“ตัวตนของลุงติ๊กสเกลคือจะสร้างสิ่งที่หายไปแล้ว อย่างสลัม ตู้กับข้าว โรงเรียนเก่าๆ บ้านไม้ผุพัง บ้านริมน้ำ มองแล้วรู้เลยว่านี่คือประเทศไทย” ‘ลุงติ๊กสเกล’ ฉายาของ ส.ท.พงศ์กาณฑ์ โกมลกนก อดีตรปภ.แบงค์ชาติ แม้จะจบศิลปะ แต่ตลอด 25 ปี ที่ไม่เคยได้แตะงานศิลป์จริงจัง ความรักศิลปะก็ยังกรุ่นอยู่ในใจ จนวันนี้ ความรักนั้นกลายเป็นพลังสร้างสรรค์ผลงานซึ่งนานาชาติล้วนยอมรับนับถือ ในโลกที่ทุกคนขยายภาพด้วยปลายนิ้วบนหน้าจอต่างๆ ชายคนนี้กลับสวนทาง โดยการย่อหดสิ่งที่เห็นด้วยปลายนิ้วเรื่องราวเริ่มต้น
เพราะต้องการเคลียร์หนี้สินก้อนใหญ่ที่มีโดยไม่เป็นภาระแก่ลูกหลาน ลุงติ๊กจึงตัดสินใจออกจากงานก่อนกำหนดเพื่อนำเงินมาใช้หนี้ทั้งหมด เหลือเพียงเงินน้อยนิดติดกระเป๋า เมื่อทำธุรกิจตามกระแส กิจการก็ไม่อาจยั่งยืนอยู่ได้ ลูกชายเลยเสนอให้ลองทำฉากประกอบสำหรับคนเล่นรถจำลอง ไปปล่อยขายในเพจคนสะสมของพวกนี้ งานชิ้นแรกขายได้ราคา 280 บาท ครั้งนั้นก็เกิดความกังวลระคนดีใจว่างานไม่ยั่งยืนอีกแน่ เพราะคนซื้อมีกลุ่มเดียวเท่านั้น แต่ลุงติ๊กก็ยังคงทำงานนี้ต่อไปด้วยใจรัก จนผลงานมีราคาสูงขึ้น มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ฐานลูกค้ากว้างขวางมากมาย
ทว่านานวันความสุขกลับจางหาย ทั้งที่ยังรักในศิลปะ แต่ต้องนั่งขลุกอยู่กับโต๊ะทำงานเช้ายันค่ำ จนลืมวันลืมคืน ไม่มีเพื่อนร่วมงาน เกิดความกดดันมากขึ้น
“ช่วงแรกผมเป็นพ่อค้าเกินไป คิดแต่เรื่องเงินเรื่องทอง จนคุยกับลูกว่าไม่อยากเป็นพ่อค้าแล้ว อยากเป็นศิลปิน สร้างผลงานให้คนได้เห็นมากกว่า อยากเปลี่ยนบทบาทละ”
ลูกชายจึงเสนอเปิดสอนการทำโมเดล และเป็นอีกครั้งเช่นกันที่ลุงติ๊กวิตกกังวล เนื่องจากตนเองไม่ได้จบครูเพื่อมาสอน มีเพียงวิธีปฏิบัติจริงเท่านั้น ทว่าความกล้าก็มีมากกว่าความกลัว เกิดเสียงตอบรับมากมายจนถึงตอนนี้มีลูกศิษย์เกือบ 70 รุ่นซึ่งผ่านการฝึกปรือจากครูที่ชื่อลุงติ๊กสเกล ปัจจุบันนี้ ลุงติ๊กได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่อำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง เพื่อตั้งใจสร้างแกลเลอรี่ เป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัด ให้ความรู้เกี่ยวกับการทำโมเดลต่อไป
“ทุกคนเป็นเหมือนกันหมด ทำอะไรก็กลัวนั่นนี่ วัยด้วยอีก อุปสรรคสำคัญที่สุดคือคนรอบข้างตัวเอง เพื่อนบอกอย่าทำเลย คนอื่นทำเจ๊งมาแล้ว อายุปูนนี้จะไปสู้เด็กได้ไง แต่ผมมองว่างานทำมือพวกนี้เป็นงานศิลปะ มันมีอารมณ์ของงานที่เป็นลักษณะเฉพาะของแต่ละคน” ลุงติ๊กยังตั้งเป้าหมายใหม่ แต่เดิมมีเป้าหมายแค่เลี้ยงดูครอบครัว พอมีชื่อเสียงก็ตั้งเป้าเพิ่มอีกว่าจะเผยแพร่งานนี้ให้คนไทยได้รู้จักมากขึ้น อย่างเช่นที่ต่างประเทศ ชื่อลุงติ๊กสเกลดังกว่าที่ไทยเสียอีกสร้างเส้นทางสานต่อไม่จบสิ้น
“ผมโดนตำหนิว่าทำให้พวกเขาขายฉากไม่ได้ เพราะคนที่สนใจ พอมาเรียนกับผมแล้วทำฉากเองได้ ผมอยากให้มองว่ามีบ่อเล็กบ่อเดียว ปลาเยอะแยะจริง แต่พวกคุณตกปลากินกันไปสักวันปลาก็หมด ผมขุดบ่อใหญ่ขึ้น ปล่อยปลาลงไปมากขึ้น ก็กินปลากันไม่หมด ทุกวันนี้ตลาดกว้างขึ้น ผมส่งงานให้ลูกศิษย์ตลอด เพราะรู้ว่าลูกศิษย์คนใดมีสไตล์แบบไหน บางคนหาเงินลำบาก เก็บเงินอยู่นานเพื่อจะมาเรียนกับผม ตอนนี้เขามีชื่อเสียงในกลุ่ม วันหนึ่งเขาจูงลูกอายุห้าขวบถือพิซซ่ามาหา เด็กนั้นไม่เคยได้กินพิซซ่ามาก่อน เราสุขใจแล้วว่าไม่ได้สร้างอาชีพให้คนคนเดียว แต่สร้างให้ครอบครัวเขาด้วย แล้วเขาถ่ายรูปพาพ่อแม่ไปกินอาหารนอกบ้านมื้อแรกในชีวิต คือข้าวเหนียวส้มตำร้านข้างทาง มันสะเทือนใจนะ คิดว่าเราต้องสร้างแบบนี้ต่อไปให้ได้ ให้พวกเขาได้มีอาชีพกัน ไม่อยากให้หมดแค่ที่ผม แล้วถ้าวันหน้าไม่มีผมแล้ว ลูกศิษย์ก็ยังไปต่อได้”
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ลูกเป็นคนจุดประเด็นเติมไฟให้หลายครั้ง ลุงติ๊กจึงเสริมถึงสิ่งนี้ว่าผู้ใหญ่หลายคนยังทำใจยอมรับไม่ได้ “คนแก่มักเชื่อในตัวเองว่ามีประสบการณ์มากกว่า เลยไม่ค่อยฟังความคิดเห็นของเด็ก ตัวผมมีชื่อเสียงในตอนนี้เพราะลูกหลานช่วยทำการตลาดให้คนรู้จักมากขึ้น อยากให้คิดว่าเราเรียนรู้จากเขา แต่ประสบการณ์เขาเรียนรู้จากเรา อย่างเรื่องการดูคน เราเท่าทันกว่า พบกันครึ่งทาง”ผู้สูงวัยกับเซฟโซน
ท้ายนี้ลุงติ๊กฝากถึงทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุที่เกษียณแล้วเอาแต่นั่งนอนดูทีวีว่า สองสามอาทิตย์แรกอาจรู้สึกดีที่ได้พักผ่อน แล้วหลังจากนั้นจะกลายเป็นความเครียดหดหู่ เมื่อก่อนเคยหาเงินเข้าบ้าน แต่พออยู่ว่างๆ ก็รู้สึกไม่มีคุณค่าจนอาจกลายเป็นซึมเศร้าได้
“พวกคุณมีศักยภาพอยู่แล้ว แค่หาตัวตนให้เจอ สมมติคุณเก่งงานไม้ ก็ลองหาไม้มาทำของตกแต่งเล่นดู ผมชอบงานศิลปะ แต่ไม่เคยหยิบมาเลยตลอดสี่สิบปี ระยะเวลาที่ผ่านมาเราทำทุกอย่าง ทั้งสิ่งที่ชอบและไม่ชอบเพื่อแลกกับเงินหาเลี้ยงครอบครัว พอเกษียณมาเรามีเวลาทำสิ่งที่อยากทำ สิ่งที่ตัวเองรัก มันจึงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด เราต้องสร้างโอกาสให้ตัวเอง ต้องยอมรับเผื่อใจว่าอาจล้มเหลว ถ้าล้มแล้วให้รีบลุก ถ้ามัวแต่กลัวก็จะทำอะไรไม่สำเร็จ ผมล้มเหลวมาเยอะ มันเป็นประสบการณ์และบทเรียนให้ได้รู้ คนสูงวัยมีสมอง มีประสบการณ์มากมายมาใช้กับอาชีพใหม่ได้ ขอให้เป็นงานที่ตัวเองรัก ขอให้มีความสุข ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ แล้วการได้เคลื่อนไหว พูดคุย มีเพื่อนฝูง ได้ใช้สมองตลอดเวลา อายุก็จะยืนยาว”
เครดิต
www.facebook.com/tikscale/
คอลัมน์ ยุทธจักร ฅ.ฅน / เรื่อง มาศวดี ถนอมพงษ์พันธ์ ภาพ ลุงติ๊ก