ประเทศสิงค์โปร์ฉีดวัคซีนโควิดอย่างดีไปเกือบครึ่งของจำนวนประชากรแล้ว แต่กลับต้องปิดประเทศอีกรอบเพราะเกิดโควิดสายพันธุ์ใหม่ (อินเดีย) เข้ามาระบาดจนคนที่ได้วัคซีนครบก็ยังติดไม่ต่างจากคนไม่ได้วัคซีน นั่นหมายความว่าโควิดสายพันธุ์ใหม่ๆ กำลังทำให้ความฝันที่ว่าโลกจะหมดจากโควิดแล้วกลับมาเหมือนเดิมนั้นล่มสลาย เพราะไวรัสกลายพันธุ์ได้เรื่อยๆ
ถ้าท่านข้องใจว่ามันกลายพันธุ์กันได้อย่างไร ผมอธิบายอย่างนี้ ลองนึกถึงกุญแจรหัสล็อคจักรยาน ในกุญแจนั้นมีล้อหมุนเล็กๆ เรียงกันอยู่สามอัน แต่ละล้อหมุนมีตัวเลข 1-9 ให้เป็นตัวเลือก หากหมุนเอาตัวเลือกที่ถูกต้องขึ้นมาเรียงได้พร้อมกันทั้งสามล้อ เราก็เปิดกุญแจได้ คราวนี้ลองนึกภาพกุญแจรหัสแบบใหม่ แต่ละล้อหมุนมีแค่สี่ตัวเลือก แต่ว่ามีจำนวนล้อหมุนเรียงกันอยู่ถึง 30,000 ล้อ กุญแจแบบนี้หนึ่งอันนี่แหละคือชุดรหัสพันธุกรรม (genome) ของไวรัสหนึ่งตัว เวลามันก๊อปปี้ลูกออกมาทีหนึ่ง มันก็คัดลอกกุญแจทั้งชุดนี้ไปให้ลูกทีหนึ่ง แต่ในการคัดลอกก็มีบ้างที่ตัวเลือกบางล้อหมุนผิดเพี้ยนหรือชำรุด จึงได้ลูกที่แหกคอก หากแหกคอกแล้วอ่อนแอมันก็ตายไป แต่หากแหกคอกแล้วแข็งแรงกว่าแม่ มันก็ยิ่งขยายตัวเร็ว เช่นไวรัสโควิดสายพันธุ์อินเดียนี้เป็นต้น โปรดสังเกตว่ายิ่งไวรัสมีโอกาสก๊อปปี้ลูกออกมามาก ยิ่งมีโอกาสได้ลูกแหกคอกมาก ดังนั้นในอนาคต วงการแพทย์ก็ต้องดิ้นรนสอบสวนควบคุมโรครอบใหม่ๆ กันอีก เหมือนอย่างที่สิงคโปร์กลับไปล็อคดาวน์ประเทศอีกครั้ง ขณะเดียวกันวงการยาก็ต้องตั้งหน้าผลิตวัคซีนตัวใหม่ๆ กันต่อไป
ส่วนประชาชนคนธรรมดาอย่างเราๆ นอกจากสวมหน้ากาก, อยู่ห่าง, ล้างมือ, ฉีดวัคซีน แล้วก็ต้องหันมาเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันโรคของตัวเอง เพราะนี่จะเป็นทางรอดทางเดียวที่เหลืออยู่อย่างแท้จริงของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ขณะที่การผลิตวัคซีนตามหลังไวรัสสายพันธุ์ใหม่ก็ยังไม่จบไม่สิ้น และไม่รู้ว่าจะต้องตามกันไปกี่ปี สองปี ห้าปี สิบปี ผมไม่อาจรู้ได้ รู้แต่ว่าสงครามระหว่างคนกับไวรัส หากไม่เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันโรคของคนให้กลับมาทำงานได้เต็มกำลังตามที่ธรรมชาติให้มา ยังไงไวรัสก็จะชนะ เพราะไวรัสหากินโดยการตัดแต่งพันธุกรรมของคนและสัตว์เพื่อให้เซลล์ของคนและสัตว์ปั๊มลูกของไวรัสออกมาให้มัน ขณะเดียวกันลูกหลานของมันก็กลายพันธุ์เรื่อยไปจนวัคซีนตามไม่ทัน เมื่อสัตว์ป่าสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว ไวรัสก็ยังเกาะกินมนุษย์ซึ่งมีมากจนเกือบจะล้นโลกและส่วนใหญ่มีระบบภูมิคุ้มกันโรคที่อ่อนแอไว้เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยและแพร่ลูกหลาน แล้วไวรัสจะแพ้คนได้อย่างไร
ดังนั้นเรามาเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันส่วนตัวดีกว่า และเราสามารถทำได้เอง ถ้าจะเอาตามหลักวิทยาศาสตร์การแพทย์ ก็ต้อง (1) ออกกำลังกายทุกวัน (2) กินอาหารที่มีพืชเป็นหลักที่หลากหลายในรูปแบบใกล้เคียงธรรมชาติ (3) นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ (4) จัดการความเครียดให้จิตใจผ่อนคลายปลอดความเครียด (5) ขยันออกแดดเพื่อให้ร่างกายได้วิตามินดี ซึ่งเป็นวิตามินที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันขยันทำงาน (6) ถ้าไม่ได้ออกแดด ก็ต้องกินวิตามินดีเสริม ถ้ากินอาหารกะพร่องกะแพร่ง หรือกินอาหารไม่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากขาดพืชผักผลไม้ ก็ควรกินวิตามินและแร่ธาตุรวมเสริม ซึ่งอย่างน้อยในเม็ดหนึ่งนั้นควรจะมีวิตามินดี, วิตามินซี, วิตามินอี, สังกะสี มีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันอยู่ด้วย
ตัวผมเองเนื่องจากมีครูเป็นโยคีอินเดีย จึงฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกันตามที่โยคีสอนด้วย คือ (1) สัมผัสดินสัมผัสหญ้าด้วยมือเปล่าเท้าเปล่า (2) สัมผัสแดดสัมผัสลม (3) สัมผัสน้ำหรือแช่น้ำ อาบน้ำเย็น (4) สัมผัสไฟ (5) ไม่กินเนื้อสัตว์ (6) กินพืชสมุนไพรบางชนิด เช่น ขมิ้นชัน สะเดา (7) พาตัวเองออกจากที่แออัด ไปอยู่ในธรรมชาติ ต้นไม้ ป่าเขา ลำเนาไพร (8) การปฏิบัติตนให้หมดความคิดเพื่อเข้าถึงความว่างข้างใน เช่น โยคะ รำมวยจีน สมาธิ เรียกว่าเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทั้งแบบวิทยาศาสตร์และแบบไสยศาสตร์
ทำถึงขนาดนี้แล้วยังจะติดโควิดก็ให้มันรู้ไป
คอลัมน์: สุขภาพ
เรื่อง: นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์