โยมทั้งหลาย พระอาทิตย์ให้แสงสว่างแก่ดวงตา ปัญญาให้แสงสว่างแก่ดวงใจ
ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่สาธุชนคนดีทุกท่าน ได้เวลาเติมธรรมะให้แก่ดวงใจอีกเช่นเคย
ที่อาตมาหยิบยกคำพูดที่ว่า พระอาทิตย์ให้แสงสว่างแก่ดวงตา ปัญญาให้แสงสว่างแก่ดวงใจ เพราะแสงสว่างเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ พืช ส่วนมากแล้วล้วนต้องการแสงสว่างทั้งนั้น
โยมรู้ไหมว่า ยามโลกขาดแสงแห่งอาทิตย์ ย่อมมืดมิดมองอะไรก็ไม่เห็น ยามจิตขาดปัญญาพาลำเค็ญ ย่อมไม่เห็นดีชั่วที่ตัวทำ แสงสว่างเป็นสิ่งสำคัญ ในตอนกลางวันไม่มีปัญหาอะไร เพราะมีแสงของดวงอาทิตย์ แต่เมื่อถึงตอนเย็นความมืดเข้าครอบคลุม คนเราจะทำอะไรก็ไม่สะดวกสบาย จึงได้มีนักวิทยาศาสตร์คิดค้นพลังงานและอุปกรณ์ที่จะช่วยให้มนุษย์ได้รับแสงสว่างในเวลากลางคืน
นี่เป็นการแก้ปัญหาเพื่อให้คนเรามีแสงสว่างสำหรับตาของเรา สิ่งที่จำเป็นมากอีกอย่างคือแสงสว่างจากภายใน คือใจของเรา ทางพระพุทธศาสนาบอกว่าดวงตาเห็นธรรม เมื่อเราเข้าถึงธรรมะ มีดวงตาเห็นธรรม เราจะมีความสว่างทั้งภายนอกและภายใน ดังคำพูดที่ว่า “สว่างตาด้วยแสงไฟ สว่างใจด้วยแสงธรรม”
โยมทุกท่าน สรรพสิ่งในโลกนี้ไม่ได้มีอะไรมากมาย มันมีแค่สามอย่าง คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป นี่เป็นความจริงที่ง่าย สั้น และเป็นเช่นนี้ทุกสรรพสิ่ง แต่คนเราไม่เข้าใจ ไม่ยอมรับความเป็นจริง มองว่าทุกอย่างเมื่อเกิดขึ้นและตั้งอยู่แล้ว ก็จะต้องอยู่กับเราตลอดไป สิ่งนี้คือสาเหตุของความทุกข์ ความยึดมั่น ถือมั่นว่าสิ่งนี้เป็นของกู เป็นตัวกู
พระพุทธองค์จึงสอนให้เรายกระดับจิตใจของตนให้สูงขึ้นกว่าการเป็นคน เพราะคนมาจาก ค ควาย กับ น หนู คือ ชีวิตที่เป็นไปด้วยความเขลาและวุ่นวาย ให้เรายกจิตเป็นมนุษย์ คือคนที่มีใจสูง ไม่ให้ความโลภ ความโกรธ ความหลง เข้ามาบังตา จนทำให้จิตใจมืดบอด เราต้องเป็นมนุษย์นะโยม อย่าเป็นนกเขาที่ร้องว่าของกู ของกู อยู่ตลอดเวลา
สิ่งที่สำคัญมาก ซึ่งพระพุทธองค์ทรงสอนคือ ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต มีสติทุกลมหายใจเข้าออก ไม่ว่าเราจะทำอะไรให้มีสติกำหนดรู้ ไม่ปล่อยใจให้ล่องลอยแบบไม่มีจุดหมาย ให้จิตกำหนดอยู่กับปัจจุบันขณะ ถ้าเราทำได้แบบนี้ก็เป็นการปฏิบัติธรรมไปในตัว ไม่จำเป็นจะต้องเข้าวัดนุ่งขาวห่มขาว ถ้าเรานุ่งขาวห่มขาว แต่ไม่กำหนดรู้ เข้ามาแล้วก็จับกลุ่มนินทาคนโน้นคนนี้ มันก็ขาวแค่ชุด แต่จิตนั้นดำเหมือนเดิม
ดังนั้น สติคือดวงตา ปัญญาคือแสงสว่าง หากพร้อมทั้งสองอย่าง ชีวิตจะว่างจากความทุกข์ทุกกาลสมัย
เอาละโยม เข้าเนื้อหากันมาพอหอมปากหอมคอ ขอคุยเรื่องชีวิตในยุคโควิดกันสักนิด ยุคนี้เราต้องปรับตัวกันพอสมควร สำหรับคนที่ต้องออกไปทำงาน คนที่ชอบพบปะสังสรรค์
ก็อย่างว่านะโยม เมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้ เราก็ต้องปรับตัว ที่สำคัญคือ เราต้องปรับใจ ยอมรับความเป็นจริง
อย่างโยมคนหนึ่งพูดได้ดีมาก อาตมาจึงนำมาเล่าต่อให้โยมได้ฟังกัน เขาพูดว่าผมขอให้ทุกท่านเลิกกังวลเรื่องโควิดได้แล้วครับ ผมลองมาคิดดู โควิดนั้นไม่น่ากลัว เราสามารถอยู่ร่วมกับมันได้ เราต้องมองโควิดให้เหมือนกับเมียนั่นแหละครับ เมียไม่ให้เราออกนอกบ้าน โควิดก็ไม่ให้เราออกนอกบ้าน เมียไม่ให้เราไปสังสรรค์ โควิดก็ไม่ให้เราไปสังสรรค์ เมียไม่ให้เราจับธนบัตร โควิดก็ไม่ให้เราจับธนบัตร โควิดให้เราทำความสะอาดล้างมือบ่อยๆ เพื่อฆ่าเชื้อ เมียก็ให้เราซักผ้า ล้างจาน ถูบ้าน ขัดห้องน้ำ เพื่อฆ่าเชื้อ สรุปให้เรากลัวโควิดเหมือนเรากลัวเมีย เรารอดแน่นอนครับ ผมรับรอง
#สู้โควิด แต่ไม่สู้เมีย#
เอ่อ! มันก็จริงนะโยม พอเปลี่ยนความคิดชีวิตก็เปลี่ยน ถ้าเราไม่เปลี่ยนความคิด ชีวิตก็ติดอยู่กับความทุกข์
นี่แหละโยม อาตมากำลังจะบอกว่าสารตั้งต้นแห่งความสุขคือ การเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนมุมมองของชีวิต คนที่มีความสุขไม่ใช่ว่าไม่มีความทุกข์นะโยม แต่เขารู้จักมองหาความสุขในความทุกข์ที่เกิดขึ้น ถ้าเรามองเห็นก็แสดงว่าเราลดความทุกข์ ความสุขย่อมบังเกิด
ในพุทธศาสนาสอนไว้ชัดเจนว่า สิ่งทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นประธาน ถ้าเราเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม รู้จักมองโลก มองโลกให้มีเสียงหัวเราะมากกว่าเสียงร้องไห้ ชีวิตก็มีความทุกข์น้อยลง
พูดแบบง่ายๆ เราเกิดมาอยู่ในโลก ไม่ได้เกิดมาแบกโลก เมื่อเราเกิดมานั้นไม่มีอะไรติดมือมาเลย
ทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตถือว่าเป็นกำไร ฝึกใจตนเองให้ยอมรับความจริง สิ่งนี้จะทำให้เรามีชีวิตที่เรียบง่ายและมีความสุข
สรุปคือ ความสุขเริ่มต้นจากใจเรา เริ่มต้นจากวิธีการคิด ปรับเปลี่ยนชีวิตให้เรียบง่าย อย่าไปคิดแทนคนอื่น อย่าเอาทุกข์ของคนอื่นมาเป็นทุกข์ของตน ที่สำคัญที่สุดคือมีสติ ไม่ฟุ้งซ่าน ปล่อยวางจะเป็นตัวหารความทุกข์ แต่ฟุ้งซ่านเป็นตัวคูณ ถ้าเราปล่อยวางได้ ความทุกข์จะลดลงไปเรื่อยๆ แต่ถ้าฟุ้งซ่าน ความทุกข์จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน
เจริญพร
คอลัมน์: ธรรมะอมยิ้ม
เรื่อง: พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต
ภาพ: ขวัญญาณี ศิรธนอนันต์