The Chestnut Man คดีฆาตกรรมต่อเนื่องตุ๊กตาเกาลัด

-

โฮซ่า ฮาร์ทุง เป็นรัฐมนตรีกระทรวงกิจการสังคม ประเทศเดนมาร์ค ลูกสาวคนเล็กของเธอหายตัวไปเมื่อหนึ่งปีก่อน ตำรวจจับคนร้ายได้และคนร้ายให้การว่าลักพาตัวไปฆ่าหั่นศพแต่จำที่ฝังศพไม่ได้

โฮซ่าใช้เวลาทำใจหลายเดือนและกำลังจะกลับมาปฏิบัติหน้าที่ดังเดิม แต่สามีของเธอยังมีอาการซึมเศร้าอย่างชัดเจน เขาไม่สามารถลืมอดีตแล้วดำเนินชีวิตต่อไปได้ ในส่วนลึกของหัวใจเขาได้แต่หวังลึกๆ ว่าลูกสาวอาจจะยังมีชีวิตอยู่เพราะไม่ปรากฏว่ามีใครพบศพของเธอ

และทันทีที่โฮซ่ากลับมาทำงาน ก็เกิดคดีฆาตกรรมซึ่งเป็นคดีที่สร้างความสะเทือนใจแก่ครอบครัวของเธอและกลายเป็นข่าวดังไปทั่วเดนมาร์ค เพราะเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง เหยื่อคือหญิงสาวที่จะถูกตัดแขนขาไปคนละส่วน หน่วยพิสูจน์หลักฐานพบตุ๊กตาที่ประกอบจากลูกเกาลัดกับกิ่งไม้อยู่ในที่เกิดเหตุทุกราย

คดีฆาตกรรมตุ๊กตาเกาลัดเกี่ยวข้องกับโฮซ่าหลังจากตำรวจค้นพบว่าบนตุ๊กตาเกาลัดเหล่านั้นมีลายนิ้วมือของลูกสาวของเธอซึ่งถูกลักพาตัวไปฆ่าเมื่อหนึ่งปีก่อน

ทูลิน ตำรวจหญิงฝีมือดีเป็นผู้รับผิดชอบคดีนี้ร่วมกับ มาร์ค เฮส นายตำรวจหนุ่มที่เพิ่งถูกย้ายมา ทูลินเตรียมทำเรื่องย้ายไปอยู่หน่วยงานอื่นที่ไม่ต้องแบกภาระงานอาชญากรรม ซึ่งทำให้เธอหมกมุ่นแล้วยุ่งจนไม่มีเวลาให้ลูกสาวเพราะเธอเองทำหน้าทีเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว แล้วลูกสาวของทูลินก็มักมีปัญหากับเพื่อนที่โรงเรียน ส่วนเฮสเองก็มีบุคลิกไม่เป็นมิตร ไม่ชวนให้เป็นที่รักใคร่ชอบพอของเพื่อนร่วมงาน

ลูกสาวโฮซ่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่? ใครคือคนร้ายที่ลักพาตัวลูกสาวของเธอไป? ฆาตกรคดีตุ๊กตาเกาลัดคือใคร? คดีฆาตกรรมต่อเนื่องตุ๊กตาเกาลัดเกี่ยวข้องกับการถูกลักพาตัวเมื่อหนึ่งปีก่อนอย่างไร?

คำถามเหล่านี้คือปริศนาที่คลี่คลายใน 6 ตอนของซีรี่ส์เรื่อง The Chestnut Man

The Chestnut Man เป็นของดีอีกเรื่องใน Netflix ในกลุ่มซีรี่ส์สืบสวนจากฝั่งสแกนดิเนเวีย (Scandinavian crime dramas  / Nordic noir) ซึ่งมีจังหวะเล่าเรื่องและบรรยากาศที่ต่างจากซีรี่ส์ฝั่งอเมริกันหรืออังกฤษอย่างชัดเจน ในกลุ่มนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่คุณภาพใกล้เคียงกัน อาทิเช่น

Deadwind –  ซีรี่ส์จากฟินแลนด์ สืบสวนคดีฆาตกรรมหญิงสาวที่ถูกฝังพร้อมดอกไม้, Border Town – ซีรี่ส์จากฟินแลนด์อีกเช่นกัน มีจุดเด่นตรงแคแรกเตอร์ตัวละครเอกนักสืบวัยกลางคน, Young Wallander – เล่าย้อนไปยังจุดเริ่มต้นของตำรวจสืบสวนชื่อดังจากสวีเดน ฯลฯ

บรรยากาศเย็นยะเยือกที่กลางคืนยาวนานกว่ากลางวันจนแทบไม่เห็นแสงตะวันจากแถบสแกนดิเนเวียน เช่นซีรี่ส์ในฟินแลนด์ซึ่งนิยมถ่ายภาพความอ้างว้างกลางหิมะที่ให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวชวนซึมเศร้า ร่วมกับจังหวะเล่าเรื่องที่ช้ากว่าฝั่งอเมริกันอาจทำให้คนดูถอดใจในช่วงแรก แต่หากเริ่มคุ้นเคยก็จะพบว่าเป็นเสน่ห์อีกแบบหนึ่ง

The Chestnut Man เป็นซีรี่ส์จากเดนมาร์คจึงมีจุดศูนย์กลางของเรื่องอยู่ที่โคเปนเฮเกน ซึ่งสร้างความเพลิดเพลินในการรับชมผ่านงานสถาปัตยกรรมและบ้านเมืองที่สวยงาม เดนมาร์คเคยได้รับการยกย่องเป็นประเทศที่พลเมืองมีความสุขที่สุดในโลก ส่วนโคเปนเฮเกนเองก็เพิ่งได้รางวัลเมืองที่ปลอดภัยที่สุดในโลกประจำปี 2021 จากการจัดอันดับของนิตยสาร The Economist และได้เป็นเมืองที่มีคุณภาพชีวิตดีเยี่ยมประจำปีจากการจัดอันดับของนิตยสาร Monocle

ดังนั้นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องอันสยดสยองจึงเป็นความขัดแย้งที่น่าสนใจตัดกับภาพลักษณ์ของเมืองซึ่งมีภาพจำของรอยยิ้มและความสุขของผู้คน

แก่นของคดีคือประเด็น ‘ผู้ปกครองที่ทารุณกรรมเด็ก’ กับ ‘ผู้ปกครองที่ละเลยจะช่วยเหลือ’ ซึ่งถูกตีความผ่านตัวฆาตกรผู้ตัดสินความเป็นพ่อแม่ที่ไม่ดีพอจากพฤติกรรมของพ่อซึ่งเป็นคนกระทำ หรือแม่ซึ่งอยู่ในบ้านเดียวกันแต่ไม่ปกป้องเด็กแล้วเพิกเฉยปล่อยให้เกิดการทำร้าย เขามองว่าแม่ที่เพิกเฉยก็สมควรถูกลงโทษเพื่อเด็กจะได้มีโอกาสเติบโตที่ดีกว่านี้

ประเด็นดังกล่าวน่าจะสอดคล้องกับข่าวบ้านเราเมื่อไม่นานนี้ที่มีเด็กถูกผู้ปกครองทำร้ายจนเสียชีวิต ส่วนผู้ใหญ่ในบ้านอีกคนรับรู้มาตลอดแต่กลับวางเฉย และการเพิกเฉยเช่นนี้ก็มีส่วนให้ความรุนแรงต่อเยาวชนหนักข้อขึ้นอย่างต่อเนื่องจนนำไปสู่การเสียชีวิต

ตามธรรมชาติเด็กย่อมไม่มีพลังหรืออำนาจที่จะต่อต้านทารุณกรรมของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านกายภาพ ยังไม่นับการที่พวกเขาคาดหวังความรักจากผู้ใหญ่จนนำไปสู่สภาวะยอมจำนนต่อการถูกทำร้าย ดังนั้นหากผู้ใหญ่อีกคนที่อยู่ในเหตุการณ์มีส่วนรู้เห็นทารุณกรรม หนึ่งในความรับผิดชอบพื้นฐานที่ควรทำได้คือรับรู้ก่อนว่านั่นคือความผิดและอาชญากรรม

หากกลัวหรือไม่มีอำนาจหยุดยั้งสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ควรแจ้งหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง(ตำรวจ/นักสังคมสงเคราะห์ ฯลฯ)เพื่อเข้าช่วยเหลือเด็ก เพราะการเพิกเฉยเท่ากับการมีส่วนให้อาชญากรรมดำรงอยู่

การ ‘ลงโทษของฆาตกรใน The Chestnut Man’ ดูจะเป็นการสนองความต้องการที่วิปริตทางจิตใจของบุคคลผู้ตั้งตนเป็นศาลเตี้ยและปมบาดแผลของตัวเองในวัยเด็ก พฤติกรรมของฆาตกรไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง แต่เรื่องราวในซีรี่ส์ก็สะท้อนภาพรวมที่ใหญ่กว่าการเพ่งเล็งปัญหาส่วนบุคคล นั่นคือภาพของหน่วยงานสังคมสงเคราะห์ (ในหนัง) ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาด ประสิทธิภาพการทำงานอันมีข้อจำกัดจากจำนวนบุคลากรกับปริมาณงานจนไม่สามารถปกป้องประชาชนได้อย่างครบถ้วน

ทางออกที่ควรจะเป็นเพื่อให้ปัญหาทารุณกรรมเยาวชนลดลงจึงไม่ใช่แค่สนใจเฉพาะ ‘ผู้กระทำ’ แต่ยังต้องเพิ่มความตระหนักรู้ในสังคม รวมถึงส่งเสริมช่องทางขอความช่วยเหลือเมื่อรู้เห็นปัญหาความรุนแรงในครอบครัวให้มีมากขึ้นและง่ายขึ้น สนับสนุนมาตรการของการช่วยเหลือเยาวชนของหน่วยงานรัฐให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีแนวทางปกป้องผู้ใหญ่ที่มาขอความช่วยเหลือเด็กในบ้านให้ปลอดภัย

เพราะหลายคนอาจไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับคนร้ายที่เป็นคนในบ้านเดียวกัน เพียงแต่ตรงจุดนั้นเจ้าตัวอาจกลัวว่าถ้าเข้าไปห้ามก็อาจถูกทำร้าย ผู้หญิงบางคนจำเป็นต้องพึ่งพาชายในบ้าน เลยกลัวว่าถ้าเข้าไปปกป้องเด็กก็จะถูกฝ่ายชายทอดทิ้งในขณะที่ตัวเองไม่มีศักยภาพจะเลี้ยงดูตัวเองกับลูก หรือมองไม่เห็นทางออกอื่นๆ หรืออาจเคยขอความช่วยเหลือแล้วถูกหน่วยงานรัฐเพิกเฉย นี่จึงเป็นงานที่หลายภาคส่วนต้องช่วยกัน ไม่ใช่วิชาชีพใดวิชาชีพหนึ่ง


คอลัมน์: มองโลกผ่านจอ / เรื่อง: “ผมอยู่ข้างหลังคุณ” (www.facebook.com/ibehindyou, i_behind_you@yahoo.com)

 

All Creative Team

Writer

ร่วมสร้างสังคมอุดมปัญญา

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!