เสาหลักของโลกการลงทุน

-

เสาหลักของโลกการลงทุน

ถึงแม้ว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งแรกจะก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1611
หากแต่ในช่วงต้นของการซื้อขายหลักทรัพย์ หุ้นก็ไม่ต่างจากการพนันที่ถูกกฎหมายมากนัก
เพราะกิจการทั้งหลายล้วนมีความเสี่ยงสารพัด หลายบริษัททำสิ่งผิดกฎหมาย
การกำกับดูแลก็ไม่เข้มงวด การลงทุนก็แล้วแต่ความคาดเดา ต่อให้ทำนายถูกว่า หุ้นตัวไหนจะดี
บริษัทไหนจะรุ่งโรจน์ แต่นั่นก็ไม่อาจการันตีได้ว่า ผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนจะดี

จนกระทั่งในปี 1934 หนังสือ Security Analysis ของ เบนจามิน เกรแฮม (Benjamin
Graham) และ เดวิด ดอดด์ (David Dodd) ได้พิมพ์เผยแพร่เป็นครั้งแรก
แม้หนังสือเล่มนี้จะออกตัวว่าเป็นเรื่องราวพื้นฐานเกี่ยวกับการลงทุน
แต่ผลงานของทั้งคู่ได้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อโลกแห่งการลงทุน
เพราะนับเป็นครั้งแรกที่มีการกล่าวถึงการประเมินมูลค่าหุ้นอย่างจริงจัง และเบนจามิน เกรแฮม
ก็ได้รับการเชิดชูในภายหลังว่าเป็นบิดาแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing)

ต่อมาในปี 1949 หนังสือ The Intelligent Investor ของ เบนจามิน เกรแฮม
ก็พิมพ์เผยแพร่เป็นครั้งแรก หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยแนวทางการลงทุนแบบเน้นคุณค่า
ผู้เขียนมองว่า ทุกหลักทรัพย์มีมูลค่าพื้นฐาน หากราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน
นักลงทุนก็ควรซื้อหุ้น หากราคาตลาดสูงกว่ามูลค่าพื้นฐาน นักลงทุนก็ควรขายหุ้น
ตลาดหุ้นนั้นเปรียบเสมือนนายตลาด พ่อค้าผู้มีจิตใจหวั่นไหวไปตามอารมณ์
บางวันก็โลภจนซื้อหุ้นที่ราคาแพงเกินไป บางวันก็กลัวจนขายหุ้นที่ราคาต่ำกว่าปกติ

เบนจามิน เกรแฮม ได้เสนอหลักคิดเรื่องส่วนเผื่อของความปลอดภัย (margin of safety)
และหลักคิดดังกล่าวกลายมาเป็นหลักสำคัญด้านการลงทุน เขาได้เสนอว่า
มูลค่าพื้นฐานเป็นสิ่งที่ตรวจวัดได้ยาก ดังนั้นเมื่อลงทุน
นักลงทุนควรต่อราคาหรือมีส่วนเผื่อของความปลอดภัยให้มาก
หากเชิงสะพานติดป้ายไว้ว่ารับน้ำหนักได้สิบตัน
นักลงทุนก็ไม่ควรขับรถที่มีน้ำหนักสิบตันพอดีผ่านสะพานนั้นไป
แต่ควรจะเผื่อความไม่แน่นอนไว้ด้วย และลดน้ำหนักของรถลงอีก

เขายังได้นำเสนอวิธีการประเมินมูลค่าแบบ net-net
หรือคำนวณมูลค่าพื้นฐานกิจการโดยอ้างอิงจากสินทรัพย์ในงบการเงินเป็นหลัก
คือประเมินมูลค่าจากสินทรัพย์หมุนเวียนแล้วลบออกด้วยหนี้สินทั้งหมด
และยิ่งราคาหุ้นต่ำกว่าตัวเลขดังกล่าวได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี
นักลงทุนนิยามวิธีการลงทุนแบบนี้ว่าวิธีการลงทุนในหุ้นก้นบุหรี่ (cigar butt)
ซื้อหุ้นที่ราคาถูกเพื่อเก็บกินส่วนต่างราคาจากสินทรัพย์
เหมือนหยิบก้นบุหรี่ขึ้นมาสูดเป็นอึดใจสุดท้าย ก่อนจะเขวี้ยงทิ้งไป

ต่อมาในปี 1958 หนังสือ Common Stocks and Uncommon Profits and Other
Writings เขียนโดย ฟิลิป ฟิชเชอร์ (Philip Fisher) พิมพ์เผยแพร่เป็นครั้งแรกและกลายเป็นหนังสือระดับตำนานอีกเล่มของโลกแห่งการลงทุน
เพราะขณะที่นักลงทุนจำนวนมากในช่วงนั้นกำลังเสาะหาก้นบุหรี่ที่ตกอยู่กับพื้น แต่ฟิลิป
ฟิชเชอร์ กลับให้ความสำคัญแก่ธุรกิจซึ่งเป็นหัวใจหลักของกิจการมากกว่า
โดยนำเสนอหลักการแกะรอยกิจการ (scuttlebutt) ที่ยังได้รับความนิยมต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

เขาให้ความสำคัญแก่สินค้าและบริการของกิจการ เพราะมองว่า
หากกิจการยังขายสินค้าและบริการได้เพิ่มขึ้นทุกปี หุ้นของบริษัทย่อมมีแนวโน้มดีขึ้นด้วย
และการที่จะสามารถวิเคราะห์ได้ว่าสินค้าและบริการของบริษัทมีแนวโน้มเป็นอย่างไร
นักลงทุนก็ต้องออกไปแกะรอย เช่น สังเกตผู้บริหาร พูดคุยกับคู่ค้า ลูกค้า หรือแม้กระทั่งคู่แข่ง
เขามุ่งพิจารณาการลงทุนในแง่การดำเนินธุรกิจมากกว่าส่วนต่างระหว่างราคากับสินทรัพย์

แนวคิดดังกล่าวเปลี่ยนแปลงสังคมนักลงทุนเป็นอย่างมาก
เพราะกระตุ้นให้นักลงทุนหันมามองภาพ “ระยะยาว”
แสวงหาบริษัทที่เปรียบเสมือนเครื่องจักรผลิตเงิน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องจักรที่มีแนวโน้มจะผลิตเงินเพิ่มขึ้นทุกปีอย่างต่อเนื่อง ฟิลิป ฟิชเชอร์
เคยเสนอแนวคิดไว้ถึงขั้นว่า นักลงทุนไม่ควรขายหุ้นออกไปด้วยเหตุผลเพียงว่าราคาแพง
เพราะในอนาคต การเติบโตของกิจการอาจทำให้ราคาแพงในวันนี้กลายเป็นราคาถูกในวันหน้า
แนวคิดของ ฟิลิป ฟิชเชอร์
แตกแขนงให้การลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐานมีรูปแบบย่อยที่ได้รับความนิยมและพูดถึงมากคือการล
งทุนแบบเน้นเติบโต
การลงทุนในหุ้นเติบโตนั้นมุ่งเน้นบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตของรายได้และกำไรสุทธิดี
นักลงทุนอาจยอมซื้อหุ้นที่ราคาไม่ถูกนัก เพื่อแลกกับพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง
เมื่อพื้นฐานของกิจการดี มีการเติบโตต่อเนื่อง
นักลงทุนก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนหุ้นบ่อยเหมือนหุ้นกลุ่มก้นบุหรี่ที่เน้นสูบเป็นครั้งคราว

วอร์เร็น บัฟเฟตต์ พูดอยู่บ่อยครั้งว่า เขาเป็นนักลงทุนที่มีส่วนผสมระหว่างเบนจามิน
เกรแฮม (หลักคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่า) 85% กับฟิลิป ฟิชเชอร์
(หลักคิดการลงทุนแบบเน้นเติบโต) 15% ช่วงแรกในเส้นทางชีวิตการลงทุน
เขามุ่งลงทุนในหุ้นราคาถูกเมื่อเทียบกับวิธี net-net แต่เมื่อเวลาผ่านไป
นักลงทุนจำนวนมากก็ค้นพบว่า แนวทางการลงทุนของวอร์เร็น บัฟเฟตต์ เหมือนดูจะเปลี่ยนไป
อย่างเช่นการลงทุนในบริษัทที่มีผลกำไรเติบโตต่อเนื่อง
แต่มีราคากิจการที่ไม่ได้ต่ำกว่าสินทรัพย์สุทธิอีกแล้ว

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2013 วอร์เร็น บัฟเฟตต์
ได้เข้าร่วมประชุมกับนักศึกษาปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยแมริแลนด์
ตลอดการสัมมนามีการหยิบยกสารพันปัญหาเกี่ยวกับการลงทุน และศาสตราจารย์ เดวิด แคสส์
ได้บันทึกคำตอบของวอร์เร็น บัฟเฟตต์ เอาไว้อย่างละเอียด หนึ่งในคำถามที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ
“ในอดีตคุณบอกว่าการลงทุนของตัวเองคือส่วนผสมระหว่าง เบนจามิน เกรแฮม 85% กับฟิลิป
ฟิชเชอร์ 15% คุณคิดว่าสัดส่วนนี้ได้เปลี่ยนไปบ้างหรือเปล่า”

วอร์เร็น บัฟเฟตต์ ตอบว่า “ผมพัฒนากลยุทธ์การลงทุนตามแนวคิดของเกรแฮม
ผมได้เรียนรู้วิชาการลงทุนจากเขาที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ด้วยวิธีของเกรแฮมคุณจะไม่สูญเสียเงินต้นไป วิธีการของเขาเป็นวิธีการทางปริมาณแบบสามัญสำนึก
และคุณต้องลงมือทำตามโดยใช้เหตุผลอันหนักแน่น ทางกลับกัน
วิธีการดังกล่าวย่อมเป็นไปได้ยากเมื่อคุณต้องลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ด้วยเงินก้อนใหญ่ขึ้นตา
มลำดับ คุณควรจะซื้อธุรกิจชั้นเยี่ยมในราคาสมเหตุสมผลมากกว่าซื้อธุรกิจดาษดื่นในราคาถูก

“จากแนวคิดการลงทุนแบบก้นบุหรี่ คุณจะพบก้นบุหรี่สกปรกเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น
แต่มักมีบุหรี่เพียงมวนเดียวที่คุณพอจะหยิบขึ้นมาจุดไฟ และสูดลมหายใจเข้าไปได้อีกครั้ง
คุณจะทำแบบนั้นต่อไปก็ได้ นั่นก็เป็นวิธีที่ผมทำ ผมหาหุ้นที่ราคาถูกมากในเชิงปริมาณ
แต่หลังจากผมรู้จักฟิชเชอร์และมังเกอร์แล้ว
ผมก็เริ่มมองหาหุ้นซึ่งถึงพร้อมด้วยกิจการที่มีคุณภาพกว่า
…ผมลงทุนโดยมองหาทั้งสองอย่างควบคู่กัน”


คอลัมน์: ใดใดในโลกล้วนลงทุน เรื่อง: ‘ลงทุนศาสตร์’

All Creative Team

Writer

ร่วมสร้างสังคมอุดมปัญญา

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!