ้านอ่านหนังสือ ประหยัดเงิน ตั้งแต่ปีนั้นลูกค้าเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ พอธุรกิจบูม แถวนี้เดิมมีร้านเราร้านเดียว ก็มีเปิดใหม่อีกมี 3-4 ร้านเลย จนช่วงปี 2530-2540 การ์ตูนฮอตมาก เป็นยุคที่ร้านเช่าการ์ตูนเปิดกันเยอะ เราเคยซื้อการ์ตูนเรื่องหนึ่ง 5 ชุด เพราะเทิร์นโอเวอร์สูง อย่างต่ำๆ ต้อง 3 ชุด เดี๋ยวนี้ชุดหนึ่งยังไม่ค่อยหมุนเลย  

จุดแข็งของร้านวราสาส์นเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง 

ถ้าเปรียบเทียบเรื่องทำเล ร้านเราเสียเปรียบอยู่แล้ว ร้านอื่นอยู่ในทำเลที่เห็นชัด ของเราถ้าไม่เลี้ยวเข้ามาก็ไม่เห็น ต่อให้เปิดมานานกว่า สิ่งที่เราใช้ดึงดูดลูกค้าและสร้างความได้เปรียบ  

1.ความหลากหลายของหนังสือ เรามีหนังสือหลากหลายประเภท ร้านอื่นเน้นการ์ตูนหรือนิยายอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เรามีทุกประเภท อาจเนื่องมาจากส่วนตัวอ่านหนังสือทุกประเภท ก่อนยุคแฮร์รี่ พอตเตอร์ดัง ร้านเช่าเขาไม่ซื้อวรรณกรรมเยาวชนหรอกเพราะไม่คุ้ม คนไม่ค่อยอ่าน แต่เราชอบอ่าน เช่น โต๊ะโตะจัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง หรือชุดบ้านเล็กในป่าใหญ่ ร้านเรามีให้เช่ามาก่อน พอแฮร์รี่ พอตเตอร์ดัง เราก็มีพร้อมบริการอยู่แล้ว ไม่เพียงแค่นั้นเรายังมีแนวสืบสวนสอบสวน สยองขวัญ นิยายแปลโรแมนซ์ เมื่อก่อนร้านเราตอนเย็นๆ ลูกค้าเยอะมากนะ ต่อคิวยาวเพื่อเข้าร้าน ลูกค้ารู้ว่าหนังสือเข้าใหม่วันไหน เขาก็มารอ เรามีทัศนคติว่ามาร้านนี้ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ รุ่นไหน ก็ต้องประทับใจ และด้วยความที่ร้านเราเปิดมานาน หนังสือเก่าๆ ซึ่งหาร้านไหนไม่เจอ ก็เจอได้ที่นี่ 

  1. การบริการ เข้ามาร้านนี้ต้องประทับใจ เราสามารถให้คำแนะนำลูกค้าได้ เรื่องไหนไม่สนุกก็ไม่แนะนำ ถือหลักยอมขาดทุนดีกว่ายัดเยียดให้ลูกค้า เมื่อเขาเอาไปแล้วอ่านไม่สนุก ไม่ประทับใจ เขาก็ไม่กลับมาอีก เพราะมีอคติว่าเราไม่จริงใจกับเขา ความจริงใจคือหัวใจของการค้าขายนะ แต่ถ้าเขาถูกใจร้านเรา เขาจะแนะนำปากต่อปาก ชักชวนเพื่อนมา ไปร้านอื่นไม่ถูกใจก็มาที่นี่แม้ทำเลด้อยกว่า

ลูกค้าเก่าก็ยังแวะเวียนมา? 

เราอยู่มาได้นานกว่า 40 ปี เพราะลูกค้ายังผูกพันกับเรา เขามาเช่าหนังสือตั้งแต่เด็ก พอโตเป็นหนุ่มย้ายไปอยู่ที่อื่น ถ้าวันไหนผ่านแถวนี้ก็แวะเข้ามาเยี่ยมเยียน แม้แต่เพื่อนยังลืมกัน แต่นี่เขายังคิดถึงเรา เป็นความภูมิใจ ความจริงใจที่เรามีให้เขา เขาจึงยังคิดถึงเราอยู่ 

ในวัย 70 ปี คุณวราภรณ์ยังอ่านหนังสือเล่มใหม่ๆ เพื่อแนะนำลูกค้าเองอยู่ไหมคะ 

ใช่ ยังอ่าน เราชอบอ่าน แต่อ่านได้ไม่เยอะเท่าเมื่อก่อน สมัยอายุน้อยกว่านี้อ่านได้วันละ 4-5 เล่ม ทุกวันนี้ใช้เวลาอ่านพอสมควร แต่ต้องอ่าน ไม่งั้นแนะนำลูกค้าไม่ได้ อีกวิธีคือฟังฟีดแบ็กจากลูกค้า ถ้าลูกค้าบอกเรื่องไหนสนุก เราก็แนะนำคนอื่นต่อ หรือใช้วิธีสังเกตลูกค้า สมมติเป็นหนังสือชุดที่มีหลายเล่ม เขาเช่าเล่มหนึ่งไปแล้ว ถ้าไม่อ่านต่อเล่มสอง แสดงว่าไม่สนุกละ ถ้าลูกค้า 5 คน เป็นแบบนี้สัก 3 คนก็แน่นอนแล้วว่าไม่แนะนำใครต่อ แต่ถ้าเรื่องไหนลูกค้าอ่านจนจบ 8-10 คน โอเค เรากล้าแนะนำคนอื่นแม้ตัวเองจะไม่เคยอ่าน 

หนังสือที่เลือกเข้ามาในร้าน ยังเน้นความหลากหลายแนวเหมือนเดิมไหมคะ 

เหมือนเดิม เพิ่มขึ้นกว่าเดิมด้วย เมื่อก่อนไม่มีนิยายวาย แต่ 5 ปีหลังนี้นิยายวายฮอต เราก็เอาเข้ามา แม้ว่านิยายวายจะราคาสูง เล่มหนึ่ง 400-500 บาทเลย แต่เราต้องกล้าได้กล้าเสีย 

ค่าเช่าหนังสือทุกวันนี้คุณวราภรณ์คิดราคายังไงคะ 

ยืนราคานี้ตั้งแต่ปี 2562 ใช้เกณฑ์ 6-8% จากราคาปก มีแค่การ์ตูนที่ 10% จากราคาปก 5 ปีแล้วที่ไม่ปรับราคา ทว่าราคาหนังสือแพงขึ้นเรื่อยๆ นะ จากปี 62 ก็เพิ่มขึ้น 30-40% แล้ว อย่างหนังสือการ์ตูนทุกวันนี้ถูกสุด 90-100 บาท แพงสุด 200 บาท เราพยายามสู้ราคาเพราะอยากให้เยาวชนได้อ่านหนังสือ ถามว่าในด้านธุรกิจคุ้มไหม ไม่คุ้มเหมือนสมัยก่อนแล้ว สมัยก่อนคนเช่าเยอะ เทิร์นโอเวอร์หนังสือสูง ทุกวันนี้ก็อย่างที่เห็นคนอ่านน้อยลง รายได้เลยน้อยตาม อย่างวันเด็กเราให้เด็กอ่านฟรี เมื่อก่อนเด็กมาเป็นสิบๆ คน 5-10 ปีหลังนี้ เด็กมาแค่คนเดียว  

ยังจัดหนังสือเองและจำได้ว่าแต่ละเล่มอยู่ตรงไหน 

จัดเอง จำได้เป็นส่วนใหญ่นะ เพราะเราใช้ระบบการเรียงหนังสือแบบห้องสมุด แบ่งประเภทหนังสือ และแต่ละประเภทก็เรียงตามตัวอักษร ก-ฮ หากรู้ชื่อผู้แต่งหรือชื่อเรื่องก็หาให้ง่าย ถ้าจัดระบบไม่ดี เราจำหนังสือไม่ได้หรอก ยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งจำยาก เมื่อก่อนเคยเอาระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ แต่พอไม่มีคนคอยลงข้อมูล ก็ไม่อัปเดต ยิ่งรวนใหญ่ เลยใช้ระบบแมนวลเนี่ยแหละ 

ปัญหาที่ร้านเช่าต้องเจอคือหนังสือหาย ส่งผลต่อร้านวราสาส์นอย่างไร 

เราเสียดายนะ เพราะหนังสือบางเล่มเราหาซื้อคืนไม่ได้แล้ว อย่างการ์ตูนSlam Dunk เมื่อก่อนเป็นการ์ตูนที่ดังมาก หายไปหนึ่งเล่ม เราหาซื้อคืนไม่ได้ หรือบางทีพิมพ์ใหม่ไซซ์ก็ไม่เหมือนเดิม หน้ากระดาษไม่เหมือนเดิม พอเป็นเรื่องที่หาซื้อไม่ได้ลูกค้าก็ต้องอ่านข้าม คนเอาไปเห็นแก่ตัวนะ ลักทรัพย์ เอาของคนอื่น คุณอ่านคนเดียว ได้ประโยชน์คนเดียว แต่อยู่ที่นี่ได้อ่านเป็นพันเป็นหมื่นคน หนังสือดีๆ หายเยอะ เราก็แก้ยาก ระบบสมาชิกช่วยให้ตามทวงถามได้ แต่บางคนทวงแล้วก็ไม่สนใจอยู่ดี นอกจากดำเนินคดี แต่เราก็ไม่มีเวลาไปดำเนินคดี ก็ต้องเลยตามเลย ล่าสุดเพิ่งซื้อปาฏิหาริย์ร้านชำของคุณนามิยะ เพราะเล่มเก่าหายไปเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว โชคดีที่เรื่องนี้ยังหาซื้อได้ แต่บางเรื่องขาดตลาดนานแล้ว 

หนังสือประเภทไหนที่ลูกค้านิยมเช่าในปัจจุบัน 

นิยายวาย กับนิยายจีนแปลแนวผู้หญิงเก่ง กระแสแรงตอนนี้ ส่วนนิยายไทยดร็อปลง นิยายแปลไม่ต้องพูดถึงเลย เมื่อก่อนเคยขายดีทั้งแนวโรแมนซ์หรือสืบสวนสอบสวน เช่น งานสืบสวนของแดน บราวน์ เดี๋ยวนี้แทบไม่มีคนหยิบ แต่เราก็ยังเอาเข้าร้านเพราะอยากอ่าน ส่วนนิยายแปลโรแมนซ์สู้ของไทยไม่ได้ ยิ่งฉากเลิฟซีนนักเขียนไทยยังเขียนถึงอกถึงใจกว่าด้วยซ้ำ มีช่วงเป็นที่นิยม แต่ก็ซาลง ส่วนการ์ตูน นักอ่านรุ่นใหม่เขาหันมาหาการ์ตูนเก่าอ่านนะ เขาไปดูรีวิวแล้วอ่านตาม เช่น 20th Century Boys, Slam Dunk, Berserk 

  

มีช่วงเวลาไหนที่คุณวราภรณ์รู้สึกว่าร้านตกอยู่ในภาวะวิกฤติ 

ก็ช่วงโควิด-19 เนี่ยแหละ ร้านเราโอเคมาตลอด จนกระทั่งเกิดการระบาดของโควิด แต่ล็อกดาวน์รอบแรกร้านเรายังไม่ได้รับผลกระทบ แถมคนเช่าเยอะด้วยซ้ำ เพราะคนอยู่บ้านกันเลยหาอะไรอ่าน ล็อกดาวน์รอบสองคนเช่าลดลงแต่ก็ยังไม่เยอะ จนล็อกดาวน์รอบสามเนี่ยแหละ ร้านเงียบ คนเช่าหายไป เพราะบริษัทต่างๆ เลิกจ้างพนักงาน หลายคนต้องกลับบ้านต่างจังหวัด หลายคนต้องรัดเข็มขัดกันมากขึ้น ตั้งแต่เปิดร้านมากว่า 40 ปียังไม่เคยเงียบขนาดนี้ อย่างที่เล่าไว้ เมื่อก่อนถ้าเศรษฐกิจไม่ดี ร้านเราจะดีเพราะเป็นความบันเทิงที่ราคาไม่แพง เดี๋ยวนี้เศรษฐกิจไม่ดี แต่ราคาหนังสือสูง แม้ร้านเราจะไม่ได้คิดค่าเช่า 10% จากปกเหมือนร้านอื่น แต่กระนั้นก็ยังเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงสำหรับหลายคน  

ปัจจุบันยังเงียบต่อเนื่องเพราะเศรษฐกิจไม่ฟื้นตัวนัก เมื่อก่อนซอยเพชรบุรี 5 นี้คนเดินพลุกพล่านตลอด เดี๋ยวนี้ไม่คึกคักเท่าเดิม แต่ก็ดีกว่าช่วงโควิด 

วางอนาคตของร้านวราสาส์นไว้ยังไงบ้างคะ 

ตั้งใจว่าจะทำร้านต่อจนทำไม่ไหวนั่นแหละ เพราะเราเองก็มีความสุขเมื่ออยู่กับหนังสือ วันไหนเหนื่อยๆ ก็หยิบหนังสือมานั่งอ่าน วันไหนขยันก็ลุกมาปัดชั้นหนังสือ ซ่อมหนังสือ มีงานให้ทำทั้งวัน แต่ก็กลัวเหมือนกัน ไม่รู้ว่าปีนจัดชั้นหนังสือแล้วจะตกวันไหน  ชั้นสูง 2 เมตร 50 ซึ่งเรากับสามีช่วยกันต่อ ทุกวันนี้ก็ยังปีนขึ้นปีนลงเอง 

ความสุขในการทำงาน  

คือการได้เห็นคนอ่านหนังสือ เราเป็นคนอ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก เราสัมผัสประโยชน์มหาศาลจากสิ่งนี้ จึงอยากส่งต่อ ยิ่งทุกวันนี้ร้านเช่าน้อยลงเรื่อยๆ เรายิ่งอยากอยู่ให้นานเท่าที่สังขารจะอำนวย มันเหลือแหล่งให้คนได้อ่านหนังสือไม่มากแล้ว การที่เรายังทำร้านอยู่ก็เหมือนได้ช่วยประเทศชาติ เป็นแหล่งความรู้ให้คนแต่ละรุ่น เป็นส่วนหนึ่งของการร่วมพัฒนาประเทศ ถามว่าเปิดร้านหนังสือคุ้มไหมในเชิงธุรกิจ ไม่คุ้มหรอก แต่ความคุ้มสำหรับเราคือมีส่วนช่วยให้เยาวชนรักการอ่าน ถ้าเธอชอบอ่านหนังสือจะรู้เลยว่าเวลาเจอหนังสือถูกใจนั้นมีความสุขขนาดไหน อ่านพลางยิ้มพลาง หัวเราะ น้ำตาซึมไปกับตัวอักษร เก็บข้อคิดมาทบทวนชีวิต ยิ่งอ่านก็ยิ่งรัก ยิ่งมีความสุข แค่ได้อ่านหนังสือแล้วเปิดเพลงเพราะๆ คลอก็พอแล้ว  


คอลัมน์: ถนนวรรณกรรม

ภิญญ์สินี

Writer

กองบรรณาธิการ ศิษย์เก่าเอกปรัชญาและศาสนา ชอบติดตามกระแสสังคม และเทรนด์แฟชั่น สนใจศิลปวัฒนธรรม และสีมงคล ลายนิ้วหัวแม่มือคือลายมัดหวาย

อนุชา ศรีกรการ

Photographer

ช่างภาพที่เกิดวันเดียวกับวันถ่ายภาพโลก เลยทำอย่างอื่นไม่เป็นแล้ว

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!