ธรรมะกับท่าน ว.วชิรเมธี

-

พระเมธีวชิโรดม หรือที่รู้จักกันในนามท่าน ว.วชิรเมธี พูดอะไรสำคัญๆ ให้เราได้ยินและต้องคิดอยู่เสมอ ปัจจุบันท่านจำพรรษาอยู่ที่ศูนย์วิปัสสนาสากล “ไร่เชิญตะวัน “ เชียงราย จังหวัดบ้านเกิดของท่านในวัย 47 ปีที่บวชเป็นพระภิกษุมาแล้ว 26 พรรษา ท่านสำเร็จการศึกษาพระปริยัติธรรมได้เปรียญธรรม 9 ประโยค และจบปริญญาโทพุทธศาสตรมหาบัณฑิต

ข้อความที่เขียนในวันนี้เก็บจากบางส่วนของบทสัมภาษณ์ท่านอาจารย์ (ธรรมะกับ ติช นัท ฮันห์) ขอยกมาเป็นเรื่องๆ โดยมีข้อมูลที่ได้ค้นคว้ามาเสริมไปด้วย ดังนี้

(1) วัดและบ้านต้องพึ่งพาอาศัยกัน คนไทยส่วนมากมักเชื่อว่าสังคมสงฆ์ (สังฆะ) และสังคมชาวบ้านแยกขาดจากกัน พระอยู่อย่างพระ ดูแลปกครองกันเอง ชาวบ้านไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวด้วยและเรื่องของชาวบ้านเช่นจะฆ่าฟันกันก็ไม่ใช่กิจของสงฆ์ ท่านอาจารย์บอกว่าเป็นความเข้าใจที่ผิดมาก แท้จริงแล้วชาวบ้านต้องตรวจสอบพระให้อยู่ในวินัยและมีวัตรปฏิบัติที่งดงาม เพราะปัจจัยสี่ที่พระได้รับล้วนมาจากชาวบ้าน สังฆะอยู่โดดๆ ไม่ได้ เมื่อเห็นว่าสังคมมีปัญหา น้ำท่วมหรือโรคระบาด พระสงฆ์ต้องเข้าไปช่วยเหลือด้วย สำนวน “บ้านอวยทาน วัดอวยธรรม” หมายถึงการพึ่งพาอาศัยกัน หากสังฆะอยู่อย่างโดดเดี่ยว หรือสังคมไทยต้องการให้เป็นอย่างนั้นแล้ว ต่อไปสังฆะจะเป็นสถาบันที่ขาดพลังทางศีลธรรม และไร้ประโยชน์ ทุกฝ่ายต้องช่วยกันทำให้ “สังฆะต้องเพื่อสังคม” เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคมเราอย่างแท้จริง

(2) การมีสติ หมายถึงการตระหนักถึงทุกสิ่งที่เราทำอยู่ตลอดเวลา สติคือความระลึกได้ นึกได้ ความไม่เผลอ การคุมใจไว้กับกิจหรือคุมจิตไว้กับสิ่งที่เกี่ยวข้อง การมีสติทำให้เราตื่นตัว ตระหนักถึงความคิด การกระทำและสิ่งที่อยู่รอบตัวเราทุกขณะจิต

บางครั้งเรียกการมีสตินี้ว่า “อยู่กับปัจจุบัน” จนเกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นคำสอนที่ไม่ให้คำนึงถึงอดีตและอนาคต ศิษย์หลายคนจึงสงสัยว่าแล้วจะประกอบธุรกิจหรืออาชีพกันอย่างไรเพราะต้องตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงในอนาคตอยู่เสมอ ท่านอาจารย์บอกว่าการอยู่กับปัจจุบันนั้นมิได้หมายถึงการห้ามนึกถึงอดีตและอนาคต การอยู่กับปัจจุบันหมายถึงการนึกถึงอดีตและอนาคตอย่างมีสติ ตราบใดที่มีสติ การคำนึงถึงอนาคตก็จะเป็นไปอย่างรอบคอบ อย่างไม่เผอเรอ ส่วนการมีสติกับอดีตนั้นก็จะทำให้ไม่จมปลักอยู่กับความคิดหรือความรู้สึกจนวนเวียนติดอยู่กับอดีต แต่พิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วอย่างมีสติ และเลือกเอามาเป็นบทเรียน

การมีสติเกิดขึ้นได้จากการฝึกฝนปฏิบัติ ควบคุมกำหนดและพิจารณาลมหายใจจนเกิดเป็นสมาธิซึ่งการทำสมาธิ นั้นเป็นการเชื่อมต่อระหว่างร่างกายกับจิต เมื่อเกิดสมาธิก็มีสติ สามารถจัดการอารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความโกรธ

ความเกลียด ความอิจฉาริษยา ความขัดแย้ง การมีอคติ ฯลฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอยู่ในโลกได้อย่างมีความสุขและช่วยให้เกิดสันติสุขในโลก

ปัจจุบันในต่างประเทศ การทำสมาธิเพื่อให้เกิดสติ (mindfulness) เป็นที่นิยมมากของผู้บริหารและพนักงานในบริษัทใหญ่ระดับโลก มีการใช้เป็นเครื่องมือสำหรับฝึกฝนจิตของเด็กนักเรียนในหลายระดับโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา และประชาชนทั่วไปให้มีสติ

ท่านอาจารย์ ว.วชิรเมธี ได้อุทิศชีวิตของการเป็น “พระสงฆ์เต็มเวลา” โดยจัดตั้ง “สถาบันวิมุตตยาลัย” เพื่อเป็นสถาบันการศึกษาทางเลือกในการเผยแพร่พระพุทธศาสนาเชิงประยุกต์ควบคู่กับการพัฒนาสังคมและสร้างค่านิยมแห่งสันติภาพ ต่อมาได้ก่อตั้งศูนย์วิปัสสนาสากล “ไร่เชิญตะวัน” เพื่อให้การศึกษาทางพระพุทธศาสนาแก่ชาวโลก และก่อตั้ง “มหาวิชชาลัยพุทธเศรษฐศาสตร์” เพื่อเป็นสถาบันการศึกษาทางเลือกอีกแห่งหนึ่งที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามปรัชญาพุทธเศรษฐศาสตร์

ทั้งหมดนี้ท่านอาจารย์ได้สร้างประโยชน์อย่างมหาศาลทางการศึกษาพระพุทธศาสนา รวมทั้งการพัฒนาประเทศชาติและสังคม ช่วยให้บุคคลมีความรู้และสามารถดำรงตนอยู่ในสังคมได้อย่างสันติสุข


คอลัมน์: สารบำรุงสมอง / เรื่อง: รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ

All Creative Team

Writer

ร่วมสร้างสังคมอุดมปัญญา

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!