ขุมทรัพย์สุดปลายฝัน เป็นผลงานแปลของ “กอบชลีและกันเกรา” แปลจากนวนิยายที่มีชื่อเสียงก้องโลกเรื่อง The Alchemist ของ เปาโล คูเอลญู (Paulo Coelho, 1947–ปัจจุบัน) นักเขียนชาวบราซิล นวนิยายเรื่องนี้ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ กว่า 80 ภาษา พิมพ์เผยแพร่แล้วกว่า 65 ล้านเล่ม นวนิยายเรื่องนี้ติดอันดับ The New York Times bestseller มาเป็นเวลา 7 ปี ติดต่อกัน
หนังสือเล่มบางนี้เล่าเรื่องเด็กหนุ่มชาวสเปนผู้ต้องการเป็นนักเดินทางมากกว่าเป็นบาทหลวงดังที่บิดาของเขาต้องการ เขาจึงเลือกเป็นเด็กเลี้ยงฝูงแกะเพื่อจะได้ออกเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ต่อมาเขาฝันถึงพีระมิดที่อียิปต์ถึง 2 ครั้ง เขาจึงปรารถนาจะเดินทางไปตามความฝัน ทั้งที่ลังเลในตอนต้นแต่ลงท้ายเขาก็เดินทางไปตาม “สัญญาณ” ที่ได้รับ แม้จะมีสิ่งขัดขวางทั้งด้านดีและร้ายจนเกือบทำให้เขาล้มเลิกความตั้งใจ แต่ในที่สุดเด็กหนุ่มก็เดินทางไปถึงจุดหมาย ระหว่างทางเขาพบขุมทรัพย์แห่งชีวิตหลายอย่างและ ณ สุดปลายฝัน เขาพบว่าขุมทรัพย์อยู่ไม่ไกลเกินตัวของเขาเลย
เรื่องย่อข้างต้นนี้คงไม่สปอยล์ผู้อ่าน เพราะสาระของเรื่องไม่ได้อยู่ที่เนื้อเรื่อง แต่อยู่ที่คำพูดของตัวละครและประสบการณ์ระหว่างการเดินทางของเด็กหนุ่มกับสรรพสิ่ง
เรามักได้ยินคำพูดจากผู้มีประสบการณ์ว่า “จงเดินไปตามความฝันของตนเอง” เพราะหลายคนมีฝันแต่ไปไม่ถึง หรือทำความฝันตกหล่นระหว่างทาง เปาโล คูเอลญู เขียนนวนิยายเรื่องนี้เมื่อเขาอายุ 41 ปีและใช้เวลาเพียง 2 สัปดาห์ก็เขียนจบ ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าความคิดเชิงปรัชญาของเปาโลในการค้นหาตัวเองได้ตกผลึกจนสามารถถ่ายทอดสู่ผู้อื่นด้วยชั้นเชิงทางวรรณศิลป์ที่แหลมคมกระแทกใจ เปาโลใช้กรอบของเรื่องเล่าถึงการเดินทางผจญภัยของตัวละครเอกซึ่งเป็นแนวนิยมแต่โบราณ การเดินทางสู่โลกกว้างทำให้เห็นศักยภาพของมนุษย์ พลังของธรรมชาติ และความเป็นหนึ่งเดียวของธรรมชาติกับสรรพสิ่ง ในขณะเดียวกันยังเป็นการเดินทางสู่ข้างในจิตใจที่ทำให้เข้าถึงและเข้าใจตัวตนอีกหลายมิติด้วย
เปาโลเชื่อมั่นว่า “มนุษย์ทุกคนมีหน้าที่เพียงหนึ่ง นั่นคือการสร้างชะตาชีวิตแห่งตน ทุกสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน และเมื่อเธอต้องการอะไรสักอย่าง ทั่วทั้งจักรวาลจะดลบันดาลให้เธอสมปรารถนา” (น.36) ประโยคนี้ถือเป็นกุญแจสำคัญเพราะแม้ว่าในหนังสือจะกล่าวถึงโชคชะตาหรือชะตาลิขิต พระหัตถ์พระเป็นเจ้า อำนาจของพ่อมด แต่แท้ที่จริงแล้วพลังเหล่านั้นเพียง “ส่งสัญญาณ” และประคับประคองให้เราบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ แต่หากเราไม่ลงมือสร้างชะตาชีวิตด้วยตัวของเราเอง ลิขิตใดก็ไร้ความหมาย พลังแห่งความมุ่งมั่นของเราจะดึงดูดให้ทุกสิ่งในจักรวาลส่งพลังมาช่วยเหลือให้เราสมปรารถนา ในทางกลับกัน หากเราท้อแท้หมดหวังขาดพลังใจ จักรวาลก็จะหันหลังให้เราด้วย
คิดถึงตัวอย่างง่าย ๆ ในปัจจุบัน พิษเศรษฐกิจและโรคโควิด-19 ทำให้มีคนตกงาน ขาดรายได้ แต่เมื่อคนตกอับคนนั้นพยายามสร้างอาชีพใหม่ตามสติปัญญาของตนเพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัวให้อยู่รอด ผู้คนที่ทราบข่าวและยังพอช่วยเหลือได้ต่างก็ช่วยกันสนับสนุนทั้งกำลังใจกำลังทรัพย์เพราะนับถือความเป็นนักสู้ชีวิตที่ไม่ยอมแพ้แก่เคราะห์กรรม
เปาโลมีความเห็นเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าว่า เราต้องอยู่กับปัจจุบันขณะ มีสติรู้ตัวในทุกสิ่งที่กระทำ เปาโลพูดผ่านปากชายขี่อูฐว่า “เวลาผมกิน ผมจะไม่คิดอะไรเลยนอกจากกิน เวลาเดิน ผมก็จดจ่อกับการเดิน หากต้องสู้ ไม่ว่าจะตายวันนี้หรือวันไหนๆ ก็ดีเหมือนกัน…เพราะผมไม่ได้อยู่ในอดีตหรือในอนาคต ผมมีเพียงปัจจุบันเท่านั้น และปัจจุบันนี่แหละที่ผมสนใจ หากคุณอยู่ในปัจจุบันได้ตลอดเวลา คุณจะเป็นคนที่มีความสุข คุณจะรู้ว่าในทะเลทรายมีชีวิต และบนท้องฟ้ามีดวงดาว และเหตุที่นักรบต่อสู้กันนั้นก็เพราะเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ชีวิตจะเป็นงานเลี้ยง เป็นเทศกาลใหญ่ เพราะชีวิตคือช่วงเวลาที่เราอยู่เดี๋ยวนี้เท่านั้น” (หน้า 92) ดังนั้นช่วงเวลาที่เราอยู่กับปัจจุบันคือช่วงเวลาที่เราได้ชื่นชมชีวิตอย่างแท้จริง ทั้งด้านดีและด้านร้าย เพราะอดีตอาจทำให้เราเสียดาย ส่วนอนาคตอาจจะทำให้เราผิดหวัง
ในระหว่างการเดินทางท่องโลก เราอาจพบสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจมากมาย แต่เราต้องไม่ลืมพันธกิจของชีวิต เคล็ดลับแห่งความสุขคือการรักษาความสมดุลนั้นไว้ เฉกเช่นเด็กเลี้ยงแกะได้เรียนรู้ว่าเขาต้องเดินชมความงามของธรรมชาติและงานศิลปะในปราสาทโดยไม่ทำน้ำมัน ๒ หยดในช้อนหล่นหายไประหว่างความรื่นรมย์นั้น (น.44) เมื่อเด็กเลี้ยงแกะโดนหลอกเอาเงินไปหมด เขาโศกเศร้าจนร้องไห้ต่อว่าพระเจ้า แต่แล้วเด็กหนุ่มก็กลับมีศรัทธาเมื่อคิดได้ว่าในความหม่นหมอง เขาพบโลกใหม่สิ่งใหม่ที่ไม่เคยพบพาน “เขารู้สึกว่าเขาอาจมองโลกอย่างเหยื่อขโมยที่น่าสงสาร หรืออย่างนักผจญภัยที่กำลังค้นหาขุมทรัพย์ก็ได้” (น.54) ดังนั้นแม้ว่าอุปสรรคเกือบทำให้เด็กเลี้ยงแกะถอดใจไม่อยากเดินทางสู่เป้าหมายปลายฝัน แต่เขาก็พบคุณค่าของตนเอง พบศักยภาพของตนในการทำสิ่งที่ไม่เคยทำ พบว่าความรักไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความฝัน เพราะความรักที่ไม่ครอบครองกลับเป็นแรงบันดาลใจที่มีพลังยิ่ง เขารู้จัก “ภาษาสากล” ที่ทำให้เขาเข้าใจอากัปกิริยาของสัตว์ เสียงลมพัด แสงอาทิตย์ที่สาดส่อง ท่าบินของนก บทสนทนาของทะเลทราย จนในที่สุดเข้าใจ “จิตของโลก” เพราะสรรพสิ่งในจักรวาลล้วนเป็นหนึ่งเดียวและพูดภาษาเดียวกัน
ผู้เขียนกล่าวถึงหลายสาเหตุที่ทำให้คนหลายคนถอดใจไปไม่ถึงฝั่งฝัน บางคนกลัวสูญเสียสิ่งดีๆ ที่มีอยู่แล้ว เช่น เมื่อเด็กเลี้ยงแกะหาเงินได้มากจนสามารถซื้อแกะฝูงใหญ่ และเขาพบคนรัก จึงคิดอยากกลับบ้านแทนการเดินทางข้ามทะเลทรายไปถึงพีระมิด หรือพ่อค้าขายเครื่องแก้วเจียระไนที่ต้องการเดินทางไปเมกกะแต่ไม่ยอมทิ้งธุรกิจการค้าที่กำลังรุ่งเรือง จึงทำได้แต่เพียงเก็บความฝันไว้หล่อเลี้ยงใจ บางคนกลัวความล้มเหลวผิดหวังซึ่งเจ็บปวดกว่าไปไม่ถึงฝัน เช่น นักเขียนชาวอังกฤษที่เขียนหนังสือถึงการเล่นแร่แปรธาตุ แต่ไม่กล้าลงมือทำเพราะกลัวความผิดหวัง หรือแม้แต่พ่อของเด็กเลี้ยงแกะก็มีความฝันที่ไปไม่ถึง เขาจึงสนับสนุนให้บุตรชายเดินทางตามฝันที่ตัวเขาไม่อาจทำได้
นวนิยายเรื่องนี้ตั้งชื่อว่า The Alchemist แปลว่านักเล่นแร่แปรธาตุ ตัวเรื่องกล่าวว่าสิ่งที่เป็นข้อค้นพบยิ่งใหญ่ของนักเล่นแร่แปรธาตุ คือ น้ำอมฤต และ ศิลานักปราชญ์ น้ำอมฤต คือ ความเป็นอมตะ เอาชนะความตายซึ่งเป็นธรรมชาติของโลก ส่วนศิลานักปราชญ์ คือ ความสามารถในการเปลี่ยนตะกั่วให้เป็นทองคำ ทั้งสองอย่างนี้คือการทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และเป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งหนึ่งไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงบอกว่า “ด้วยเหตุนี้จึงมีศาสตร์แห่งการเล่นแร่แปรธาตุ เพื่อให้แต่ละคนได้ค้นหาขุมทรัพย์ของตนเองและได้พบมัน แล้วหลังจากนั้นก็อยากเป็นคนที่ดีกว่าที่เคยเป็นมา ตะกั่วจะทำหน้าที่ของมันตราบจนโลกไม่ต้องการตะกั่วอีก หลังจากนั้นมันต้องแปรตัวเองเป็นทองคำ พวกนักเล่นแร่แปรธาตุทำสิ่งนี้ พวกเขาแสดงให้เห็นว่าเมื่อคนเราพยายามจะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเราก็จะดีขึ้นเช่นกัน” (น.152) และ “…แผ่นดินที่เราอาศัยอยู่จะดีขึ้นหรือเลวลงก็ต่อเมื่อพวกเราดีขึ้นหรือเลวลง ตอนนั้นเองที่อานุภาพของความรักเข้ามามีบทบาท เพราะเมื่อเรามีความรัก เราจะอยากดีกว่าที่เราเป็นอยู่เสมอ” (น.153)
เปาโลเรียกผลงานเรื่องนี้ของเขาว่า “นวนิยายสัญลักษณ์” ทุกสิ่งที่กล่าวถึงในเรื่องไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์แห่งซาเล็ม นักเล่นแร่แปรธาตุ พีระมิด ก้อนหินอูริมทุมมินซึ่งมีสีดำและสีขาว รวมทั้งนิทานแทรกหลายเรื่อง ล้วนสื่อความหมายให้เห็นว่าในท่ามกลางความยากลำบาก อุปสรรคที่บั่นทอนทั้งร่างกายและจิตใจ มนุษย์ต้องมีศรัทธาและความมุ่งมั่นที่จะบรรลุความใฝ่ฝันของตนด้วยตนเองเท่านั้น หมอดูยิปซีไม่อาจบอกเด็กหนุ่มถึงวิธีทำความฝันให้เป็นจริง ก้อนหินอูริมทุมมิมไม่ตอบคำถามว่าเด็กหนุ่มจะพบขุมทรัพย์หรือไม่ ทะเลทราย ลม และพระอาทิตย์ไม่สามารถแปลงร่างเด็กหนุ่มให้กลายเป็นลมตามคำขอได้ แต่แนะนำให้เขาขอจาก “มือที่ลิขิตทุกสิ่งทุกอย่าง” ดังนั้น ความใฝ่ฝันอันไม่น่าจะเป็นไปได้สามารถเป็นได้ด้วยน้ำมือของเราเอง ดังคำสนทนาระหว่างเด็กเลี้ยงแกะกับชายชรา กษัตริย์แห่งซาเล็มว่า
“เรื่องโกหกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกคืออะไรหรือ” เด็กหนุ่มถามอย่างแปลกใจ
“ก็ที่ว่าในบางช่วงชีวิตคนเราจะสูญเสียการควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองและชีวิตเริ่มถูกกำหนดโดยโชคชะตา นี่เป็นเรื่องโกหกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก” (น.32)
คอลัมน์: เชิญมาวิจารณ์
เรื่อง: ศ.ดร.รื่นฤทัย สัจจพันธุ์