เสียงบ่นเกี่ยวกับวรรณกรรมรางวัลซีไรต์แทบทุกปี คือ อ่านยาก อ่านไม่รู้เรื่อง อ่านแล้วเหนื่อย ฯลฯ รวมเรื่องสั้น คืนปีเสือและเรื่องเล่าของสัตว์อื่น ๆ ซึ่งทำให้จเด็จ กำจรเดช เป็นนักเขียนดับเบิ้ลซีไรต์คนที่ห้า ก็สร้างความรู้สึกทำนองเดียวกัน งานเขียนในลักษณะต้านโครงเรื่อง (anti-plot) มักทำให้คนอ่านจับต้นชนปลายไม่ถูก เพราะไม่ได้ดำเนินเรื่องตามขนบที่ต้องมีการผูกปมและแก้ปม ซึ่งประกอบด้วยความขัดแย้งและจุดวิกฤติอันพลิกชะตาให้ผกผันก่อนจะคลี่คลายไปสู่จุดจบเรื่อง เรื่องสั้นในหนังสือเล่มนี้อ่านรอบเดียวเอาไม่อยู่เพราะหลงเพลินไปกับเรื่องเล่าที่แทรกมาไม่ขาดระยะ
เรื่องสั้น 11 เรื่องในหนังสือเล่มนี้แทบทั้งหมดเป็นเรื่องสั้นขนาดยาวถึงยาวมาก มีทั้งเรื่องที่ลงพิมพ์ในนิตยสารมาแล้วและยังไม่เคยลงพิมพ์ที่ไหนเลย เมื่อวิเคราะห์ในภาพรวม วรรณกรรมซีไรต์เล่มใหม่ล่าสุดนี้มีจุดเด่นน่าสนใจ 5-6ประการ ดังนี้
- แสดงพลังของเรื่องเล่า โดยธรรมชาติแล้ว คนเรามีเรื่องเล่าไหลเวียนอยู่รอบตัว ลองนึกดูว่าวันหนึ่งๆ เราได้ฟังเรื่องเล่าจากใครต่อใครหลายเรื่อง ยิ่งอ่านสื่อโซเชียลก็ยิ่งรับรู้เรื่องเล่าอีกมากมายจนมึน เป็นเรื่องจริงบ้าง เรื่องโกหกบ้าง เรื่องโม้บ้าง เรื่องที่คิดสอดคล้องกันบ้าง เรื่องที่เห็นต่างแล้วตอบโต้กันบ้าง นี่คือสิ่งที่อยู่ในชีวิตจริงวิถีใหม่ นิยามของวรรณกรรมแต่เดิมคืองานเขียนที่นักเขียน “เลือก” เรื่องมาเล่า โดยเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ นั่นคือกล่าวถึงเหตุและผลที่เกิดขึ้นตามมา แต่เรื่องสั้นของจเด็จส่วนใหญ่มีเรื่องเล่าซ้อนเรื่องเล่า ซ้อนเรื่องเล่า และซ้อนเรื่องเล่า จนไม่ต้องสปอยล์ผู้อ่านเพราะเล่าเรื่องย่อไม่ถูก เรื่องเล่าที่แทรกอยู่นี้มาจากความฝันบ้าง มาจากเหตุการณ์ที่เกิดแก่ตัวละครบ้าง มาจากเรื่องที่ตัวละครได้ฟังมาบ้าง ฯลฯ เรื่องเล่าย่อยๆ แต่ละเรื่องมีสีสันในตัวเองจนอาจทำให้หลงทิศ ผู้อ่านต้องสกัดเฉพาะประเด็นที่จะช่วยประกอบสร้างเรื่องเล่าที่เป็นเรื่องหลัก
- เล่นกับกลวิธีการเล่าเรื่อง ผู้แต่งใช้กลวิธีเล่าเรื่องหลายแบบเพื่อเน้นความเป็นเรื่องเล่า ตัวอย่างเช่นเรื่องสั้น “ข่าวว่านกจะมา” ใช้ผู้เล่าเรื่อง “เขาว่า” ซึ่งเป็นคำติดปากในชีวิตจริงที่มีนัยของการหลีกเลี่ยงหรือไม่ยืนยันแหล่งที่มาแท้จริงของข้อมูล อาจได้ฟัง “เขาว่า” มาจริงๆ หรืออาจไม่อยากบอกว่าตัวเป็นคน “ว่าเอง” จะเป็นแบบไหนก็ตาม ตามหลักเหตุผลแล้ว ความน่าเชื่อถือของข้อมูลน่าจะลดลง แต่เอาเข้าจริงข้อมูลจาก “เขาว่า” ที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้นี้กลับแพร่ไปในวงกว้างจนคนส่วนใหญ่ปักใจเชื่อโดยไม่สนใจว่า “ใครว่า” บางครั้งผู้ที่เป็นต้นตอของเรื่องอาจถูกสร้างเรื่องให้ใหม่จากลมปากของ “เขาว่า” เสียอีก ดังที่ตัวละครในเรื่องสั้นนี้กล่าวว่า “ผมต้องฟังเรื่องตัวเองจากคนอื่น พวกนั้นรู้เรื่องของเราดีกว่าตัวเราอีก” (หน้า 138) ยิ่งในยุคของการเสพข่าวสารออนไลน์ ข้อความที่ “เขาว่า” ได้รับการกดไลค์กดแชร์จนแพร่ไปสู่วงกว้างเป็นเครือข่ายใยแมงมุม เดิมเราพูดกันว่า “เขาว่าให้เอา 5 หาร” เพื่อเตือนใจให้ตั้งสติให้ดีก่อนจะเชื่อข้อมูลใด แต่ในยุคโซเชียลมีเดีย หาร 5 คงไม่พอเสียแล้ว
การที่ผู้แต่งใช้ผู้เล่าเรื่อง “เขาว่า” จึงน่าจะมีเจตนาชี้ให้เห็นความจริงในความลวงและความลวงในความจริง เรื่องที่ “เขาว่า” อาจมีความจริงอยู่ไม่น้อย เช่นเดียวกันเรื่องที่ต้องย้ำบ่อยๆ ว่าเรื่องจริงนะ ก็มีความลวงอยู่แน่นอน เมื่อเราอยู่ในโลกที่ความจริงและความลวงชิดใกล้กันขนาดนี้ ก็ต้องใช้ สติ และ สัมปชัญญะ ให้มากเพื่อแยกให้ออกว่าอะไรจริง อะไรลวง
- สร้างสัญญะในการสื่อความหมาย เรื่องสั้นทั้ง 11 เรื่องเล่าเรื่องของคนและสัตว์ปนกันไป อีกทั้งสัตว์อาจ (คล้ายว่า) เป็นคนหรือสัตว์ชนิดอื่น เช่น ปลาดุกกลายเป็นนกกระยาง (เรื่อง “นกกระยางโง่ๆ”) หรือคนอาจเป็นสัตว์ เช่น ผู้อพยพกลายเป็นนกนางแอ่น ( เรื่อง “ข่าวว่านกจะมา”) การกล่าวถึงสัตว์ว่าเป็นคน หรือคนเป็นสัตว์ในลักษณะคล้ายภาพลวงตา เพราะนักเขียนต้องการใช้สัตว์เป็นสัญญะเพื่อเสียดเย้ยความเป็นมนุษย์
- ใช้แนวเรื่องหลากหลายแทรกปนอยู่ ทั้งเรื่องชีวิตครอบครัว เรื่องผี เรื่องผจญภัยในป่าดิบ เรื่องไซไฟ เรื่องโลกอนาคต เรื่องประวัติศาสตร์การเมือง สงครามในดินแดนอื่น และการเมืองในปัจจุบัน ฯลฯ เสมือนบอกกล่าวให้เห็นว่าเรื่องเล่าที่แท้จริงล้วนมีซุ่มเสียงและรสชาติหลากหลาย อีกทั้งยังไหลเวียนสืบทอดเป็นสัมพันธบทอยู่ในเรื่องเล่าของไทย
- ใช้การเล่าเรื่องแบบเหนือจริง ปรากฏอยู่ในเรื่องสั้นทุกเรื่อง ทั้งเรื่องเหนือจริงแบบนิทาน เช่น เป็ดมีไข่ทองคำ (เรื่อง “มีเป็ดบนหลังคา”) เรื่องเหนือจริงแบบนิยาย เช่น เปรตภูตผี อาถรรพป่าดงดิบ (เรื่อง “ปลดแร้ว”) เรื่องเหนือจริงแบบตำนาน เช่น ปลาอานนท์ ( เรื่อง “สัปเหร่อรุ่นสอง” ฯ) เรื่องเหนือจริงแบบสมัยใหม่ เช่น มิติคู่ขนาน หุ่นยนต์โรบ็อตครองโลกอนาคต เรื่องข้ามมิติเวลา ข้ามชาติข้ามภพ เป็นต้น
- ใช้วิธีของเมตาฟิกชั่นที่ผู้แต่งเล่าเบื้องหลังการแต่งหรือกำกับเรื่องที่กำลังแต่ง เช่น เรื่อง “สัปเหร่อรุ่นสอง” : เคล็ดลับทำเรื่องบ้านๆ ให้ฟรุ้งฟริ้งฟามิงโก แบ่งเป็น 10 หัวเรื่อง แต่ละหัวเรื่องกล่าวถึงกระบวนการสร้างเรื่องแต่ง เช่น เปิดเรื่องให้ใหญ่ แอบล้ำยุคลงไปบ้าง ชื่อและบุคลิกแปลกแต่อย่าประหลาด เรื่องเหลือเชื่อให้ผ่านปากบุรุษที่ 3 ฯลฯ และมีข้อความบางตอนอธิบายการแต่งเรื่องว่า “ถ้าเราจะเขียนเรื่องนี้ ลองเปลี่ยนจากฝ่ายถูกกระทำเป็นฝ่ายกระทำบ้าง แต่จะใช้วิธีไหน…” และ “พาเรื่องทั้งหมดใส่จรวดจุดระเบิดส่งไปดวงจันทร์ ตอนนี้น่าจะยากที่สุดของเรื่องเล่า อธิบายว่าเหมือนการผูกเรื่องทั้งหมดเป็นการระดมทุนและกำลังสร้างจรวด ตอนนี้คือช่วงที่จะจุดระเบิดส่งจรวดขึ้นฟ้า เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดเดินทางเป็นเส้นตรง อาจจะสะเปะสะปะไปอื่นแต่มันก็เดินทางมาที่สถานีปล่อยจรวดแห่งนี้ เรื่องเล่าต้องการจรวดสักลูก เพื่อดึงอารมณ์และความรู้สึกทั้งหมดขึ้นไป มันอาจขึ้นถึงดวงจันทร์หรืออาจตกในชั้นบรรยากาศ ทิ้งดิ่งลงมาในบทต่อไป” (หน้า 236 และ 246)
การใช้เรื่องเหนือจริงและการกล่าวถึงเบื้องหลังการประกอบสร้างเรื่องเล่าดังกล่าวข้างต้นเป็นกลวิธีของการเล่าเรื่องที่ใช้เพื่อไม่ให้ผู้อ่าน “อิน” กับเรื่องที่เล่า จนละเลยสารเนื้อหาและสารความคิดที่ผู้แต่งต้องการสื่อให้รู้
กล่าวโดยสรุป หนังสือรวมเรื่องสั้น คืนปีเสือและเรื่องเล่าของสัตว์อื่น ๆ เป็นงานเขียนซึ่งยืนยันความเป็นวรรณกรรมรางวัลซีไรต์ที่โดดเด่นล้ำหน้าในกลศิลป์ของการเล่าเรื่อง คนที่อยากรู้ “เรื่อง” และรับ “รส” ต้องอดทนอ่านหน่อย แต่คนที่ต้องการ “ความคิด” จะพบว่ามีอยู่ทั่วไปทั้งบนบรรทัดและระหว่างบรรทัด
คอลัมน์: เชิญมาวิจารณ์
เรื่อง: ศ.ดร.รื่นฤทัย สัจจพันธุ์