กล้าท้าอนาคต

-

กล้าท้าอนาคต

“อดีตชี้ปัจจุบัน และ ปัจจุบัน

ก็จะยืนยัน อนาคต”

            ทุกอย่างมีเหตุปัจจัย การมีปัจจุบันที่ดี ก็เพราะอดีตเคยทำดีมา

ปัจจุบันสุขภาพดี เพราะอดีตดูแลอาหารการกิน ออกกำลังกาย ไม่ใช้ร่างกายจนหนักเกินไป ก็เลยทำให้ สุขภาพปัจจุบันมันดี

ปัจจุบันมีเงินทองพอใช้ ไม่เป็นหนี้สินใคร เพราะอดีต หากิน หาเก็บ รู้จักประหยัด หาใช้จ่าย เหลืออดออมเอาไว้ แล้วเอาไปลงทุน จนมีดอกผลงอกเงยขึ้นมา วันนี้ถึงไม่มีปัญหาการเงิน

ในขณะเดียวกัน ถ้าอดีตทำไม่ดีเอาไว้ ก็ส่งผลถึง ปัจจุบันได้

เช่น ถ้าเมื่อวาน เราไปฆ่า ใครตาย วันนี้คงอยู่สบายๆ ไม่ได้ ต้องหนีคดีหัวซุก หัวซุน แน่นอน

อดีตเปลี่ยนไม่ได้ แต่อนาคต มีสิทธิกำหนดได้ เพราะเราอาจ ทำนายอนาคตด้วยการกำหนดจากปัจจุบัน

            คือคิด พูด ทำปัจจุบัน ให้มันดีที่สุด อนาคตซึ่งเป็นผลลัพธ์ของปัจจุบัน ก็มีสิทธิออกมาดี

ถ้าจะ เปลี่ยนผลลัพธ์ ก็ต้องเปลี่ยนที่วิธีการ

            ทำงานเฉื่อยชา งานก็เลยไม่ก้าวหน้า หยุดสายขาดลาบ่อย เงินเดือนก็เลยไปไม่ถึงไหน

ถ้าอยากก้าวหน้าในงาน หรือเงินเดือนได้รับการพิจารณาขึ้นมาให้ได้ ก็ควรเปลี่ยนวิธีการทำงานซะใหม่ (ถ้าวิธีการทำงานแบบนั้น คือตัวปัญหา)

เช่น เปลี่ยนการทำงานเชิงรับ คือ รอคำสั่ง รอให้ได้รับมอบหมายก่อน ถึงจะทำ สั่งก็ทำให้ ไม่สั่งก็ไม่ทำ เพราะคิดว่า ไม่สั่งแล้วจะให้ทำอะไร คิดไม่ออก

เป็น การทำงานเชิงรุก  คือนอกจากทำงานในหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมายเสร็จไป แบบไม่ขาดตกบกพร่องแล้ว

ยัง คิดงานเพิ่ม เสริมงานใหม่ ที่ทำให้ งานของตัวเองดีกว่าเก่า และทำให้ องค์กรก้าวหน้ามียอดขาย มีกำไรเพิ่มขึ้นมา หรือว่า ลดต้นทุน ได้มากมาย

คนที่ทำเช่นนี้ได้ อนาคตจะไม่ขึ้นเงินเดือน หรือไม่ก้าวหน้าได้อย่างไร

หรือ รับอาสา ทำโครงการใหญ่ หรืองานที่คนอื่น เกี่ยงที่จะทำ เพราะคิดว่า มันเป็นไปไม่ได้

ทำสิ่งที่ยากๆ ได้นั้น แจ้งเกิดได้

            ทำสิ่งที่ใครๆ ก็ทำได้ เมื่อไรจะได้เกิด

ถามว่า ถ้าทุ่มเททำให้สุดตัวสุดใจอย่างนี้ จะมีอนาคนที่ก้าวหน้า รอท่าอยู่แน่นอนไหม

คำตอบคือ มีทั้งเป็นไปได้และ อาจจะไม่ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ อย่างน้อยก็ดีกว่าทำงานไปวันๆ

            ที่บอกว่า ทุ่มเทให้ขนาดนี้แล้ว องค์กรอาจจะไม่เลื่อนขั้นขึ้นเงินเดือนให้ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วจะให้ทำอย่างไร ต่อไป

               เคยมีแฟนเพจ อินบ็อกซ์ เข้ามาถามผมว่า ทุ่มเททำงานให้บริษัททั้งกายใจ ผ่านไปหลายปี แต่ไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย ถามว่า ควรทำต่อไปหรือจะให้หยุดทำดี

ผมก็ตอบกลับไปว่า ต้องดูว่า ทุ่มเทสุดกายสุดใจนั้น มัน ตรงกับที่บริษัทเขาอยากได้ไหม ถ้าไม่ใช่ การให้นั้นอาจจะสูญเปล่า

เช่น มาทำงานก่อน แล้วกลับที่หลังคนอื่น แต่ผลงานก็ออกมาแบบสามัญธรรมดาทั่วไป ไม่มีอะไรโดดเด่น อย่างนี้ก็พูดยาก

แต่ถ้าทุ่มสุดตัวสุดใจ สร้างยอดขาย ประหยัดค่าใช้จ่าย มีไอเดียใหม่ ทำให้องค์กรพัฒนามาตลอด แต่เขายังเฉยชา มองผ่านเราไป เหมือนเห็นเสาไฟฟ้าริมทางล่ะก้อ

“ให้ทำต่อไป และทำให้ดีกว่าเดิมขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยครับ”

เพราะถ้าเราทำดีขนาดนั้นแล้ว ไม่มีใครในองค์กรนั้นเห็น วันหนึ่ง คนนอกก็อาจจะเห็นเข้าสักวันก็ได้

            คนมีแสงสว่างในตัวเอง ไม่ว่าอยู่ตรงไหน ก็จะส่องประกาย

แต่ถ้าคนในไม่เห็นค่า คนนอกไม่มองมา การที่เราพัฒนาตัวเอง ให้เก่งขึ้นทุกวัน ทั้งร่างกายความคิดและจิตใจ

วันหนึ่งที่เราออกไป สมัครงานใหม่ หรือ ออกไปทำเอง ความเก่งที่เราสะสมมา จะทำให้เรา ไปต่อได้อย่างสบาย

            เขาไม่เห็นความดีที่เราทำ ก็จงทำต่อไป ก็ขนาดทำ เขายังไม่เห็นอะไร คิดหรือว่า ถ้าเราหยุดทำแล้ว เขาจะเห็นได้อย่างไร

            ลงทุนกับตัวเอง ในปัจจุบัน ให้สุดตัวสุดใจ เพื่อท้าทายกับอนาคต ที่ยาวไกลนี้ เราอาจจะมองไม่เห็นมัน

แต่เราจะทำปัจจุบันให้ดีที่สุด


คอลัมน์: ก้าวไกลไปข้างหน้า / เรื่อง: จตุพล ชมภูนิช  ภาพ: ขวัญญาณี ศิรธนอนันต์

All magazine ตุลาคม 2565

All Creative Team

Writer

ร่วมสร้างสังคมอุดมปัญญา

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!