เป็นข่าวที่น่ายินดีอย่างยิ่งเมื่อทราบว่ามีการนำนวนิยายเรื่องตะวันตกดิน ของ “กฤษณา อโศกสิน” มาสร้างเป็นละครโทรทัศน์ เพราะนอกจากจะเป็นบทประพันธ์ “น้ำดี” แล้ว เรื่องนี้ยังมีเนื้อหาที่เหมาะกับสังคมไทยในปัจจุบันอีกด้วย
“กฤษณา อโศกสิน” เขียนนวนิยายเรื่องนี้ในต้นทศวรรษ 2510 และได้รับรางวัล ส.ป.อ. ซึ่งเป็นรางวัลขององค์การสนธิสัญญาป้องกันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อ พ.ศ.2515 รางวัลนี้พิจารณาจากนวนิยายที่มีเนื้อหาสะท้อนสังคมเป็นหลัก ดังจะเห็นว่านวนิยายที่ได้รับรางวัลนี้ ส่วนใหญ่มีเนื้อหาสะท้อนสังคมไทย และได้รับการยกย่องมาถึงปัจจุบัน อาทิ เขาชื่อกานต์, จดหมายจากเมืองไทย, เรือมนุษย์ ฯลฯ
เมื่อย้อนกลับไปอ่านและพิจารณานวนิยายเรื่องตะวันตกดิน แล้ว อยากจะกล่าวว่า “กฤษณา อโศกสิน” เป็นผู้มาก่อนกาล มีความ “กล้า” ในการนำเสนอเนื้อหาอย่างมาก ตีแผ่สังคมไทยในช่วงเวลาดังกล่าวได้อย่างถึงแก่น และยังตีแผ่สันดานดิบของมนุษย์ที่ทำทุกอย่างเพื่อถีบตัวเองให้อยู่ไปอยู่ในจุดสูงสุดตามที่ตนต้องการ
แม้ชื่อเรื่องตะวันตกดิน จะทำให้เราเข้าใจถึงหลักอนิจจังทางพุทธศาสนา ชีวิตมีขึ้น มีลง ไม่มีอะไรแน่นอน ยกเว้นแต่ความดีที่คงทนและพิสูจน์ให้เห็นว่าอยู่เหนือกฎแห่งธรรมชาตินี้ ชะตากรรมของมนุษย์ล้วนดำเนินไปตามผลกรรมที่ทำไว้ กฤษณาได้ชี้ให้เห็นว่าความสำเร็จอันเกิดจากการถีบตัวเองไปสู่จุดสูงสุดตามที่ตนต้องการนั้น ล้วนได้รับความทุกข์ทั้งทางกายและทางใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านจิตใจ ตัวละครเกือบทุกตัว ล้วนตกอยู่ในเพลิงทุกข์ กระวนกระวายไม่สบายใจ มีชีวิตอยู่อย่างหวาดระแวง
ที่กล่าวว่า “กฤษณา อโศกสิน” มีความกล้าในการนำเสนอนวนิยายเรื่องนี้ ก็เพราะช่วงเวลาที่นำเสนอนวนิยายเรื่องนี้ สังคมไทยอยู่ในเงื้อมมือของเผด็จการ ซึ่งครองอำนาจมาเป็นเวลานาน ส่งผลให้ “ระบบราชการ” และ “ทหาร” มีบทบาทกุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ รัฐราชการที่สร้างขึ้นนั้น ทำให้ผู้เป็น “นาย” มีอำนาจสั่งการให้ “คน” ในอาณัติของตนทำสิ่งใดก็ได้ แม้สิ่งนั้นจะกระทบต่อจริยธรรมของสังคม
โสรวาร เป็นตัวละครที่มีสีสันมากที่สุดตัวหนึ่งในบรรณพิภพของไทย กฤษณาจำลองภาพชีวิตของเขาตามแบบข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ทะเยอทะยานและทำทุกอย่างเพื่อไปสู่ความก้าวหน้า กฤษณาปูพื้นฐานชีวิตของโสรวารให้มาจากครอบครัวยากจน ขาดไร้ทุกสิ่งทุกอย่าง เขาจึงสำนึกว่าตนเองมีความ “พร่อง” อยู่ตลอดเวลา และสำนึกนี้ก็ผลักดันให้เขาทำทุกอย่างเพื่อ “เติมเต็ม” จนทัดเทียมผู้อื่น โสรวารเติบโตในวงราชการในฐานะเลขานุการของเวศม์ ข้าราชการระดับสูงคนหนึ่ง เขาคล่องแคล่ว ไม่เคยปฏิเสธคำสั่งนาย และเป็นมือเป็นตีนให้แก่เวศม์อย่างเต็มที่ แม้เมื่อเวศม์ถึงแก่กรรมลง ความคล่องแคล่วที่ช่วยให้เวศม์ได้ผลประโยชน์ต่างๆ นานา ก็ยังทำให้ข้าราชการชั้นสูงอื่นๆ อยากได้เขาไปทำหน้าที่นั้นด้วย สิ่งนี้สะท้อนภาพระบบข้าราชการที่ “มีนอก มีใน” และเอื้อต่อการแสวงหาผลประโยชน์
โสรวารเริ่มต้นแสวงหาผลประโยชน์จากวิธู ภรรยาของเวศม์ เมื่อเวศม์ตาย วิธูเป็นม่าย ด้วยความใกล้ชิด เธอจึงเผลอไผลมีใจให้แก่โสรวาร คนสนิทของสามี และตกเป็นทาสกามารมณ์ของเขา แต่โสรวารก็ละเลยที่จะรับผิดชอบดูแล กลับเห็นวิธูเป็นแค่เหยื่อของการแสวงหาบทบาทในระบบราชการ
ด้วยความทะเยอทะยานของโสรวารและตัวละครอีกหลายตัวในเรื่อง ทำให้เหล่าตัวละครก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทว่าความสำเร็จดังกล่าวเกิดจาก “ระบบอุปถัมภ์” ซึ่งเป็นระบบที่ฝังรากลึกในสังคมไทยมาช้านาน ดังที่กฤษณาเสนอตัวละครที่เรียกว่า “นาย” กฤษณาจงใจใช้คำนี้เรียกตัวละคร อันแสดงให้เห็นความเป็นใหญ่ เป็นนายเหนือบุคคลอื่น นายเป็นผู้สนับสนุนผลักดันให้คนที่อยู่แวดล้อม หรือเกี่ยวพันกับระบบราชการประสบความสำเร็จได้ ก็ทำให้ตกต่ำล้มเหลวได้เช่นกัน
ระบบอุปถัมภ์นี้ย่อมมี “การให้–การรับ” ผู้ “ให้” ย่อมได้ “รับ” สิ่งที่ต้องการจากนาย อันได้แก่ โอกาสในวงราชการ แต่สิ่งที่กฤษณากล้าเปิดเปลือยความเน่าเฟะของระบบราชการก็คือ การใช้กามารมณ์เป็นเครื่องมือในระบบอุปถัมภ์ นายมีจิตวิปริตทางเพศ เขาพึงพอใจและมีความสุขทางกามารมณ์จากการได้หลับนอนกับภรรยาของผู้อื่น หากผู้อื่นนั้นเป็นข้าราชการแล้วยอมให้เขามีความสัมพันธ์กับภรรยา เขาจะยิ่งพึงพอใจ ความสุขของเขาคือการได้เห็นความทุรนทุราย เสียดาย หึงหวง แต่ไม่สามารถตอบโต้เขาได้ ประหนึ่งเป็นทาสที่ถูกนายแย่งของรักไปต่อหน้าต่อตา
กฤษณาสร้างตัวละคร ทัณฑิกา หญิงสาวผู้ยึดมั่นในความดี และเลือกที่จะปฏิเสธโอกาสใดๆ หากโอกาสนั้นได้มาจากความไม่เป็นธรรม ทัณฑิกาจึงเป็นเสมือนตัวแทนของคุณธรรม อันเป็นอุดมการณ์ที่หาได้ยากยิ่งในสังคมยุคนั้น หญิงสาวเตือนสติตัวละครรอบข้าง แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล การแสวงหาโอกาส อำนาจ และผลประโยชน์ยังดำเนินต่อไปภายในระบบที่แข็งแกร่งที่สุดในสังคมไทย นั่นคือระบบอุปถัมภ์
ตะวันตกดิน จึงเป็นเรื่องพัวพันระหว่างกามารมณ์ ความโลภ กับอำนาจในระบบอุปถัมภ์ของสังคมไทยซึ่งกฤษณาสะท้อนในช่วงทศวรรษ 2510 อันเป็นช่วงที่สังคมไทยอยู่ในอำนาจเผด็จการอย่างสืบเนื่องยาวนาน แม้ใน พ.ศ.2514 อันเป็นปีที่นวนิยายเรื่องนี้นำเสนอต่อสายตาผู้อ่าน รัฐไทยก็อยู่ในเงื้อมมือของจอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งยึดอำนาจตนเอง นำพาประเทศชาติเข้าสู่วังวนเผด็จการ ดังนั้น การที่กฤษณาเลือกจะใช้สรรพนามผู้เป็นใหญ่ว่า “นาย” จึงสะท้อนระบบอำนาจของสังคมไทย และเป็นการเสียดสีอย่างรุนแรง ขณะเดียวกัน การที่แสดงให้เห็นว่าความฟอนเฟะของระบบอุปถัมภ์ที่กัดกินสังคมไทยมาเนิ่นนานนั้นก็คือ กิเลส คือความโลภ อยากได้อยากมี กับตัณหา คือกามารมณ์ อันเป็นสันดานดิบของมนุษย์
ละครโทรทัศน์เรื่องตะวันตกดิน ที่จะเสนอฉายนี้ นับว่ามาถูกเวลาอย่างยิ่ง เพราะคนในสังคมไทยเริ่มเข้าใจคำว่า “ระบบอุปถัมภ์” มากพอสมควร เพียงแต่วิธีการแสวงหาอำนาจจากการให้และรับอาจเปลี่ยนจากกามารมณ์ไปเป็นผลประโยชน์อย่างอื่น ซึ่งมีความซับซ้อนมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
แม้อำนาจจะเป็นเหมือนตะวัน ที่ย่อมมีวันตก แต่ผู้อยากได้อำนาจก็ยังเชื่อว่า เมื่อ “ตก” ได้ก็ “ขึ้น” ได้ เหตุฉะนี้แล สังคมไทยจึงยังต้องวนเวียนอยู่กับความฟอนเฟะเช่นเดิมต่อไป
คอลัมน์: มองไทยในสื่อบันเทิง
เรื่อง: ลำเพา เพ่งวรรณ
ภาพ: อินเตอร์เน็ต