ถ้ำมองหมายถึงการเล็ดลอดสอดดูสิ่งที่เขาปกปิดมิดเม้นไม่อยากให้คนอื่นเห็น โดยที่ผู้จ้องซุกซ่อนอยู่ในที่ลับเร้นมองลอดช่องร่องรูพิศเพ่งอย่างใจจดใจจ่อ พฤติการณ์ดังกล่าวผิดกฎหมายเข้าข่ายอนาจาร เป็นที่น่ารังเกียจ
แหล่งข่าวเล่าว่า ภาพมิดเม้นอันเป็นที่นิยมของชาวถ้ำมองคือภาพสาวๆ อาบน้ำ บ่อยครั้งที่สาวเจ้าเฝ้าสังเกตจนจับได้คาหนังคาเขาถึงต้องขึ้นโรงขึ้นศาล บางรายสาวเจ้าเอาลวดแยงรูสวนออกมาถึงตาบอดก็เคยมี
ก็แลการที่ชาวชายพิสดารแอบดูสาวอาบน้ำนั้นใช่ว่าจะมีแต่ในยุคปัจจุบัน ครั้งโบร่ำโบราณก็เคยมีมาแล้ว สาวๆ ครั้งกระโน้นอาบน้ำกันในคลองในแม่น้ำ ช่วงแดดร่มลมตก ได้เวลาก็ลงท่าเป็นหมู่เป็นกลุ่มพร้อมเพื่อนฝูง ผู้ลากมากดีมีบ่าวไพร่ ก็พาบ่าวไพร่เล่นน้ำกันเป็นที่สำราญบานใจ ผ่อนคลายจากการงานที่คร่ำเคร่งมาตลอดวัน บรรดาหนุ่มๆ ใครหมายตาสาวคนใดไว้ก็มักหาโอกาสแอบดูสาวเจ้าบันเทิงเริงเล่นปลุกใจเสือป่าให้คึกคักไปด้วย
เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ยอดของวรรณคดีคำกลอนสะท้อนวิถีไทยยุคปลายอยุธยาถึงต้นรัตนโกสินทร์ นางเอกของเรื่องคือพิมพิลาไลย สาวงามเชื้อสายผู้ดีชาวเมืองสุพรรณฯ กล่าวฝ่ายขุนช้างทายาทเศรษฐีละแวกบ้านย่านเดียวกัน หลงรักนางพิมอ้อนวอนให้แม่ไปขอ แต่แม่ไม่ยอมตามใจ ขุนช้างรู้ว่าเวลาบ่ายแก่ๆ นางพิมมักจะลงมาอาบน้ำที่ท่ากับบ่าวไพร่ ขุนช้างกับบ่าวไพร่ของตนจึงไปแอบซุ่มที่พุ่มไม้ใกล้ๆ หมายว่าจะ “ถ้ำมอง” ให้เต็มตา
ครั้นถึงท่าน้ำนางพิมอาบ ผินหน้ากระซิบกระซาบกับบ่าวไพร่
ให้แอบพุ่มซุ่มดูอยู่แต่ไกล เขามาใกล้อย่าให้เขาเห็นตัว
ขุนช้างแอบซุ้มพุ่มชิงชี่ ฉวยผ้าสานคลี่ขึ้นพันหัว
คอยพิมหน้ากริ่มเป็นใบบัว ยิ้มหัวเบิกบานสำราญใจ
ขุนช้างซุ่มรอเวลาอยู่ที่พุ่มต้นชิงชี่ ครั้นถึงเวลานางพิม สายทองพี่เลี้ยงพร้อมบ่าวไพร่ก็พากันไปยังท่าน้ำ สาวไทยสมัยโบราณนุ่งผ้าโจงกระเบน ยังไม่มีวัฒนธรรมชุดชั้นใน เมื่อจะลงอาบน้ำก็ต้องเปลี่ยนจากโจงกระเบนเป็นผ้าถุงนุ่งกระโจมอก
ตะวันบ่ายชายแสงอโณทัย ก็ลงไปอาบน้ำด้วยทันที
พร้อมด้วยข้าไทอยู่ก่ายกอง กับนางสายทองผู้เป็นพี่
ถึงท่าผลัดผ้าด้วยยินดี ลงน้ำแล้วก็สีซึ่งเหงื่อไคล
บทเสภาขุนช้างขุนแผนแม้จะเป็นวรรณคดีแสดงวิถีชนชั้นกลาง แต่ก็แบ่งแยกชนชั้นไว้ชัดเจนตั้งแต่ชื่อบุคคลต่างๆ ในเรื่อง ชื่อของชนชั้นกลางมักเพราะพริ้งมีหลายพยางค์ เช่น พิมพิลาไลย, สายทอง, สร้อยฟ้า, ศรีมาลา เป็นต้น ส่วนชื่อของบ่าวไพร่ ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะเป็นทาส เพราะในบทเสภาระบุว่า บ่าวคนหนึ่งของนางพิม “ค่าตัวชั่งหนึ่งอีคนนี้” บ่าวที่ไปลงท่าอาบน้ำพร้อมกับนางพิมคราวนั้นมีหลายคน แต่ละนางมีชื่อหาไพเราะไม่ มิหนำยังมีคำนำหน้าว่า “อี” อีกต่างหาก คือ อีมา, อีมี, อีสีเสียด, อีเขียด, อีรัก, อีโคก, อีปูแสม เป็นต้น ขุนช้างไปแอบดูนางพิมอาบน้ำกับอ้ายโห้งบ่าวคนสนิท ได้เห็นบ่าวไพร่ของนางพิมเล่นซ่อนหากันสนุกสนาน
อีมาอีมีอีสีเสียด อีเขียดชักชวนกันเล่นไล่
ใครจะซ่อนใครจะหาก็ว่าไป เปรียบหนีเปรียบไล่ให้อยู่โยง
ปะเปิงเริงแมวแอวออก นอกซ่อนนางจันกะโต้งโห่ง
จำเพาะที่อีโคกโยกโก้งโค้ง กระโดดโผงลงน้ำดำผุดไป
อีมาอีมีอีสีเสียด อีเขียดดำหนีอีโคกไล่
อีรักหนักท้องไม่ว่องไว อีโคกกระโชกใกล้เข้าทุกที
จากบท อีรักมีรูปร่าง “ราวกับตะโพนโผนลงน้ำ” เป็นที่หมายตาของไอ้โห้ง อีโคกไล่ปล้ำอีรักจนผ้าผ่อนหลุดลุ่ยเป็นที่ถูกใจไอ้โห้ง
อีโคกกระโชกไล่อีรัก ฉวยขาคว้าชักเอาชายผ้า
จมน้ำดำฟอดกอดกันคา ผุดขึ้นมาตาเหลือกเสือกซวนไป
อีรักสำลักน้ำท่วมปาก รากน้ำออกมาสักชามใหญ่
ร้องด่าว่าอุบาทว์จะขาดใจ นอนไถลผ้านุ่งไม่ติดตัว
อ้ายโห้งโก้งโค้งขึ้นตบมือ อออืออุแหม่แม่ทูนหัว
ราวกับปากปลาม้าดูน่ากลัว สั่นรัวหน้าแหงนชักแอ่นไป
ฝ่ายนางพิมได้เห็นภาพพิสดารของบ่าวในสังกัดก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่ ขำจนผ้ากระโจมอกหลุด
สายทองนางพิมอยู่ริมตลิ่ง หัวเราะล้มกลิ้งไม่ลุกได้
ขุนช้างทะยานงุ่นง่านใจ ผ้านางพิมไพล่จากรักแร้
ขุนช้างเห็นนมกลมตละปั้น มือคั้นหน้าแข้งยืนแยงแย่
โคลงตัวคลุกคลุกเหมือนตุ๊กแก อีแม่เอ๋ยวันนี้นี่กูตาย
นั่นเป็นการแอบพุ่มไม้ถ้ำมองสาวอาบน้ำ เมื่อสามร้อยปีมาแล้ว ถ้าเป็นวันนี้ขุนช้างคงใช้โทรศัพท์มือถือบันทึกภาพช็อตเด็ดส่งไปให้พลายแก้วเกลอเก่าดูอย่างมิพักต้องสงสัย
คอลัมน์: ตะลุยแดนวรรณคดี
เรื่อง: บุญเตือน ศรีวรพจน์
ภาพ: ขวัญญาณี ศิรธนอนันต์