ชีวิตลานั้นอาภัพ

-

เชื่อหรือไม่ว่ามีแนวโน้มที่สัตว์อย่างลาจะลดจำนวนลงทุกทีจนอาจเป็นปัญหาได้ มนุษย์ใช้ลาขนสินค้าระยะทางไกลๆ และช่วยงานเกษตรมาเนิ่นนานเพราะทนทานต่อการใช้งาน มันเป็นสัตว์ที่มีประโยชน์อย่างมากสำหรับมนุษย์ อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ลาค่อยๆ พร่องลง

​            ลาเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สำคัญของคนยากจนในชนบทของประเทศกำลังพัฒนา มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแอฟริกา และถูกนำมาเป็นสัตว์ใช้งานเมื่อ 5,000-7,000 ปีก่อน เป็นสัตว์ตระกูลเดียวกับม้า หากลาตัวผู้ผสมพันธุ์กับม้าตัวเมียก็จะออกลูกมาเป็นล่อ

​            ปรากฏการณ์ลดลงของจำนวนลาเห็นได้ชัดระหว่าง ค.ศ. 2009 ถึง 2016 เมื่อจำนวนลาในเคนยาลดลงไปครึ่งหนึ่งจนเหลือน้อยกว่า 900,000 ตัว และระหว่างปี 2011 ถึง 2016  จำนวนลาลดลงกว่าร้อยละ60 ในเอกวาดอร์  / ลดประมาณร้อยละ 60 ในบอตสวานา  / ลดร้อยละ 50 ในโคลอมเบีย / ลดร้อยละ 35 ในอินเดีย /  ลดร้อยละ 25 ในตุรกี / ลดร้อยละ 18 ในจีน / ลดร้อยละ 15 ในบราซิล ฯลฯ สาเหตุหลักมิได้เกิดจากโรคระบาด หรือมีความต้องการใช้งานน้อยลง แต่เป็นเพราะมีตลาดใหญ่ที่ต้องการหนังของมัน

​            เป็นเวลาหลายพันปีที่คนจีนนิยมบริโภคเออเจียว ซึ่งเป็นเจลาตินจากหนังลาที่ได้จากการต้มและสกัด มีสรรพคุณด้านอายุวัฒนะ ช่วยให้เลือดไหลเวียนดี เพิ่มเม็ดเลือดแดง ช่วยให้นอนหลับ ฯลฯ เมื่อมีคนจีนฐานะร่ำรวยมากขึ้น ความต้องการก็เพิ่มขึ้นด้วย แต่ที่เกิดปัญหาก็เพราะลามีลูกยาก ดังนั้นจึงมีจำนวนลดลงตามลำดับ

​            ในแต่ละปีคาดว่าคนจีนมีความต้องการหนังลาประมาณ 4 ล้านชิ้น แต่มีพอสำหรับการใช้เพียง 1.8 ล้านชิ้นเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องนำเข้าจากหลายประเทศจนจำนวนลาลดน้อยลงดังที่ปรากฏในตัวเลขข้างบน การฆ่าลาจำนวนมากเช่นนี้ในแต่ละปีก่อให้เกิดปฏิกิริยาจากกลุ่มดูแลสวัสดิการสัตว์และผู้ห่วงกังวลว่า กลุ่มประเทศในแอฟริกาขาดแคลนสัตว์เศรษฐกิจที่ช่วยในการดำรงชีวิต อีกทั้งทำให้ราคาลาพุ่งสูงขึ้นมาก เช่น ในเคนยา ราคาสูงขึ้นกว่า 3 เท่าตัวในปี 2017 และสูงขึ้นเช่นกันในอีกหลายประเทศ

​            ค่านิยมเออเจียวส่งผลกระทบถึงเรื่องการขาดแคลนสัตว์เศรษฐกิจในการทุ่นแรงของคนยากจน มีการขายเพราะราคาดีและเกิดการลักขโมยอย่างดาษดื่นอย่างที่ไม่เคยปรากฏในประเทศยากจนเหล่านี้ หลายประเทศห้ามการส่งออกลาอย่างเด็ดขาด และบางประเทศก็อนุญาตแต่เก็บภาษีส่งออกในอัตราสูง ทั้งหมดนี้ช่วยบรรเทาปัญหาเท่านั้น เพราะความขาดแคลนลาก็ยังคงมีอยู่ ตราบเท่าที่ความนิยมยาอายุวัฒนะชนิดนี้มิได้ลดลง และคนจีนมีรายได้เฉลี่ยสูงขึ้น

​            หากการค้าเสรีมิได้เป็นกระแสหลักของโลก  การขาดแคลนลาก็จะเกิดขึ้นเฉพาะในประเทศจีน แต่เมื่อมีการค้าส่งออกและนำเข้าจึงส่งผลกระทบไปยังประเทศอื่นด้วย จำนวนลาในจีนเองก็ลดลงจาก 11 ล้านตัวในปี 1990 เหลือ 5 ล้านตัวในปี 2016 และเหลือเพียง 3 ล้านตัวในปี 2020

​            แม้ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนสรรพคุณของเออเจียว แต่ความเชื่อและ “หลักฐานเชิงประจักษ์” จากการสังเกตมาเป็นเวลานับพันปีก็เพียงพอที่จะทำให้ลาซึ่งเกิดมามีชีวิตลำเค็ญอยู่แล้ว เนื่องจากทำงานในภาคเกษตรและการขนส่ง ต้องสิ้นชีวิตก่อนเวลาอันควรเพราะบังเอิญมี “สารวิเศษ” อยู่ในตัว น่าสงสารชีวิตเจ้าลาเหล่านี้นัก


คอลัมน์: สารบำรุงสมอง เรื่อง: รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ

All Creative Team

Writer

ร่วมสร้างสังคมอุดมปัญญา

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!