“กาเมสุมิจฺฉาจารา เวรมณี …” เป็นศีลข้อ 3 ที่ชาวเราเชื่อกันว่าผู้ใดล่วงละเมิดศีลข้อนี้ ชาติหน้าจะต้องรับกรรมไปปีนต้นงิ้วใน “สิมพลีนรก” อย่างมิพักต้องสงสัย
“สิมพลี” แปลว่า ต้นงิ้ว ดังนั้น สิมพลีนรกจึงหมายถึงนรกต้นงิ้วนั่นเอง กระผมเคยตั้งข้อกังขาว่า ต้นงิ้วมาเกี่ยวอะไรกับการผิดศีลข้อ 3 ด้วย ในเรื่องกากี พญาครุฑขโมยเมียเพื่อนไปไว้ที่วิมานสิมพลี ซึ่งวิมานดังกล่าวก็อยู่บนต้นงิ้วที่แดนสวรรค์ฟากฟ้าป่าหิมพานต์อันไกลโพ้น ถ้าว่ากันตามกฎแห่งกรรมแล้ว พญาครุฑซึ่งตามเรื่องว่าเป็นพระโพธิสัตว์ “ประพฤติผิดในกาม” อย่างฉกาจฉกรรจ์ จะต้องได้รับผลกรรมไปปีนต้นงิ้วกับนางกากีในสิมพลีนรก พลิกดูในชาดกก็ไม่เห็นว่ามีเรื่องใดที่บอกว่า พระโพธิสัตว์ต้องไปลงนรก หรือว่าท่านได้ผ่านวิมานต้นงิ้วเมืองสวรรค์มาแล้ว เป็นการชดเชยไม่ต้องปีนต้นงิ้วเมืองนรกเพราะแทนกันได้กระนั้นหรือ
นรกต้นงิ้วหรือสิมพลีนรกนั้น ปรากฏอยู่ในไตรภูมิหลายฉบับ เช่น ไตรภูมิพระร่วงของพญาลิไท ที่เชื่อกันว่าเรียบเรียงขึ้นตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัย ไตรโลกวินิจฉยกถา หรือไตรภูมิฉบับหลวงซึ่งนักปราชญ์เรียบเรียงขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 ไตรภูมิทั้งสองฉบับดังกล่าวมักมีการอ้างอิงในวงวิชาการอยู่เสมอ แต่กระผมคิดว่า ชาวบ้านอย่างเราๆ เข้าไม่ถึง เพราะต้นฉบับคัมภีร์ใบลานทั้งหมดจารด้วยอักษรขอม ทั้งยังเก็บไว้ในหอพระไตรปิฎก น่าจะเป็นของลับลี้ลึกลับ ชาววัดเท่านั้นที่ได้อ่านได้ศึกษา ชาวบ้านครั้งโบราณมีสักกี่คนที่อ่านออกเขียนได้ แถมเนื้อหาในไตรภูมิยังเต็มไปด้วยศัพท์แสงชั้นสูง เพิ่งมีการปริวรรตจากอักษรขอมเป็นอักษรไทยและพิมพ์เผยแพร่เมื่อไม่นานนี้
ถ้าเป็นดังนั้น ชาวบ้านครั้งกระโน้นเอาความรู้เรื่องนรกสวรรค์จากไหนมาเล่าสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น เช่น เรื่องยมทูต กระทะทองแดง อีกาปากเหล็ก ปีนต้นงิ้ว เป็นต้น กระผมเข้าใจว่าเรื่องเหล่านี้มาจากการที่พระเทศน์หรือสวดให้ชาวบ้านฟัง และเรื่องที่ชาวบ้านคุ้นเคยมากน่าจะได้แก่ พระมาไลย ซึ่งเป็นหนังสือสวดที่แพร่หลายที่สุดในภาคกลาง ใช้สวดทั้งในงานมงคลและอวมงคล
กลับมาว่ากันต่อถึงผลกรรมที่ผู้ผิดศีลข้อ 3 เมื่อต้องไปชดใช้ในสิมพลีนรกคือ “ปีนต้นงิ้ว” เล่าขานกันมาว่า ต้นงิ้วเมืองนรกนั้นสูงต้นละโยชน์หรือประมาณ 16 กิโลเมตร แต่ละต้นมีหนามแหลม ยาวหนามละ 16 องคุลี หรือประมาณฟุตกว่า น่าจะใช้ป่ายปีนขึ้นไปได้ไม่ลำบากนัก แต่ว่าหนามนั้นคมเป็นกรด สัตว์นรกต้องปีนป่ายตั้งแต่โคนต้นจนถึงปลายยอด มีนายนิรยบาลถือหอกที่ควบคุมโดยระบบจิตสัมผัสจึงสั้นยาวได้ตามใจปรารถนา คอยทิ่มแทงบังคับให้ปีนขึ้นไป หอกจะค่อยๆ ยาวถึงตัวสัตว์พอดิบพอดี ระยะเหมาะมือที่นายนิริยบาลจะแทง สิมพลีนรกนี้ในพระมาไลยกลอนสวดท่านบรรยายว่า
ผู้ใดใครทั้งหลาย เปนผู้ชายอันโสภา
มักมากด้วยตัณหา อันมากล้นพ้นประมาณ
เมียท่านหน้าแช่มช้อย หน้าแน่งน้อยงามนงคราญ
ใจร้ายไปเบียนผลาญ ยุยงเอาด้วยเล่ห์กล
ผู้นั้นครั้นไปล่ปลิด สิ้นชีวิตจากเมืองคน
ไปขึ้นงิ้วบัดดล นไม้งิ้วกว่าพันปี
หนามงิ้วคมยิ่งกรด โดยโสฬสสิบหกองคุลี
มักเมียท่านมันว่าดี หนามงิ้วยอกทั่วทั้งตน
ความเชื่อเรื่องงิ้วนรกน่าจะฝังแน่นในกระแสสำนึกของคนไทยมานานหลายร้อยปี กวีคนสำคัญๆ เมื่อท่านเดินทางผ่านสถานที่ที่เกี่ยวกับ “งิ้ว” ก็มักประหวัดไปถึงงิ้วในสิมพลีนรก เช่น เมื่อท่านสุนทรภู่แต่งนิราศภูเขาทอง ผ่าน “บ้านงิ้ว” ซึ่งอยู่ในแขวงเมืองปทุมธานี ท่านพรรณนาว่า
งิ้วนรกสิบหกองคุลีแหลม ดังขวากแซมเสี้ยมแซกแตกไสว
ใครทำชู้คู่ท่านครั้นบรรลัย ก็ต้องไปปีนต้นน่าขนพอง
เราเกิดมาอายุเพียงนี้แล้ว ยังคลาดแคล้วครองตัวไม่มัวหมอง
ทุกวันนี้วิปริตผิดทำนอง เจียนจะต้องปีนบ้างหรืออย่างไร
พิจารณาจากตอนท้ายของกลอน ชะรอยว่าท่านสุนทรภู่คงจะ “ผิดทำนอง” ในวัยชรา จนอาจต้องปีนต้นงิ้ว เท็จจริงอย่างไรเป็นเรื่องของกวี
ต่อมาเมื่อหลวงจักรปาณี หรือมหาฤกษ์ กวีฝีปากคมแต่งนิราศพระปฐม คราวไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ช่วงต้นรัชกาลที่ 5 เดินทางด้วยเรือไปตามลำคลองมหาสวัสดิ์ ถึงบ้านงิ้วรายท่านบรรยายความในใจที่อาจจะต้องเผชิญงิ้วนรกว่า
ถึงงิ้วรายหมายงิ้วที่งอกหนาม ไม่ฦๅนามฟุ้งเฟื่องเหมือนเมืองผี
งิ้วนรกสิบหกองคุลี คมเหมือนตรีกรดกริบระริบริ้ว
ใครสร้างกรรมทำชู้ด้วยคู่เขา ให้ร้อนเร่าร้างโรยอยู่โหยหิว
ครั้นชีวันบรรลัยก็ไปล่ปลิว ไปขึ้นงิ้วยมบาลประหารแทง
น่าพรึงกลัวตัวฉันให้พรั่นจิต แต่นั่งชิดเมียใครยังใจแสยง
ทุกวันนี้ดูใครเขาไม่ระแวง กลับพลิกแพลงพูดเล่นเย็นเย็นใจ
ว่าเมียเขาเรารักทำควักค้อน ขึ้นงิ้วอ่อนมือตีนปีนไม่ไหว
แม้สมัครรักเราไม่เป็นไร จะปีนได้ทุกวันไม่ครั่นคร้าม
ด้วยหนามงิ้วเดี๋ยวนี้ไม่มีมาก เราคอยถากอยู่ทุกวันอย่าหวั่นหวาม
จะทำบุญเสียด้วยขวานตระหง่านงาม ไปถากหนามงิ้วบาดให้ขาดระยำ
ยมบาลนั้นเหนอเกลอกับพี่ เธอปรานีว่าจะชุบอุปถัมภ์
ถ้าแม้นหญิงยิงยอมให้คร่อมทำ ที่บาปกรรมนั้นไม่มีดีสุดใจ
มหาฤกษ์ท่านบวชหลายพรรษาจนได้เป็นมหาเปรียญ รู้วิธีแก้เผ็ดยมบาล ถึงขั้นจะล้างผลาญงิ้วนรกด้วยกุศโลบายอันแยบยล นั่นเป็นอารมณ์ขันของกวีนะครับ
คอลัมน์: ตะลุยแดนวรรณคดี
เรื่อง: บุญเตือน ศรีวรพจน์