ถ้าเราโยนหินก้อนหนึ่งลงบนพื้นหิน จะเกิดเสียงดังเมื่อหินกระแทกหิน อาจปรากฏรอยบิ่นบนหินและพื้นหิน
ถ้าเราโยนหินก้อนเดียวกันลงบนพื้นทราย พื้นทรายจะยุบลงไป หินจะคาอยู่ตรงนั้น
ถ้าเราโยนหินก้อนนั้นลงบนพื้นหญ้า ใบหญ้าส่วนที่ถูกหินกระทบอาจบอบช้ำ ใบฉีกขาด หินก็คาอยู่บนหญ้า หญ้าส่วนที่ถูกหินทับก็จะค่อยๆ เหลืองตายไป
ถ้าเราโยนหินลงในหนองน้ำตื้นๆ จอกแหนที่ถูกหินกระทบอาจเสียหายบ้าง หินก็จมลงก้นบ่อ
ถ้าเราโยนหินลงในทะเลหรือมหาสมุทร จะไม่ปรากฏการกระแทก น้ำทะเลไม่บุบสลาย หินก็ถูกมหาสมุทรกลืนหายไป ไร้ตัวตนของหินอีกต่อไป
หินก็คือคำผรุสวาท วาจาวิพากษ์เชิงลบ คำเหล่านี้พุ่งใส่เราเหมือนขว้างด้วยก้อนหิน ผลของการกระทบขึ้นกับว่าใจของเราเป็นพื้นหิน พื้นทราย พื้นหญ้า หนองน้ำ หรือมหาสมุทร
หากใจของเราเป็นพื้นหิน หินก็ชนหิน ใจเราหนีไม่พ้นที่จะบาดเจ็บ โกรธแค้น ระอุอยู่ในใจไปนาน
หากใจเราเป็นพื้นหญ้า แรงกระทบก็อ่อนลง แต่ก็ยังมีร่องรอยของความเสียหาย เพราะเรายังต้องข่มจิตไม่ให้โมโห
หากทำใจเป็นมหาสมุทร ก็จะไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับหินที่โยนใส่ ท้ายที่สุด ใจของเราก็กลืนหินไปหมด หินไร้ตัวตน ไร้ความสำคัญโดยสิ้นเชิง
วาจาผรุสวาททั้งหลายที่มากระทบเราก็หายไปในมหาสมุทรกว้างใหญ่ น้ำไม่ออกแรงต้านทาน แต่กลบกลืนมันไป
นานมาแล้ว ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช พูดถึงคนที่ชอบด่าคนอื่นแบบหมาเห่าใบตองแห้งว่า เหมือนหมาเยี่ยวรดภูเขาทอง ความหมายคือ การถูกเยี่ยวรดเป็นเรื่องธรรมดา และหากทำใจมั่นคงดั่งภูเขา ปฏิกูลหมาก็ทำอะไรเราไม่ได้
แต่การปล่อยวางแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่พระก็เถอะ ต้องฝึกอุเบกขาต่อเนื่อง
อย่าว่าแต่เราเลย แม้แต่พระพุทธเจ้า ยังถูกมารผจญ
เล่ากันว่าในสมัยพุทธกาล สตรีนางหนึ่งนามจิญจมาณวิกา นับถือลัทธิเดียรถีย์ มีเจตนาทำลายพระพุทธเจ้า นางป้วนเปี้ยนเข้าๆ ออกๆ อยู่แถววัดเชตวัน ที่อาศัยของพระพุทธองค์ สร้างภาพให้ชาวบ้านเข้าใจผิดว่านางค้างคืนในวัด ผ่านไป 8-9 เดือนก็ผูกไม้กลมที่ท้อง แลดูเหมือนตั้งครรภ์ ป่าวประกาศใส่ความพระพุทธเจ้าว่าเป็นต้นเหตุ แต่ความแตกและนางจิญจมาณวิกาถูกแผ่นดินสูบ
มารผจญอีกคนหนึ่งคือนางสุนทรีปริพาชิกา นักบวชหญิงเดียรถีย์ ผู้อยากทำลายพุทธศาสนา ได้รับจ้างวานจากอัญเดียรถีย์ ให้ไปเตร่แถวที่ประทับของพระพุทธเจ้าบ่อยๆ หลังจากนั้น อัญเดียรถีย์ก็ฆ่านางเสีย หมกศพใกล้วัด แล้วใส่ความว่าเป็นฝีมือของพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ผลคือชาวบ้านด่าพระสงฆ์ แต่พระพุทธองค์ทรงสอนให้พระไม่โต้กลับ
ไม่นานทางการก็สืบรู้ว่าคนฆ่าเป็นพวกนักบวชเดียรถีย์ เรื่องก็จบ
พระเซนญี่ปุ่น ฮาคุอิน เอคาขุ ก็หนีไม่พ้นชะตากรรมของการใส่ความลักษณะนี้ วันดีคืนดีหญิงสาวในหมู่บ้านตั้งท้องขึ้นมา แล้วบอกว่าเป็นอาจารย์ฮาคุอิน อาจารย์ก็ไม่ว่าอะไร รอจนความจริงเผยออกมาว่าเป็นหนุ่มคนหนึ่งในหมู่บ้านทำท้อง
ดูเหมือนว่ายิ่งอยู่ที่สูง ยิ่งตกเป็นเป้าของการทำลาย
บทกวีโบราณจึงสอนว่า
อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ
ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน
แม้องค์ปฏิมายังราคิน
คนเดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา
หากพระอริยะยังถูกกระทำขนาดนี้ เราชาวบ้านธรรมดาก็ไม่ต้องกลุ้มใจที่โดน “ก้อนหิน”
อย่างไรก็ตาม ในทางพุทธ “ก้อนหิน” ไม่ได้มีแค่คำด่าทอ แต่รวมคำสรรเสริญยินดีด้วย
การหลงใหลได้ปลื้มใน “ก้อนหิน” แห่งสรรเสริญยินดีก็อาจเป็นเรื่องไม่ดีชนิดหนึ่ง
ไม่ว่าเรื่องระคายหูหรือรื่นหู ก็ควรเฝ้ามองมัน ไม่เกิดการปรุงแต่งในจิตจนเกิดทุกข์หรือสุขเกินไป
คอลัมน์ ลมหายใจ
เรื่องและภาพ: วินทร์ เลียววาริณ
winbookclub.com
เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/winlyovarin/