‘อัพ’ ภูมิพัฒน์ : เรียนรู้ไม่ลดละ

-

คนบนปกคนนี้เข้ากับธีม “เรียนรู้ไม่ลดละ” ประจำฉบับเป็นอย่างมาก เพราะหลังจากได้สนทนากับนักแสดงหนุ่ม ‘อัพ’ ภูมิพัฒน์ เราก็พบว่าเขาเป็นคนที่ขวนขวายเรียนรู้ไม่หยุดหย่อน มีความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปข้างหน้า แม้จะล้มหรือผิดพลาด แต่นั่นก็ถือเป็นบทเรียนของการเติบโต

                ‘อัพ’ ภูมิพัฒน์ แจ้งเกิดเต็มตัวจากการเป็นนักแสดงหลักของซีรีส์วายเรื่อง นับสิบจะจูบ ทว่านี่ไม่ใช่ผลงานแรกในวงการบันเทิงของเขา อัพผ่านการแสดงซีรีส์ GGEZ เกรียนเมพ เทพศาสตร์, เด็กใหม่ (Girl from Nowhere) ก่อนจะเดินทางไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ ปัจจุบันอัพทำงานในวงการบันเทิงเต็มตัว ควบคู่กับการเป็นนิสิตปริญญาเอกด้วย เพราะทั้งสองอย่างคือสิ่งที่เขาเลือกและรักที่จะทำ

 

 

เราเริ่มการสนทนาที่หัวข้อความสนใจการเรียนของนักแสดงหนุ่ม เขาเล่าว่าตัวเองไม่ใช่เด็กที่ทำคะแนนดีเสมอไป แต่ถ้าให้นิยามว่าเป็นเด็กประเภทไหน ก็จัดว่าเป็นเด็กเนิร์ดคนหนึ่ง “ตอนเด็กๆ ผมน่าจะอยู่ในกลุ่มเด็กเนิร์ด ก็ตั้งใจเรียนพอสมควร แต่ตอนย้ายมาเรียนที่โรงเรียนนานาชาติเอกมัย เราอยากเปลี่ยนลุคบ้าง อยากซ่าบ้าง การเรียนเลยอ่อนลงไปหน่อย ทว่าความเป็นเด็กเนิร์ดก็ยังอยู่ในตัวเราอยู่ดี เรามีความกลัวตาย กลัวเจ็บ ไม่กล้าทำอะไรแผลงๆ แบบเต็มร้อย จึงผสมผสานไม่เนิร์ดจ๋าหรือซ่าสุด”

มีความฝันอะไรในวัยเด็กไหม เราถามเขา “ไม่มีเลยครับ ตัวผมพยายามอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด เพราะเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าอยู่ๆ จะโดนพัดพาไปเส้นทางไหน เราจึงพยายามโฟกัสกับสิ่งที่ทำตรงหน้า อย่างเช่นวันนี้มาถ่ายงาน ผมพยายามทำเต็มที่แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะดีหรือไม่ดี เป็นคนชอบกระโจนลงไปลองทำ ตอนม.ปลายโรงเรียนของผมมีแบ่งสาย เช่น สายหมอ สายวิศวะ สายธุรกิจ เราลองเลือกสายวิศวะดู พอเจอเลขเข้าไปก็รู้แล้วว่าไม่ได้ ผมตกพีชคณิตไปสองรอบ แต่อย่างน้อยเราก็ได้ลองดูก่อน

“ผมไม่ถึงกับเป็นคนวางแผนระยะยาว แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่มีแผนเลย เรามีแผนระยะไกลเพื่อให้เดินไปถูกทาง แต่ภาพไม่ชัดขนาดนั้น เราเน้นโฟกัสที่ทางข้างหน้าซึ่งกำลังเดินไปเรื่อยๆ มากกว่า”

 

 

แล้วมาสนใจคณะนิเทศศาสตร์ได้ยังไง “ตอนแรกตั้งใจจะเรียนเศรษฐศาสตร์ แต่ได้ไปเห็นบรรยากาศของคณะนิเทศฯ แล้วดูสนุกดี ดูเป็นคณะที่มีความสุข เลยตัดสินใจเลือก แต่ผมเรียนภาคนานาชาติ ซึ่งไม่มีแบ่งสาขา เช่น ประชาสัมพันธ์ ภาพยนตร์ มีสาขาเดียวคือการบริหารจัดการสื่อ มีความเป็นบริหารอยู่ ซึ่งตอบโจทย์ที่เราสนใจ พอเข้าไปก็มีโอกาสทำกิจกรรมเยอะมากครับ ได้ลองหลายอย่าง”

ทว่าเมื่อเรียนต่อปริญญาโท นักแสดงหนุ่มกลับเปลี่ยนสาขาวิชาอย่างสิ้นเชิง เขาเลือกเรียนต่อทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการทูต เราจึงถามเขาว่าเพราะเหตุใดจึงเบนเข็มมาทางด้านนี้ “ผมชอบ ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือแล้วรู้สึกชอบ เริ่มอยากศึกษา เกิดความคิดจุดประกายขึ้นว่าถ้าอยากรู้มากกว่านี้ก็ไปเรียนต่อเลยสิ ตอนที่ลองสมัครเราไม่แน่ใจว่าเขาจะรับไหม เพราะไม่ได้จบตรงสาย แต่ปรากฏว่าได้ ก็ลองลุยดู” อัพเล่าถึงความโหดหินของการเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษว่า แม้จะเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อมาเจอของจริงก็พบว่า ตัวเองสู้คนอื่นไม่ได้เลย “มหา’ลัยที่ผมเรียนชื่อ SOAS University of London ซึ่งค่อนข้างมีชื่อเสียงในสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการทูต มีคนจากทั่วทุกมุมโลกมาเรียนที่นี่ ตอนแรกเราไม่คิดว่ายากหรอก ชิลล์ๆ พอเข้าคลาสปุ๊บเราเข้าใจทันทีเลยว่าคนที่มาเรียนคือคนที่อยากเรียนจริงๆ และทุกคนมีพื้นฐาน เช่น บางคนเคยทำงานสาขานี้ หรือเรียนมาด้านนี้โดยตรง เรารู้ตัวเลยว่าสู้เขาไม่ได้ ความรู้เราไม่ถึง ต้องขวนขวายเพิ่มด้วยตัวเอง

 

 

“ผมอ่านหนังสือทฤษฎีต่างๆ หลากหลายเพื่อตามให้ทัน การเรียนที่โน้นสมมติหนึ่งคลาสใช้เวลาสามชั่วโมง ครึ่งแรกอาจารย์บรรยาย ครึ่งหลังคือการสัมมนาเสมอ แบ่งกลุ่มถกเถียงแลกเปลี่ยนความคิด แล้วเราได้เจอคนจากทั่วโลก ภาพที่เขาเห็น สิ่งที่เขารับรู้ คือมุมมองจากคนคนนี้ซึ่งมาจากที่นี่ ทุกคนมีความคิดอันแตกต่าง แต่สามารถอยู่ร่วมกันได้ และต่อให้ต่างขนาดไหนแต่ทุกคนก็เคารพซึ่งกันและกัน บางคนไม่ค่อยรู้จักประเทศไทยเพราะเขาเรียนยุโรปศึกษามา ในขณะที่บางคนก็เรียนด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยตรง เราสนุกทุกครั้งที่ได้เข้าเรียน ทั้งสนุกและกดดัน เพราะสมมติเราพูดอะไรโดยไม่อิงทฤษฎี เขาจะถามเลย คุณเอาทฤษฎีอะไรมาสนับสนุนความคิด แบบนี้ไม่ได้ เพราะเป็นแค่ความคิดของเราลอยๆ ผมเลยค่อนข้างติดการพูดหรือทำอะไรเชิงวิชาการ คือต้องพิสูจน์ได้ บรรยากาศแบบนี้ยิ่งผลักดันให้เราต้องศึกษาให้มากขึ้น  ข้อสอบก็เช่นกัน ไม่มีกากบาทหรอก เป็นข้อสอบปลายเปิด ตอบแบบไหนก็ได้แค่ต้องมีทฤษฎีรองรับ สอบสองวิชาก็อ่านเป็นเดือนครับ

 

 

“เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งปีที่ผมโตขึ้นกว่าเดิมมาก ค่อนข้างก้าวกระโดดเลย เราอยู่ไทยสะดวกสบายทุกอย่าง จะไปไหนก็รู้ทาง เพื่อนฝูงมากมาย ผมเป็นลูกคนเดียวด้วยยังไงก็โดนตามใจ พอเราไปอยู่ที่นั่นทุกอย่างเริ่มจากศูนย์ วันที่ต้องกลับไทยแล้วมองย้อนไปรู้สึกว่าเป็นหนึ่งปีที่สอนอะไรเราเยอะจริงๆ”

มีภาพไหมว่าจบแล้วทำอะไรต่อ จะทำงานสายที่เรียนมาไหม เราถามเขา “ไม่ได้มองเลยครับ แต่ถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่ผมก็คว้านะ ผมไม่เคยเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเอง เราเลือกแล้วไม่ว่าผลจะดีหรือร้าย ทุกอย่างคือบทเรียนให้เราได้เรียนรู้เติบโตไปเรื่อยๆ”

อย่างไรก็ตามเจ้าตัวสารภาพว่า เมื่อถึงวันที่กลับไทยก็มีความรู้สึกโหวงๆ ลังเลไม่รู้ควรเดินทางไหนต่อ สุดท้ายก็ตัดสินใจจะลองจริงจังกับงานในวงการบันเทิง “เหมือนเราสำเร็จในเรื่องการเรียนตามที่ตั้งใจแล้ว คุยกับพี่จัสตินผู้จัดการของผมว่าอยากลองไปให้สุดกับงานวงการบันเทิงบ้างว่ะ ลองตั้งใจ เอาให้เต็มที่กันสักตั้ง ประจวบเหมาะกับผู้ใหญ่มอบโอกาสให้เล่นซีรีส์พอดีครับ”

แล้วเบนเข็มต่อปริญญาเอกได้ยังไงล่ะ เราสงสัย “ก่อนเรียนปริญญาโทเหมือนเราเห็นภาพแค่ทางตรงอย่างเดียว พอเราไปเรียนแล้วก็เห็นภาพกว้างขึ้น 180 องศา แต่ว่าภาพนั้นยังไม่ชัดเจนนัก เหมือนคนสายตาสั้นที่เห็นภาพเบลอๆ อยู่ เลยตัดสินใจเรียนต่อปริญญาเอกเพราะเราอยากมองเห็นภาพได้ชัดขึ้น สาขาที่เรียนคือการพัฒนาระหว่างประเทศ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะเรียนรู้หลักของการพัฒนาโดยรวม การพัฒนาศักยภาพมนุษย์ เรียนทฤษฎีต่างๆ เช่น ทฤษฎีสันติภาพ ส่วนใหญ่เพื่อนร่วมรุ่นเป็นครูอาจารย์ หรือทำงานสายนี้โดยตรง ส่วนผมนั้นพอดีมีหัวข้อที่สนใจและอยากศึกษา บังเอิญว่าสอบผ่านเลยได้เรียน ตอนนี้เรียนยังไม่ครบปีเลยครับ

 

 

“การเรียนปริญญาเอกนั้น พูดได้เลยว่าภาพที่คิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงต่างกันมาก คนละเรื่องเลย ภาพที่คิดคือ ชิลล์ๆ คุยกับอาจารย์ ค่อยๆ ทำธีซิสไปเรื่อยๆ เขาให้เวลาหกปี แต่ปรากฏว่ามีเข้าคลาสเรียน สัมมนาทุกรอบ และอ่านหนังสือเยอะมาก ในชีวิตไม่เคยอ่านเยอะขนาดนี้ และยังมีการสอบด้วย มีเกณฑ์ที่ต้องตามให้ทันเยอะ บวกกับงานในวงการที่เพิ่มขึ้นด้วย เลยค่อนข้างหนัก ถามว่าแบ่งเวลายังไง เอาเวลาไหนมาอ่าน ยากมากครับ ทุกวันนี้ยังแบ่งไม่ค่อยจะถูกเลย แต่ยังสู้อยู่ สู้จนกว่าจะสอบไม่ผ่านจริงๆ”

พูดได้ว่าเราค้นพบตัวเองว่าชอบด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้แล้วรึยัง “ถามว่าชอบมากๆ เลยไหม คงไม่ได้ชอบมากๆ เรียกว่าสนใจดีกว่า เป็นอะไรที่สนใจอยู่ตลอด”

 

 

สำหรับบางคนแค่พูดคำว่า “เรียน” ก็ยี้แล้ว แต่อัพนั้นต่างไป ความสนุกของการเรียนสำหรับนักแสดงหนุ่มคือการได้ค้นพบว่าสิ่งที่ตัวเองรู้นั้นมีน้อยลงเรื่อยๆ “ผมยิ่งรู้หรือเข้าใจอะไรมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้น้อยลงเท่านั้น สมมติว่าความรู้นี้เส้นชัยคือเต็มสิบ ผมเริ่มจากศูนย์ เราเดินไปหนึ่ง สอง สาม ถึง แปด เก้า แล้ว กำลังจะสิบ เหมือนเราจะรู้สิ่งนี้หมดแล้ว แต่ไม่ใช่ พอถึงสิบเราก็รู้ว่า มันเต็มร้อยตะหาก เรายังมีอะไรให้เรียนรู้ ให้เข้าใจอีกมากกับสิ่งนี้”

ไม่ท้อเหรอ อยู่ๆ เส้นชัยก็ไกลออกไปเรื่อยๆ เราถามเขา “ไม่ เพราะเส้นชัยที่เราตั้งไว้ว่าถึงสิบ เมื่อใกล้ถึงเราก็ดีใจ เฮ้ย ถึงเก้าแล้ว จะสิบแล้วนะเว้ย แล้วพอสิบก็ไม่ได้จบแค่นั้น ยังไปต่อได้ ไม่ตัน ทุกอย่างสามารถเรียนรู้ต่อไปได้เรื่อยๆ ผมเชื่ออย่างหนึ่งนะว่า ทุกคนสามารถเรียนได้ถ้าต้องการจริงๆ ทุกคนมีศักยภาพในตัวเอง มนุษย์ทุกคนสามารถเรียนรู้ทุกอย่างได้ เราทำอะไรก็ได้ สมมติถ้าวันนี้ผมต้องการเรียนภาษารัสเซียมากๆ เราก็เรียนได้ ใครก็ทำได้”

 

 

ถ้ามีคนเดินมาขอคำปรึกษาเพราะตัวเขาไม่รู้จริงๆ ว่าต้องการทำอะไรหรือชอบอะไร เราจะให้คำแนะนำอย่างไร เราตั้งคำถาม “ผมจะแนะนำให้กระโจนลงไปทำเลย ลองเลย อะไรก็ได้ เดี๋ยวก็รู้เองว่าชอบหรือไม่ชอบ ผมไปเรียนต่างประเทศก็ไม่ได้แน่ใจว่าชอบสิ่งนี่รึเปล่า ทำได้แน่รึเปล่า แต่เราเลือกแล้วก็ลองสู้ดู”

แล้วสิ่งที่ไม่ชอบ อัพให้เวลาแก่สิ่งนั้นมากแค่ไหน เราถามต่อ “ผมให้เวลาเสมอ ต่อให้เรียนแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่ ผมก็จะพยายามจนถึงที่สุด แน่นอนว่าสำหรับบางคนอาจเป็นสไตล์ ถ้ารู้ว่าไม่ใช่ก็รีบหยุด จะได้ไม่เสียเวลา นั่นไม่ผิด แต่ส่วนตัวผมจะพยายามไปเรื่อยๆ ณ จุดหนึ่งเราอาจทำได้ก็ได้ ถ้าสุดท้ายไม่ได้จริงๆ ก็ไม่เสียใจ เพราะเราให้โอกาสสิ่งนั้นและพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว”

เรียนรู้ไม่หยุดหย่อนอย่างนี้ เราจึงอยากรู้ว่าเขาเคยท้อแท้กับการเรียนบ้างไหม แล้วทำยังไงเมื่อแทบหมดกำลังใจ “เคยครับ ท้อมาก เห็นกองหนังสือก็ท้อแล้ว จะอ่านยังไงให้จบวะ แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากอ่านไปเรื่อยๆ ทำต่อไม่หยุดจนกว่าจะดีขึ้น จะเก่งขึ้นครับ”

 

………………….

เราชวนอัพสนทนาถึงงานในวงการบันเทิง ที่เจ้าตัวกล่าวว่าอยากลองไปให้สุดกับเส้นทางนี้ เจ้าตัววาดภาพไว้ไหมว่า ‘สุด’ นั้นเป็นแบบไหน “ไม่ได้มีภาพที่ชัดขนาดนั้น เพียงแต่อยากเป็นนักแสดงที่เล่นได้ทุกบทบาท และตอนนี้ผมได้ลองร้องเพลง มีคอนเสิร์ต นับเป็นโอกาสที่เข้ามาอย่างไม่คาดฝัน และเราก็ได้พัฒนาทักษะเพิ่มด้วย เราอยากรู้ว่าคนคนหนึ่งจะก้าวไปได้ไกลแค่ไหน โดยใช้ตัวเราเป็นหนูทดลอง เราจะไปได้ถึงขนาดไหน เราจะเรียนรู้ได้แค่ไหน

“การไปแคสติ้งซีรีส์วายถือเป็นการก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซนของผม ผมไม่มีความรู้เกี่ยวกับซีรีส์วายเลย ก่อนไปแคสติ้งยังลังเลว่าจะไปหรือไม่ไปดี แต่อย่างที่บอก เราอยากไปให้สุด อยากเล่นได้ทุกบทบาท อยากลองบทแปลกๆ เป็นใครก็ได้หมด ซีรีส์วายนับเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำ เป็นการก้าวออกจากกรอบเหมือนกัน งั้นก็ลองดู

“พอรู้ว่าได้รับเลือก กลายเป็นยิ่งกดดันตัวเองเลย เราเป็นตัวหลักครั้งแรก กลัวทำออกมาไม่ดี ไม่เป็นอย่างที่ผู้กำกับหรือทางคนดูคาดหวัง ก็พยายามเปลี่ยนความกดดันเหล่านั้นเป็นแรงฮึดสู้ เราต้องทำการบ้าน ต้องพยายามให้มากกว่าเดิม มีศึกษาจากหนังหรือซีรีส์วายอื่นๆ เรื่องที่ชอบคือ Call Me by Your Name ประจวบกับผู้กำกับส่งเรื่องนี้ให้ศึกษาพอดี ดูแล้วก็เข้าใจไม่ว่าจะเป็นหญิงชาย หรือชายชาย นั่นคือเรื่องราวของความรักเหมือนกัน”

 

 

ส่วนซีนที่ประทับใจนั้น นักแสดงหนุ่มกล่าวว่า เขาไม่สามารถเลือกซีนใดซีนหนึ่งได้ เพราะแต่ละซีนแตกต่างกันหมดและความแตกต่างก็คือความสุขของการเล่นซีรีส์เรื่องนี้ ส่วนซีนที่โหดหินนั้น อัพกล่าวว่า “ทุกฉากดราม่ายากเสมอ แต่เป็นความโหดที่สนุก และทำให้เราเก่งขึ้นทุกครั้งที่ได้เล่น”

เมื่อเราถามต่อว่า  ตัวละคร “จีน” กับ ตัวตนของ “อัพ” นั้นเหมือนหรือต่างกันอย่างไร เขาตอบเราว่า “เหมือนตรงเป็นคนคิดเยอะ คิดซับซ้อน หลายชั้น แต่มีความมึนๆ อ๊องๆ อยู่หน่อย ส่วนที่แตกต่างกันนั้น คือการพูดจาโผงผาง ขวานผ่าซาก ตัวละครจีนมีความย้อนแย้งในตัว เป็นคนที่คิดเยอะ คิดแล้วคิดอีก จะทำดีหรือไม่ดี แต่ดันพูดจาโผงผางเหมือนคนไม่คิด ผมว่าความย้อนแย้งเหล่านี้คือเสน่ห์ของตัวละคร”

นอกจากเรียนการแสดงเพิ่มเติมแล้ว เราถามเขาว่ามีทักษะไหนที่ยังอยากพัฒนาให้ดีขึ้น “ร้องเพลงนี่แหละครับที่ไม่มั่นใจเลย ถ้าให้คะแนนตัวเองก็ติดลบ เราพยายามก้าวผ่านให้ได้อยู่”

 

 

ด้วยกระแสความดังจากซีรีส์ ส่งผลให้นักแสดงหนุ่มมีแฟนคลับและยอดติดตามเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เราถามเขาว่ามีเหตุการณ์ใดที่แฟนคลับทำให้แล้วประทับใจเป็นพิเศษ เจ้าตัวตอบว่า ทุกอย่างที่แฟนคลับทำให้ในวันนี้เป็นสิ่งที่เกินความหมาย “ไม่เคยคิดว่าจะมีคนกู๊ดมอร์นิ่งเราทุกเช้าในทวิตเตอร์ อยากขอบคุณทุกคนมากๆ แต่ขอบคุณเท่าไหร่ก็ไม่พอ เราไม่รู้ว่าต้องใช้คำไหนจึงจะแทนความรู้สึกได้ทั้งหมด ขอบคุณที่ซัพพอร์ตกัน ผมจะพยายามส่งความสุขกลับคืนไปให้ทุกคน เหมือนทุกคนให้ความสุขเรา เราก็อยากคืนความสุขให้พวกเขา เราจะพยายามทำคอนเทนต์ดีๆ เพื่อให้ทุกคนมีความสุขครับ”

เราถามเขาต่อว่า ในยามรู้สึกท้อแท้ผิดหวัง อัพมีวิธีจัดการความรู้สึกตัวเองอย่างไร “ส่วนใหญ่ก็คิดจนรู้แจ้ง บางทีผมก็คิดแล้วเขียนออกมา อาจไม่ต้องเขียนจริงๆ แต่คิดแจกแจงเป็นเหตุและผลว่าผิดหวังตรงไหน ทำไมรู้สึกแย่ แล้วเราจะปรับปรุงได้ไหม วิธีที่ง่ายที่สุดคือทำความเข้าใจกับอารมณ์ เศร้าได้ ร้องไห้ได้ แล้วต้องลุกขึ้น จะลุกช้าลุกเร็วก็ได้ สุดท้ายต้องลุก มองให้เป็นบทเรียนเพื่อนำไปใช้ในอนาคต”

สำหรับสามสิ่งสำคัญในชีวิตของอัพ ภูมิพัฒน์นั้น ได้แก่ ครอบครัว ความคิด และกำลังใจ “ครอบครัวมาก่อนเสมอ ทุกอย่างเพื่อครอบครัว ต่อมาคือความคิด ค่อนข้างนามธรรมหน่อย แต่ผมเชื่อว่าทุกอย่างเริ่มที่มายด์เซ็ต ซึ่งส่งผลให้เราทำทั้งเรื่องดีและไม่ดี ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวก็มาจากความคิดของเรานั่นเอง อย่างที่สามคือกำลังใจที่ทุกคนมอบให้ วันๆ หนึ่งก็เหนื่อยจริงๆ แหละ แต่กำลังใจที่เราได้รับทำให้หายเหนื่อย มีแรงสู้ต่อ”

เช่นเดียวกับความสุขของอัพในวันนี้มาจากการได้รับกำลังใจ และการเห็นคนรอบตัวมีความสุข เมื่อทุกคนแฮปปี้ตัวเขาก็แฮปปี้ด้วย

 

……………….

ด้วยความที่นักแสดงหนุ่มอ่านหนังสือมาไม่น้อย เราจึงสนทนาถึงหนังสือที่เขาชอบว่าเป็นแนวไหน “ส่วนใหญ่เป็นแนว self-help เกี่ยวกับการพัฒนาความคิด มายด์เซ็ต ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ผมจะดึงมาทดลองใช้อย่างละนิดละหน่อย เวลาผมอ่านหนังสือจะเป็นคนมีทิฐิพอดู ถ้าหนังสือบอกให้ทำอย่างนี้สิๆ ผมไม่ทำ เหมือนบังคับกัน แต่ถ้าบอกว่าทำสิ่งนี้แล้วจะได้ผลลัพธ์นี้นะ ผมจะรู้สึกน่าสนใจ บางเล่มเราไม่เห็นด้วยกับเขา แต่เราก็เข้าใจได้ เคารพความคิดต่าง” เล่าถึงหนังสือในดวงใจหน่อยได้ไหม เราถาม “ได้ครับ” เขาตอบ และเล่าถึงสามเล่มในดวงใจ ดังนี้

  • Tuesdays with Morrie วันอังคารแห่งความทรงจำกับครูมอร์รี

เขียนโดย Mitch Albom

ยังไม่มีเรื่องไหนมาแทนที่ได้ เป็นนิยายเล่มเดียวที่ชอบ อ่านเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ  ผมอ่านมา 5-6 รอบแล้ว แต่ไม่อยากอ่านเยอะกว่านี้ อยากเก็บความรู้สึกประทับใจที่ได้อ่านตอนแรกไว้

  • Atomic Habits เพราะชีวิตดีได้กว่าที่เป็น

เขียนโดย James Clear

หนังสือเล่มนี้พูดถึงการสร้างพฤติกรรมเล็กๆ ไปเรื่อยๆ เขาบอกให้แต่ละวันเราพัฒนาขึ้นทีละหนึ่งเปอร์เซ็นต์ และเพียงแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์นี้สะสมจนกลายเป็นการพัฒนาแบบก้าวกระโดด ในหนังสือจะบอกเทคนิคต่างๆ ซึ่งสนุกมาก เล่มนี้แฟนคลับซื้อให้ด้วย เป็นหนังสือที่ตั้งใจว่าถ้าได้ไปร้านหนังสือจะซื้อมาอ่าน เซอร์ไพรส์มากที่แฟนคลับซื้อให้ ขอบคุณมากครับ พอได้อ่านก็สนุกจริงๆ

  • Start with Why ตั้งคำถามเพียง 1 ข้อก็พลิกจากตามขึ้นมานำ

เขียนโดย Simon Sinek

ถ้าเราเริ่มจากทำไม Why ก็จะตามมาด้วย What, How เป็นวงกลมต่อไปเรื่อยๆ แล้วจะพบคำตอบ สมมติเราอยากแต่งหน้าเก่ง ทำไมเราอยากทำสิ่งนี้ แล้วสิ่งนี้คืออะไร จนได้คำตอบ จริงๆ เป็นหนังสือแนวธุรกิจ เพราะยกเคสธุรกิจใหญ่ๆ ของเมืองนอก แต่ผมมองว่าเป็นหนังสือ self-help

………………

สุดท้ายนี้ เราถามเขาเป็นเชิงสำรวจความคิดว่า อัพเรียนรู้สิ่งต่างๆ ไปเพื่ออะไร “นั่นสิ เพราะเราอยากพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ เราเป็นคนหยุดอยู่กับที่ไม่ได้ อยากท้าทายตัวเอง แล้วก็สนุกด้วย ผมรู้สึกว่าเราเกิดมาทั้งทีก็ไม่อยากอยู่เฉยๆ การอยู่เฉยๆ ของผมคืออ่านหนังสือ อ่านข่าว หรืออ่านอะไรสักอย่าง สมองต้องทำงานตลอด ให้ดูซีรีส์เฉยๆ ก็ทำได้แต่ตั้งใจดู ให้นั่งหายใจเฉยๆ ไม่คิดอะไรก็ทำได้ แต่ทำได้แป๊บเดียว ก็ต้องหาอะไรทำแล้ว เรารู้สึกไม่อยากหยุดนิ่ง อยากเรียนรู้สิ่งต่างๆ พัฒนาตัวเอง ก้าวไปข้างหน้า ล้มบ้าง คลุกคลานบ้าง เป็นแผลบ้าง แต่เราต้องเดินต่อไปเรื่อยๆ”

 


สถานที่ถ่ายทำ:  โรงแรม Josh hotel

ที่อยู่: 19/2 ถนนพหลโยธิน อารีย์ 4 (ฝั่งเหนือ) เขตพญาไท แขวงพญาไท กรุงเทพฯ 10400

เบอร์โทรศัพท์: 0 2102 4999

Email: rsvn@joshhotel.com

ภิญญ์สินี

Writer

กองบรรณาธิการ ศิษย์เก่าเอกปรัชญาและศาสนา ชอบติดตามกระแสสังคม และเทรนด์แฟชั่น สนใจศิลปวัฒนธรรม และสีมงคล ลายนิ้วหัวแม่มือคือลายมัดหวาย

อนุชา ศรีกรการ

Photographer

ช่างภาพที่เกิดวันเดียวกับวันถ่ายภาพโลก เลยทำอย่างอื่นไม่เป็นแล้ว

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!