ต้าวหยอง ระเบียบวาทะศิลป์ หมอลำอินเตอร์ ซอฟต์พาวเวอร์อีสาน

-

ถ้าพูดถึงวงหมอลำซึ่งดังระเบิดเถิดเทิง ณ ตอนนี้ ต้องยกให้วง ‘ระเบียบวาทะศิลป์’ หมอลำวงแรกที่ได้ขึ้นแสดงในเทศกาลดนตรีอันยิ่งใหญ่ของไทยอย่าง Big Mountain Music Festival และยังร่วมแสดงกับสาวๆ จากเวทีมิสแกรนด์ไทยแลนด์ ปลุกกระแสหมอลำให้ฟีเวอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่วัยรุ่นคนเมือง ซึ่งแต่เดิมไม่เคยรู้จัก กลับพากันอยากดูแสดงสดติดขอบเวทีสักครั้ง 

ด้วยจำนวนสมาชิกของวงที่มีมากถึง 300 กว่าคน ดาวเด่นของวงจึงมีอยู่ไม่น้อย และหนึ่งในนั้นต้องขอพูดถึงแดนเซอร์หนุ่มฉายาเอวหวาน 4G  ‘ต้าวหยอง’ ยุคลเดช ปัจฉิม ซึ่งมีเอกลักษณ์คือรอยยิ้มกับท่าเต้นสุดเด้ง แม้ชื่อของต้าวหยองจะโด่งดังชั่วข้ามคืนจากคลิปที่เขาแสดง แต่การที่เขาโดดเด่นจนยอดวิวสูงกลายเป็นไวรัลนั้น ไม่ใช่แค่หน้าตาหรือความฟลุกอย่างเดียว ต้องอาศัยความพยายามอีกด้วย เราขอชวนมาทำความรู้จักหนุ่มน้อยรอยยิ้มเงินล้านคนนี้ให้มากขึ้น เพราะหลังเวทีมักเต็มไปด้วยเรื่องราวเสมอ 

ไม่อยากเป็นภาระแม่ เลยตามพี่มาเข้าวง

“ผมเป็นแค่เด็กบ้านนอกคนหนึ่งครับ” เราถามต้าวหยองว่าทำอะไรมาก่อนเข้าวง “ตอน ม.1 ผมบวชเรียนกับหลวงลุงที่ขอนแก่น 2 ปี จากนั้นย้ายไปเรียนที่บ้านเกิดคือกาฬสินธุ์ พอดีว่าพี่ชายของผม (ติงลี่) เข้าวงศิลปินภูไทย แล้วย้ายไปเป็นแดนเซอร์ของวงระเบียบวาทะศิลป์ พี่ชวนให้เข้าวงด้วยกัน แต่ตอนนั้นยังไม่อยากไป อยากอยู่กับเพื่อน ผมก็สมัครเข้าวิทยาลัย ไม่ได้ไปเรียนหรอก ไปเล่นกีฬามากกว่า ผมชอบเล่นกีฬาทุกอย่าง ที่ไหนมีจัดผมเข้าร่วมหมด ในเมื่อไม่เรียนพี่เลยชวนให้สมัครเข้าวงอีก ผมสองจิตสองใจ แต่สงสารแม่ ไม่อยากเป็นภาระเขา เลยตกปากรับคำเข้าร่วมวง

“ฐานะครอบครัวของผมอยู่ในขั้นแย่ครับ ต้องยืมตังค์เพื่อนบ้านมาซื้อข้าวกิน ยืมเพื่อเป็นค่าขนมของผม ช่วงอนุบาล – ป.6 ยังดีมีข้าวที่โรงเรียนให้กิน แต่พอขึ้นมัธยมก็ไม่มีแล้ว วันไหนไม่มีเงินไปโรงเรียนก็กินข้าวกับเพื่อน หรือบางทีก็ไม่กินเลย ตอนที่ตัดสินใจเข้าวง ผมไม่คาดหวังว่าจะได้เงินเยอะแยะ คิดแค่มาเป็นลูกจ้างรายวันหาเงินส่งให้พ่อแม่ได้ก็พอ อีกอย่างผมร้องเพลงไม่เป็น เล่นลิเกไม่ได้ เลยสมัครเป็นแดนเซอร์ และหัดเต้นครั้งแรก”

ตารางซ้อมเต้นนั้นเอาจริงเอาจังเพราะซ้อมกันทั้งวันเช้าจรดค่ำ เริ่มต้นตอนสิบโมงเช้า พักเที่ยง ซ้อมภาคบ่ายประมาณบ่ายโมงถึงหกโมงเย็น พักอีกรอบ แล้วเริ่มซ้อมภาคค่ำ สามเดือนแรกต้าวหยองได้แต่ฝึกซ้อมวนไป ยังไม่มีโอกาสขึ้นเวที และยังไม่รู้สึกชื่นชอบการเต้น “มันรู้สึกฝืน สรีระของเราไม่เคลื่อนไปให้เข้ากับจังหวะดนตรีอย่างที่ต้องการ ท้อเหมือนกันครับ ผมไม่ได้ออกไปไหนเลย ซ้อมแบบนี้ทุกวัน เหนื่อยบ้าง ขี้เกียจบ้างเป็นธรรมดา แต่แล้วก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า เรารอให้คนเดินมาสอนอยู่อย่างนี้ไม่ได้ เราต้องเดินไปหาคนเก่ง ไปขอวิชาจากเขา ตรงไหนไม่เข้าใจก็ต้องถามครูเลย เห็นผลนะครับ เริ่มมีพัฒนาการที่ดีขึ้น แขนขาขยับเข้าท่าเข้าทาง การจำท่าก็แม่นยำ”

คนดูจะรู้สึกว่าเรายิ้มให้เขา

“ขึ้นเวทีครั้งแรกน่าจะที่โคราช ไม่เคยเห็นคนเยอะขนาดนี้มาก่อน มีเต้นผิดบ้าง ลืมอุปกรณ์ที่ต้องใส่บ้าง ก่อนออกงานพ่อเอ๊ะ (ภักดี พลล้ำ หัวหน้าวงระเบียบวาทะศิลป์) จะเรียกประชุมและคอยสอนเสมอว่า เรามาทำงาน ไม่ได้มาเต้นเหยาะแหยะให้คนดู แต่มาสร้างความสนุกให้เขา ไม่ใช่ว่าอยู่แถวหลังสุดคนจะมองไม่เห็น เพราะเวทีเป็นขั้นบันได อยู่ตรงไหนก็เห็น หรือต่อให้มองไม่เห็นจริงๆ เราก็ต้องยิ้มเข้าไว้ ยิ้มให้ฟ้า ยิ้มให้ต้นไม้ ยิ้มไว้ก่อน เมื่อคนดูมองขึ้นมาบนเวทีเขาจะรู้สึกว่าเรากำลังยิ้มให้เขา ผมนั่งฟังก็จดจำและนำไปปฏิบัติตาม”

การยิ้มโปรยของต้าวหยองบังเกิดผล มีคนถ่ายคลิปขณะแสดง คนที่ได้ดูคลิปนั้นต่างเอ็นดูรอยยิ้มและท่วงทีลีลาการเต้นของเขา แดนเซอร์โนเนมกลายเป็นที่รู้จักในชั่วข้ามคืน และมีกลุ่มแฟนคลับของตัวเอง “ผมเต้นอยู่แถวหลังนานสักสามสี่เดือน แล้ววันหนึ่งพี่ชายของผมที่เต้นแถวหน้าต้องไปร้องเพลงของสปอนเซอร์ คนที่ดูแลแดนเซอร์เลยจับผมไปเต้นแทน จากแถวสุดท้ายคือแถวสี่ก็ได้โอกาสไปยืนแถวหนึ่งเลย 

  “ผมจำได้ว่าผมเต้นเพลงแม่ฮ้างมหาเสน่ห์ เพลงเดียวในคืนนั้นที่ได้เต้นแถวหน้า คนเขาก็ถ่ายคลิปกัน ช่วงแรกไม่รู้เลยว่าเป็นไวรัล ตอนนั้นยังไม่มีแฮชแทกชื่อผมด้วยซ้ำ แต่คนก็มาขอถ่ายรูปมากขึ้น บางเพลงผมไม่ได้เต้นหรอก รับทิปอย่างเดียว แต่ผมไม่คิดว่าตัวเองดัง ยังทำตัวปกติ ใครขอถ่ายรูปก็ยินดีครับ”

เมื่อมีชื่อเสียง งานในวงก็เพิ่มขึ้น ต้าวหยองจึงไม่เพียงทำหน้าที่แดนเซอร์ แต่ยังเริ่มร้องเพลง และร่วมแสดงในโชว์ตลก รวมทั้งเดินสายให้สัมภาษณ์สื่อ “ผมมักกินในรถ นอนในรถนี่แหละ ถ้าวันไหนมีสัมภาษณ์สื่อแล้วกลับไม่ทันแสดงช่วงเต้น ก็ขึ้นเวทีช่วงร้องแทน อย่างน้อยต้องได้ขึ้นเวทีบ้าง เวลาแสดงต่างจังหวัดมักโชว์ตั้งแต่สามทุ่มถึงหกโมงเช้า ผมไม่ได้ขึ้นเวทีตลอดทั้งคืน แสดงพาร์ตแรกจบก็ลงไปนอนหลังเวที เป็นช่วงเวลาหลับของผม แล้วรอตอนเช้าเพื่อขึ้นเวทีอีกครั้งไปอำลาผู้ชมครับ”

ถ้าเป็นเรื่องเต้น ผมไม่เคยเกี่ยง

เจ้าตัวยอมรับว่า “ผมไม่ชอบเต้นเลย” ตอนเข้าวงใหม่ๆ เมื่อเวลาผ่านไป ได้ออกงานมากขึ้น เห็นปฏิกิริยาของคนดูที่สนุกสนาน ก็เริ่มชอบการเต้นขึ้นทุกขณะ ประกอบกับเคล็ดลับเต้นพลางยิ้มพลาง ช่วยบิ๊วอารมณ์ให้ผู้เต้นพลอยมีความสุขด้วย “คนถามผมเยอะว่าได้ร้องแล้วจะยังเต้นอีกไหม ผมมาจากสายเต้น จะเต้นต่อไปทุกปีไม่ทิ้งแน่นอน เรื่องร้องผมยังไม่เก่ง ยังหัดอยู่ คนยังด่าอยู่เลย (หัวเราะ) แต่ถ้าเรื่องเต้นผมมั่นใจมาก ขอให้บอก ไม่เคยเกี่ยง” 

เวทีที่ต้าวหยองสุดประทับใจ ยกให้ Big Mountain Music Festival แม้จะประหม่าที่ต้องแสดงให้ผู้ชมซึ่งไม่ใช่แฟนคลับหมอลำดู มิหนำซ้ำยังอยู่ในงานดนตรีที่มีแต่ศิลปินชื่อดังแสดง แต่พอเห็นคนดูเอนจอยไปกับโชว์ และแสดงความรู้สึกมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นเสียงปรบมือ เสียงกรี๊ด หรือเต้นไปด้วย ภาพนี้ก็ได้ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเขาอย่างไม่มีวันลืม 

นอกจากร้อง-เต้นแล้ว ต้าวหยองยังมีงานแสดงภาพยนตร์เรื่อง อีสานตุ๊ดซี่ ทางช่อง Monomax ด้วย“ผมเคยร่วมงานกับพี่พชร์ อานนท์แล้ว ตอนนั้นเป็นนักแสดงรับเชิญ ครั้งนี้ก็นึกว่าเป็นอย่างนั้นอีก ถ่ายๆ ไป ทำไมบทเราเยอะจัง เรื่องนี้ไม่มีนักแสดงหลักเหรอ ไปรู้ตอนถ่ายทำจะจบแล้วครับว่าตัวเองนี่แหละนักแสดงหลัก (หัวเราะ) มีซีนที่เขาอยากให้ผมแต่งหญิง ตอนแรกคิดว่าไม่ต้องแต่ง ก็สบายใจ ผมไปนั่งแต่งหน้าปุ๊บ เอ๊ะ ทำไมวันนี้แต่งนานจัง ปกติแป๊บเดียวเสร็จนะ หยิบกระจกขึ้นมาส่อง เอ้า ทำไมเขียนคิ้วทรงนี้ ทำไมบล็อกตาด้วย คิดในใจโดนพี่พชร์เล่นแล้ว จัดเต็มเลย ทั้งวิก ทั้งสะโพกปลอม โอเคในเมื่อแกอยากให้ผมแสดง ผมก็จะแสดง ไม่ขัดขืน ตั้งใจเต็มที่ 

“ผมรับบทโต๋เต๋ แสดงเป็นตัวเองนี่แหละครับ ในเรื่องพี่โก๊ะตี๋เขาประกวดนางงาม แต่ไม่เคยชนะเลย มาเห็นผมในคอนเสิร์ตระเบียบวาทะศิลป์ จึงอยากให้เป็นตัวแทนไปประกวด” เราถามถึงฟีดแบ็กที่ได้จากแฟนคลับเมื่อเห็นต้าวหยองแต่งหญิงครั้งแรก “ก็ชม น่ารัก สวย (หัวเราะ)”

เสาหลักของบ้าน

ความโด่งดังที่เกิดขึ้นได้พลิกชีวิตเด็กหนุ่มคนนี้ ไม่เพียงแค่ความเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน แต่ครอบครัวของบุพการีได้ลืมตาอ้าปากด้วย “ย้อนนึกถึงวันที่เคยลำบากมาก่อน ผมเคยกลับบ้านหลังจากเล่นกับเพื่อน และหิวมาก แต่ไม่มีใครอยู่บ้านเลย แม่ไม่อยู่ ยายไม่อยู่ บ้านก็ไม่เหลือข้าวให้กิน เงินก็ไม่มี ได้แต่นอนดูทีวีที่บ้านรอ รอไปก็หิวไป เมื่อไหร่แม่จะกลับมา ออกไปไหนไม่ได้เพราะไม่มีรถ วันนั้นผมหิวจนร้องไห้เลย

“บ้านที่ผมอยู่เป็นที่ของพี่น้องฝ่ายแม่ เขาให้อาศัย เมื่อก่อนเวลาหลังคารั่ว ก็จะเคี้ยวหมากฝรั่งแล้วแปะไว้ที่ด้ามไม้กวาด แยงขึ้นไปอุดรู ทุกวันนี้ชีวิตดีขึ้นมาก มีเงินซื้อของกิน มีเงินซ่อมแซมบ้าน ผมเปลี่ยนหลังคา เปลี่ยนประตูใหม่ แต่พ่อเอ๊ะก็แนะว่าตรงนี้เป็นที่ของคนอื่น หากวันหนึ่งลูกหลานเขายึดคืน เราจะไปอยู่ที่ไหน น่าจะไปสร้างในที่ของตัวเอง พอดีพ่อมีที่นาใกล้ถนนใหญ่ แต่ต้องถมที่สัก 3-4 รอบกว่าดินจะแน่น คราวนี้ติดปัญหาอีกตรงไม่มีถนนเข้า จึงต้องซื้อที่จากพี่น้องเพื่อทำถนน บ้านของผมมีรถคันเดียว เวลาน้องไม่สบายต้องขับจากบ้านไปอำเภอสิบกว่ากิโลเพื่อหาหมอ ตากแดดตากลม เลยตัดสินใจซื้อรถกระบะ เผื่อพ่อใช้ขนของได้ด้วย ไม่อยากเป็นหนี้เงินผ่อน ผมเลยซื้อเงินสด 

“ถือได้ว่าผมเป็นเสาหลักของครอบครัวตั้งแต่อายุ 15 ปี รับผิดชอบรายจ่ายหลายๆ อย่าง มีคิดในใจนะจะหาเงินไหวไหม แต่ก็เอาวะ สู้ หาใหม่ได้ ยังไงซะของที่เราซื้อก็เป็นสมบัติของเราอยู่ดี”

ครอบครัวระเบียบวาทะศิลป์

ผมโชคดีจริงๆ ที่ตัดสินใจเข้าวง สิ่งที่ได้รับอย่างแรกเลย ก็ต้องเป็นเงิน (หัวเราะ) เราได้ซื้อของให้แม่ให้พ่อ ซื้อแพมเพิร์ส ซื้อนมให้น้อง มีที่ มีบ้าน มีรถของตัวเอง สิ่งที่อยากได้ตั้งแต่เด็กก็สามารถซื้อได้ จนพ่อเอ๊ะต้องเตือนสติ ลูกจะสั่งซื้อของอย่างไม่ยั้งคิดไม่ได้นะ (หัวเราะ) 

“นอกจากเรื่องเงินยังมีความอบอุ่นที่ได้รับตั้งแต่เข้าวง ผมมาใหม่ๆ ก็ชวนให้กินข้าวด้วยกัน ถึงเราจะเป็นคนต่างที่ อยู่กันคนละจังหวัด แต่เมื่อมาอยู่ในวงก็เปรียบเสมือนครอบครัว กินอยู่หลับนอนด้วยกัน เป็นลูกครอบครัวเดียวกัน พอเรามีชื่อเสียง ผมก็อยากมอบความอบอุ่นแบบที่ได้รับ ถึงจะไม่มีเวลาเล่นกับพี่ๆ เหมือนเมื่อก่อน แต่เราไม่ได้เปลี่ยนไปนะ แค่มีหน้าที่รับผิดชอบมากขึ้น บางครั้งผมได้ทิป ผมก็เอาไปให้คนที่เขาไม่ได้ คนที่อยู่ข้างหลัง”

ปัจจุบัน ‘พ่อเอ๊ะ’ ได้รับต้าวหยองเป็นบุตรบุญธรรม เราถามแดนเซอร์หนุ่มยิ้มเสน่ห์ว่า มีคำสอนอะไรของพ่อเอ๊ะที่เขายึดไว้เป็นเครื่องเตือนใจ “พ่อบอกว่าเรามีชื่อเสียงแล้วจะถือตัวไม่ได้ เคยเป็นอย่างไรก็ให้เป็นอย่างนั้น ถึงวันนี้จะเป็นลูกพ่อแล้ว ก็ไม่อาจถืออภิสิทธิ์ชี้นิ้วสั่งคนอื่น กลับกันยิ่งเราเป็นลูกหัวหน้ายิ่งต้องทำตัวเป็นแบบอย่าง พ่อบอกเสมอว่า เวลาออกไปหน้าเวทีต้องยิ้มเยอะๆ เมื่อคนเข้ามาหาก็ต้องเทคแคร์ 

“ถ้าต้องขอบคุณใครสักคน ผมขอบคุณพ่อเอ๊ะมากๆ ครับ ไม่ขอบคุณพ่อก็ไม่รู้จะขอบคุณใคร ถ้าไม่มีพ่อ ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเดินไปเส้นทางไหน พ่อมักบอกว่า พ่ออาบน้ำร้อนมาก่อน รู้หมด ถ้าลูกทำอย่างนี้ จะเป็นแบบนี้นะ ซึ่งก็จริง หลายๆ ครั้งพ่อพูดถูก

“ขอบคุณเอฟซี พี่ๆ แม่ๆ ที่คอยสนับสนุนผมมาตลอด 4 ปี ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

“และสุดท้ายขอบคุณตัวเองที่อดทนสู้มาจนถึงวันนี้”


บทเรียนชีวิตจากต้าวหยอง

  • ถึงจะไม่มีประสบการณ์ ไม่เคยทำ หรือไม่อยากทำ อย่าเพิ่งปฏิเสธ อย่าเกี่ยงงาน ลองทำดูก่อน ถ้าเราทำด้วยใจ สิ่งดีๆ จะตามมาเอง
  • ถ้าไม่มีความอดทนหรือความตั้งใจ เป้าหมายและความใฝ่ฝันในชีวิตก็เป็นจริงได้ยาก
  • บางครั้งคำแนะนำของผู้ใหญ่อาจฝืนใจเรา แต่ถ้าทำตามได้ย่อมจะให้ผลดีแก่ตัวเรา 

จากพ่อเอ๊ะถึงต้าวหยอง

สิ่งที่พ่อเห็นในตัวเขาคือ เขามีความตั้งใจทำงาน พ่อสอนทุกคน อยู่ที่ใครจะนำไปปฏิบัติตาม สิ่งดีๆ เราบอกหมด ไม่ว่าจะเต้นตำแหน่งไหน ขอให้เต็มที่ ถ้าคุณตั้งใจ ต่อให้อยู่ลึกแค่ไหนก็มีคนเห็น ต้าวหยองนำคำสอนไปทำตาม ตอนที่เขาอยู่แถวหลังก็ยังยิ้มแย้มแจ่มใส จนกลายเป็นภาพติดตัว พอเขามีโอกาสขึ้นมาแถวหน้า เลยเกิดภาพน่ารักน่าเอ็นดูอย่างที่ทุกคนเห็นกัน

“พ่อเป็นห่วงอนาคตเขา พ่อเห็นมาเยอะ บางคนหลงระเริงกับเงินทอง บางคนหลงเชื่อคำขายฝันของคนอื่น แล้วก็ลอยแพเด็ก เขายังเด็กจริงๆ ยังไม่สามารถเอาตัวรอด ถ้าให้คนอื่นดูแลก็กลัวเขาจะไม่เชื่อฟัง แล้วพ่อก็อยากได้ลูกชายมาแต่ไหนแต่ไร บ้านต้าวหยองมีลูกชาย 4 คน เลยถามแม่เขาว่าถ้าขอมาดูแลจะให้ไหม ปรากฏแม่เขากับญาติๆ ยินดี อยากให้พ่อพาเขาออกจากสภาพแวดล้อมนั้น อยากให้มาอยู่กับพ่อ

“ตอนนี้ทุกคนเห็นความน่ารักของเขาแล้ว พ่อก็อยากให้เขาแสดงความสามารถ ให้เขาร้องเพลง พ่อยอมให้คนด่า ร้องเพลงไม่เป็น พ่อก็ต้องฝึกให้ เขาร้องหนึ่งเพลง สามนาที ถึงไม่เพราะ คนคงทนฟังได้ ใครจะด่าพ่อก็ไม่เป็นไร เราไม่อยากให้เขาหยุดพัฒนา เขาเป็นเด็กใฝ่ดี เชื่อฟังเราด้วย เราก็ภูมิใจที่เขาเป็นแบบนี้”


 

 

 

ขอบคุณสถานที่

Mestyle Garage Hotel

เลขที่ 53 ซอย ประชาราษฎร์บำเพ็ญ 7 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10310

โทรศัพท์ 0 24275 8855

เว็บไซต์ www.mestylegarage.com

https://www.facebook.com/mestylegaragehotel


คอลัมน์: เรื่องจากปก

เรื่อง: ภิญญ์สินี

ภาพ: อนุชา ศรีกรการ

 

ภิญญ์สินี

Writer

กองบรรณาธิการ ศิษย์เก่าเอกปรัชญาและศาสนา ชอบติดตามกระแสสังคม และเทรนด์แฟชั่น สนใจศิลปวัฒนธรรม และสีมงคล ลายนิ้วหัวแม่มือคือลายมัดหวาย

อนุชา ศรีกรการ

Photographer

ช่างภาพที่เกิดวันเดียวกับวันถ่ายภาพโลก เลยทำอย่างอื่นไม่เป็นแล้ว

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!