หากคุณเป็นคนชอบอ่านปกหลังหรือคำนำของหนังสือ เพื่อรู้จักหนังสือก่อนตัดสินใจซื้อ หรือชอบอ่านปกเทปหรือปกซีดีเพื่อรู้ที่มาของเพลงนั้นๆ เราแนะนำบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ซึ่งน่าจะเหมาะกับคุณ เพราะเราจะพาคุณเข้าไปรู้จักกับเบื้องหลังแนวคิด แรงบันดาลใจ และสารจากผู้ประพันธ์ “สารคดี” ทั้ง 5 เล่ม ที่ผ่านเข้ารอบ “Short List” งานประกวดหนังสือดีเด่น รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 16 ประจำปี 2562 ซึ่งจะประกาศผลในวันที่ 30 กรกฎาคม ศกนี้ ก่อนจะรู้ผลว่าเล่มใดที่คว้าชัย เรามาทำความรู้จักทั้งห้าเล่ม และร่วมลุ้นผลไปพร้อมกัน

           

140 ปี “การ์ตูน” เมืองไทย

ประพันธ์โดย “ไพศาล ธีรพงศ์วิษณุพร”

“การ์ตูน” ที่แรกเริ่มเดิมที ชาวสยามยังอ่านออกเสียงแบบชาวยุโรปตามขนบของผู้คนเมื่อครั้งอดีตว่า “คาทูน” หรือ “คาร์ทูน” จนกลายมาเป็นคำเขียนว่า “การ์ตูน” เยี่ยงปัจจุบันในที่สุด

อะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดผลงานชิ้นนี้

เบื้องแรก ผมอยากทราบเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของ “สื่อการ์ตูน” ในยุคก่อนที่ผมจะได้รับรู้ จึงพยายามขวนขวายหาอ่าน แต่พบว่าไม่มีใครเขียนปรากฏเลย แม้แต่หนังสือ ตำนานการ์ตูน ของ “พี่จุก เบี้ยวสกุล” ที่ได้รวบรวมจัดพิมพ์ไว้ ก็มิได้เรียบเรียงเรื่องราวเหตุการณ์ช่วงต่างๆ ของการ์ตูนเมืองไทยไว้อย่างเป็นลำดับ ในที่สุดผมจึงตัดสินใจลงมือค้นคว้าหาข้อมูล และทำการเขียนเสียเอง จนสำเร็จเป็นหนังสือเล่มนี้

สารคดีเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร ทำไมเราถึงอยากพูดถึงเรื่องนี้

เนื้อหาของหนังสือ 140 ปี การ์ตูนเมืองไทย จึงว่าด้วยประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคเริ่มแรก ไล่เรียงมาจนถึงปัจจุบันของวิวัฒนาการ และการพัฒนาเปลี่ยนแปลงสำหรับ “สื่อการ์ตูน” ประเภทต่างๆ ในเมืองไทย ซึ่งมีองค์ประกอบ มีเงื่อนไขปัจจัยหลากหลาย ที่ส่งผลกระทบและผลักดันให้เกิดการพัฒนาเปลี่ยนแปลง โดยผมมองว่าจะมากจะน้อย “สื่อการ์ตูน” ในปัจจุบันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่มีอิทธิพลไม่มากก็น้อย ต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนบางกลุ่ม

หนังสือเรื่องนี้จะพาผู้อ่านเข้าไปพบกับอะไรบ้าง ถ้าคนที่ไม่ได้อินกับการ์ตูนยังได้อรรถรสจากหนังสือเล่มนี้หรือไม่

เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ นอกจากจะพาผู้อ่านไปรู้จักจุดเริ่มต้น ตลอดจนที่มาที่ไปของ “สื่อการ์ตูน” ในเมืองไทยแล้ว ยังได้รับรู้ถึงการพัฒนาเปลี่ยนแปลงของ “สื่อการ์ตูน” แต่ละชนิดของไทย ว่ามีอะไรบ้าง ที่ส่งผลกระทบ หรือมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหว พัฒนา เปลี่ยนแปลงของการ์ตูนเมืองไทยในแต่ละช่วงเวลาบ้าง และจะพบว่าการพัฒนาเปลี่ยนแปลงของการ์ตูนในเมืองไทยนั้น ล้วนมีส่วนเชื่อมโยง สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความเป็นไปในทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง ขนบจารีตประเพณี หรือศาสนา ไม่มากก็น้อย ซึ่งเชื่อว่าแม้ไม่ใช่คนที่สนใจ ฝักใฝ่ หรือชื่นชอบการ์ตูน ก็น่าจะได้อรรถรสจากการอ่านหนังสือเล่มนี้ ที่ส่องสะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนา เปลี่ยนแปลงของกระแสสังคมกับกระแสของ “สื่อการ์ตูน” ที่ดำเนินไปอย่างสอดคล้องร่วมกัน จนไม่อาจแยกแยะ

เสน่ห์ของการ์ตูนที่ทำให้คุณหลงใหลคืออะไร

เสน่ห์ที่น่าหลงใหลชื่นชอบของ “สื่อการ์ตูน” ก็คือคุณลักษณะเฉพาะของสื่อการ์ตูนเอง ที่มีจุดเด่นในการนำเสนอด้วย “ภาษาภาพ” ที่สามารถรับรู้ทำความเข้าใจได้โดยง่าย แม้จะไม่มีตัวอักษรใดๆ ปรากฏอยู่เลย และสื่อการ์ตูนยังเปี่ยมล้นไปด้วยจินตนาการ มีการสื่อแสดงอารมณ์ ความรู้สึกที่หลากหลาย โดยเฉพาะความตลกขบขัน ความสนุกสนานบันเทิง และคนทุกเพศทุกวัย ล้วนสามารถเข้าถึงหรือเสพรับ “สื่อการ์ตูน” ได้อย่างง่ายดาย ไม่ยากเกินกว่าจะรับรู้เพื่อทำความเข้าใจเลย

 

     

Homo Finishers สายพันธ์เข้าเส้นชัย

ประพันธ์โดย “นิ้วกลม”

เมื่อผู้ชายที่ไม่ชอบการวิ่งแม้แต่น้อยลุกขึ้นวิ่ง ตั้งเป้าไปมาราธอนภายในหนึ่งปี ระหว่างทางเขากลับได้พบอะไรบางอย่างในชีวิตที่มากไปกว่าความแข็งแรงของร่างกาย หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการพลังชีวิต ไม่ว่าคุณจะชอบวิ่งหรือไม่ก็ตาม!

อะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดผลงานชิ้นนี้

​ช่วง 2-3 ปีก่อนหน้านี้ ผมตกลงไปในหลุมของความเบื่อหน่ายชีวิต รู้สึกสิ้นไร้พลังและแรงบันดาลใจในการทำสิ่งต่างๆ ในเวลานั้นเป็นช่วงที่ผมลุกขึ้นมาเริ่มต้นวิ่งอย่างจริงจัง ทำให้พบความเปลี่ยนแปลงมากมายในร่างกายและจิตใจของตัวเอง ได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างผ่านการวิ่งซึ่งสามารถนำมาปรับใช้กับการดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี จึงอยากถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือเพื่อแบ่งปันประสบการณ์การเรียนรู้ครั้งนี้ครับ

ผลงานเกี่ยวกับอะไร ทำไมเราถึงอยากพูดถึงเรื่องนี้

​รวบรัดที่สุด นี่คือหนังสือของชายวัยสามสิบปลายผู้ห่างหายจากการออกกำลังกายไปเนิ่นนานที่ลุกขึ้นมาบอกกับตัวเองว่า “ฉันจะไปมาราธอน” ผมคิดว่าการเรียนรู้ผ่านการพัฒนาตัวเองจากจุดที่อ่อนด้อยอย่างยิ่ง ไปสู่ความสำเร็จที่เส้นชัยอันไกลโพ้นและยากเย็นนั้นน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน รวมทั้งสร้างแรงพลังภายในใจให้ลุกขึ้นเพื่อพิชิตอุปสรรคต่างๆ ในชีวิต และแน่นอน หากอ่านแล้วอยากลุกขึ้นมาวิ่ง ดูแลตัวเอง รวมถึงไปมาราธอนบ้าง ย่อมเป็นเรื่องที่น่าดีใจ

หนังสือเล่มนี้จะพาผู้อ่านไปพบกับอะไรบ้าง

​หนังสือไม่ได้พูดถึงเทคนิคการวิ่งโดยตรง แต่มีการสอดแทรกอยู่เป็นระยะ นี่ไม่ใช่สารคดีของการเตรียมร่างกายเพื่อออกวิ่ง หากคือการเตรียมหัวใจเพื่อเดินทางไกล เพื่อก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง เพื่อเติบโตงอกงาม แล้วกลายเป็นคนใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเดิม ค้นพบตัวเราอีกคนหนึ่งที่เราไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาซ่อนอยู่ในตัวเราเอง รวมถึงการสร้างนิสัยของคนไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ สู่การกลายเป็น Finisher ในสนามชีวิต ขณะเดียวกันสารคดีเล่มนี้ยังสอดแทรกเรื่องราวขอนักวิ่งที่มีความน่าสนใจอันหลากหลาย เช่น นักวิ่งที่เก่งที่สุดในโลก นักวิ่งผู้สร้างตำนานมาราธอน นักวิ่งตาบอด รวมถึงนักวิ่งผู้สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนนับพันนับหมื่น

มี message อะไรที่อยากส่งถึงคนอ่านหรือสะท้อนสังคมผ่านงานเขียนชิ้นนี้ไหม

​ผมได้เรียนรู้ว่า ชีวิตที่ดีไม่ใช่ชีวิตที่ไร้อุปสรรค หากคือชีวิตที่มีอุปสรรคที่มีความหมาย สิ่งนี้จะทำให้ชีวิตมีพลัง แล้วมีแต่การก้าวข้ามเรื่องยากเท่านั้นที่ทำให้เราเติบโต ประเด็นสำคัญคือ การมีชีวิตอยู่นั้นต้องเติบโตงอกงาม หาไม่แล้วก็ไม่ต่างอะไรกับไม้แห้งที่ตายแล้ว และเมื่อเราเติบโตงอกงาม ตัวเราเองจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นอีกด้วย

การวิ่งให้อะไรแก่คุณบ้าง

​การวิ่งทำให้ผมรับรู้ว่าตัวเองละเลยร่างกายของตัวเองไปมากเพียงใด ได้รู้ว่าการหมกมุ่นอยู่แต่กับความคิดนั้นทำให้ชีวิตเสียสมดุล เราจำเป็นต้องใช้ร่างกายมากเท่าๆ กับสมอง มันพาพบท่องเที่ยวไปในร่างกายในแง่มุมที่ผมไม่เคยรู้จัก ผมได้รู้ว่าหัวใจเหนื่อยง่าย กล้ามเนื้ออ่อนแรง ขณะเดียวกันมันก็บอกกับผมว่า ไม่มีอะไรสายเกินไป เพียงหันกลับมาดูแลร่างกาย มันก็จะฟื้นตัวกลับมา กระทั่งสามารถแข็งแกร่งกว่าที่เคย

​การทำเช่นนี้ต้องการความมุ่งมั่นตั้งใจ วินัยในตัวเอง การกำหนดเป้าหมายที่ท้าทายพอ รวมถึงกัลยาณมิตรที่ช่วยกันผลักดันแนะนำ ผมได้เรียนรู้ว่า ชีวิตต้องการความสมดุล การขยับร่างกายคือการดูแลสมองไปพร้อมๆ กัน การลงมือทำนั่นทำให้ชีวิตมีพลัง แทนที่จะนั่งคิดอยู่เพียงอย่างเดียว และวินัยที่ตั้งใจอย่างเต็มเปี่ยมจะนำมาซึ่งความเป็นอิสระจากข้อจำกัดทั้งหลาย เพราะวินัยในการซ้อมทำให้เราเคลื่อนไหวอย่างไร้กังวลในสนามจริง ไม่ใช่แค่ในสนามวิ่ง แต่ยังรวมถึงสนามอื่นๆ ในชีวิต

 

   

Sportlight เกมนอกสนาม

ประพันธ์โดย “วิศรุต สินพงศพร”

รวบรวมเรื่องราวทั้งในและนอกสนาม ของเหล่านักกีฬาผู้แลกหยาดเหงื่อกับความฝัน และใช้ทุกแรงผลักดันที่จะแสดงให้เห็นว่ากีฬาไม่ใช่แค่การแข่งขัน   แต่เป็นทั้งชีวิตสำหรับใครบางคน ซึ่งในเล่มได้รวมผลงานคัดสรรจากเจ้าของ “วิเคราะห์บอลจริงจัง” เพจเฟซบุ๊กที่พูดเรื่องกีฬาให้คนไม่ดูกีฬาก็อ่านเข้าใจได้ การันตีด้วยยอดผู้ติดตามกว่าแสนคน!

อธิบายถึงผลงานเกี่ยวกับอะไร ทำไมเราถึงอยากพูดถึงเรื่องนี้

มีคำกล่าวว่า คนยุคนี้มีโควต้าอ่านหนังสือไม่เกิน 8 บรรทัด ผมอยากพิสูจน์ให้เห็นว่า เป็นเรื่องเหลวใหลทั้งเพ ผมเชื่อเสมอว่า  ถ้าหากงานเขียนดีจริงๆ คนก็จะอ่านเอง ซึ่งเราอยากตั้งใจเขียนให้ดีที่สุด เพื่อให้คนรู้สึกว่าอ่านงานของเราแล้วมันคุ้มค่ากับเวลาของเขา Sportlight เกมนอกสนาม เป็นเรื่องจริงที่เขียนจากชีวิตของคนในวงการกีฬา ผมอยากพาทุกคนไปดูว่า เกมกีฬา มันไม่ได้มีแต่ผลการแข่งขัน แต่มีสิ่งมหัศจรรย์ซ่อนอยู่ระหว่างทางมากมาย บางครั้งผลแพ้ชนะ มันไม่ใช่เรื่องที่สำคัญเลย

หนังสือเล่มนี้พาผู้อ่านเข้าไปพบกับอะไรบ้าง ยิ่งกับคนที่ไม่สนใจกีฬาเขายังอ่านเล่มนี้ได้อย่างเพลิดเพลินไหม

สองสิ่งที่ผู้อ่านจะได้รู้จากเล่มนี้ ข้อแรกคือ เรื่องจริงที่ไม่เคยรู้มาก่อน ลองคิดภาพตามว่าหนังที่เป็น Based on true story มันกระตุ้นความรู้สึกของคนให้อยากดูแค่ไหน หนังสือที่เขียนจากเรื่องจริงก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างกัน และข้อ 2 ภายในเรื่องจริงนั้นเชื่อหรือไม่ว่า มีความมหัศจรรย์ซ่อนอยู่มากมาย แค่การกระทำหนึ่งอย่างที่ดูง่ายๆ แต่ใครจะรู้ว่ามันมีสตอรี่เบื้องหลังซ่อนอยู่เยอะมาก ในเรื่องเขียนด้วยภาษาเข้าใจง่ายที่สุด และมีผู้อ่านไม่น้อยที่ไม่ใช่คอกีฬาเลย แต่ก็ยังเอ็นจอยไปกับการอ่านได้จนจบเล่มครับ

มี Message อะไรไหมที่อยากส่งถึงคนอ่าน หรือสะท้อนสู่สังคมผ่านงานเขียนชิ้นนี้

Message ที่อยากบอกผู้อ่าน คือในโลกนี้ ไม่ได้มีแค่ ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ แต่การมองลึกลงไปถึงเหตุผลว่า “ทำไม” นั่นจะทำให้เราเห็นภาพรวมของสิ่งต่างๆ ชัดเจนขึ้น อยากให้คนอ่าน และสังคม ตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆ เยอะๆ ตั้งคำถามว่าทำไมเขาต้องทำแบบนั้นลงไป เขาแค่ทำไปตามอารมณ์หรือจริงๆ มีแรงผลักดันอะไรอยู่เบื้องหลัง งานเขียนชิ้นนี้ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงโลก เพราะรู้ดีว่าตัวเองไม่มีพลังขนาดนั้น แต่แค่อยากให้คนอ่านได้ฉุกใจคิดว่า เวลาคนเราทำอะไรสักอย่างลงไป ต้องมีเหตุผลเสมอ

เสน่ห์ของกีฬาที่ทำให้คุณประทับใจจนอยากถ่ายทอดหรือบอกเล่าคืออะไร

เพราะกีฬาคือภาพจำลองของชีวิต อย่างผู้ชนะในสนาม คุณรู้ไหมว่า กว่าเขาจะเป็นวินเนอร์ เขาต้องฝ่าฟันอะไรมาบ้าง เพราะแน่นอนว่า ไม่เคยมีชัยชนะใดๆ ได้มาโดยง่าย เช่นเดียวกับผู้แพ้ คุณรู้ไหมว่าเขาต้องเจ็บปวดหนักขนาดไหนกว่าจะผ่านมันไปได้  ในเกมกีฬานอกจากแพ้กับชนะ มันมีอย่างอื่นที่ซ่อนอยู่ด้วย  ในเมื่อประเทศนี้ยังไม่มีคนคิดจะถ่ายทอดเรื่องราวในมุมนี้ ดังนั้นผมในฐานะที่ตัวเองเป็นนักข่าวกีฬาอยู่แล้ว ก็เลยอยากหยิบมันมาเล่าด้วยการเรียบเรียงที่ละเอียดที่สุดครับ

 

     

ดอกไม้ใต้ภูเขาน้ำแข็ง

ประพันธ์โดย “อรสม สุทธิสาคร”

เรื่องราวความรุนแรงในครอบครัวที่เพศชายกระทำต่อเพศหญิงหลายรูปแบบ ทั้งการทำร้ายด้วยวาจา การนอกใจ ความไม่รับผิดชอบ การเฉยชา ตลอดจนความรุนแรงทางเพศ การกีดกั้นอิสรภาพ การคุกคามวิถีชีวิต ผู้เขียนต้องการสะท้อนเรื่องราวเหล่านี้เพื่อให้สังคมได้หันมาตระหนักร่วมกันว่าปัญหานี้มิได้กระทบต่อคนสองคน แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อลูกและทุกชีวิตในครอบครัว ทั้งยังส่งผลกระทบต่อสังคมโดยตรง

พูดถึงที่มาที่ไปซึ่งทำให้เกิดผลงานชิ้นนี้หน่อย

ในฐานะที่เป็นคนเขียนสารคดีสะท้อนสังคม (โดยเฉพาะสังคมด้านมืด) เราพบเห็นความทุกข์ของคนในสังคมมาตลอด และคิดว่าหน้าที่ของเราคือการสะท้อนสภาพความเป็นจริงให้คนในสังคมได้รับรู้ อย่างน้อยเพื่อจะได้ทำความเข้ใจ มีข้อมูลที่ถูกต้อง เมื่อรู้ราก รู้ที่มาของปัญหา อาจจะหาทางป้องกันได้ หรือหากมีกรณีคนใกล้ตัวที่เกิดขึ้น จะได้พอช่วยเหลือกันได้ หรือแม้ถึงที่สุด หากกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นกับตนเอง จะได้พอรับมือหรือจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นถูก หรือให้กำลังใจตนเอง คนใกล้ตัวได้ ดีกว่าการปิดหู ปิดตาไม่รับรู้ เพราะวันหนึ่งเรื่องราวเหล่านี้อาจเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเรา อีกประการคือเราต้องการให้คนในสังคมมองผู้อยู่ในวังวนของปัญหาเหล่านี้ด้วยความเข้าใจกัน โอบอุ้ม เห็นใจกันมากกว่าจะคิดว่าธุระไม่ใช่ เพราะในฐานะที่เราเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เราต้องอยู่ร่วมกันด้วยความเกื้อกูล รักและเมตตาต่อกัน

อธิบายถึงผลงานเกี่ยวกับอะไร ทำไมเราถึงอยากพูดถึงเรื่องนี้

เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัว ที่ผู้หญิงส่วนหนึ่งต้องประสบ ทั้งความรุนแรงทางเพศ การทำร้ายถากถางกันด้วยวาจา การทำให้ได้รับความอับอาย ดูถูกดูหมิ่นศักดิ์ศรี การนอกใจ การทำร้ายร่างกาย การฆ่า ฯลฯ ที่อยากพูดถึงเรื่องนี้เพราะความเป็นจริง ปัญหาเหล่านี้ซ่อนอยู่ใต้ภูเขาน้ำแข็ง สิ่งที่เรารู้มาแค่เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น การให้ความรู้ ให้ข้อเท็จจริงจากการลงพื้นที่ คือหน้าที่ของคนเขียนสารคดี

หนังสือเรื่องนี้จะพาผู้อ่านเข้าไปพบกับอะไรบ้าง

ผู้อ่านจะได้พบ ได้รับรู้ข้อมูลจากใจส่วนลึกอันรวดร้าว จากจิตใจของผู้หญิงผู้ตกเป็นเหยื่อความรุนแรง ตลอดจนผลกระทบหลายด้าน ทั้งทางจิตใจ สังคม ทางครอบครัว ทางเศรษฐกิจ อาชญากรรม ที่เกิดขึ้นว่า แท้แล้ว ปัญหาความรุนแรงเหล่านี้ไม่ใช่ส่งผลกระทบแค่ผู้หญิงที่เป็นผู้รับผลโดยตรง แต่ยังเกี่ยวข้องกับลูกหลาน พ่อแม่พี่น้อง ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่ปัญหาระดับปัจเจกบุคคล แต่คือปัญหาสังคมโดยรวมที่เราต้องร่วมกันดูแล เพราะหากครอบครัวที่เป็นหน่วยหลักของสังคมอยู่ในภาวะอ่อนแอ เปราะบาง สังคมนั้นก็จะเป็นสังคมที่ไม่ปลอดภัย ไม่น่าอยู่ หรือพิกลพิการได้

ปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิงในสังคมไทยรุนแรงมากแค่ไหนในปัจจุบัน และคนไทยมีความตระหนักรู้ถึงเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน

นับวันปัญหาเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณ และระดับความรุนแรง ที่ซับซ้อนสาหัสขึ้น คนไทยเรายังตระหนักรู้เรื่องนี้กันน้อย อาจรู้ในระดับวิพากษ์วิจารณ์ แต่ความรู้เท่าทันยังไม่มี และยังมีข้อรับรู้ที่ผิด เช่น ผู้ชายที่กระทำความรุนแรงในครอบครัวต้องเป็นคนในระดับล่าง ใช้แรงงาน และผู้หญิงที่ถูกกระทำ ก็เป็นผู้หญิงที่ไร้ การศึกษา ยากจน แต่ในความเป็นจริง ความรุนแรงซ่อนแฝงอยู่ในครอบครัวชนชั้นสูง มีระดับการศึกษา ทั้งคนทำ คนถูกกระทำ นี่คือหนังสือที่จะล้างตา ล้างใจให้ผู้อ่านได้เห็นภาพจริงอย่างถึงที่สุด และมองสังคมด้วยความเข้าใจ และใส่ใจต่อกัน

 

      

สงครามที่ไม่มีวันชนะ: ประวัติศาสต์การต่อสู้ระหว่างมนุษย์และชื้อโรค

ประพันธ์โดย นพ.ชัชพล เกียรติขจรธาดา

เรื่องราวที่ผู้อ่านจะเดินทางไปค้นพบในหนังสือเล่มนี้ เป็นประวัติศาสตร์ของการแพทย์ เป็นมหากาพย์แห่งสงครามระหว่างมนุษย์กับเชื้อโรคที่ดำเนินมาแล้วนับเป็นพัน ๆ ปี และยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่าย ๆ เราจะเดินทางไปดูกันตั้งแต่โลกในยุคสมัยก่อนที่จะมียาปฏิชีวนะนั้นเป็นอย่างไร สู่การค้นพบของนักวิทยาศาสตร์หลาย ๆ คน จนเกิดเป็นทฤษฎีเชื้อโรคหรือ Germ Theory of Disease ขึ้นมา และนำมาสู่การค้นพบยาปฏิชีวนะเมื่อประมาณ 70-80 ปีก่อน

อะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดผลงานชิ้นนี้

เรื่องที่เขียนเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวผมมากครับ ผมเคยเสียคนไข้ไปเพราะปัญหาติดเชื้อแทรกซ้อนและไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะไปหลายคน จริงๆ ไม่ใช่แค่ผมคนเดียว แต่หมอส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับปัญหานี้ดี ปัญหาเชื้อดื้อยาเป็นปัญหาใหญ่ของโลกที่รู้และหวาดกลัวกันมากในวงการแพทย์ แต่ประชาชนทั่วไปยังไม่เข้าใจถึงปัญหานี้มากนักครับ

อธิบายถึงผลงานเกี่ยวกับอะไร ทำไมเราถึงอยากพูดถึงเรื่องนี้

ข้อความหลักคือ ปัญหาเรื่องเชื้อดื้อยาครับ ซึ่งอย่างที่บอกไปก่อนหน้าว่าเป็นปัญหาใหญ่ของการแพทย์ทั่วโลก และอยากให้คนนอกวงการสาธารณสุขได้รับรู้ถึงความสำคัญของปัญหานี้ด้วย ผมสื่อข้อความนี้ ผ่านเรื่องประวัติศาสตร์ สงครามการต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับโรคติดเชื้อ ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นประวัติศาสตร์สำคัญของมนุษยชาติ ไม่ได้จำกัดแค่คนในวงการสาธารณสุขเท่านั้น การค้นพบสิ่งที่ทุกวันนี้เราเรียกว่าเชื้อโรค และการค้นพบยาปฏิชีวนะ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์มนุษย์ ที่ผมอยากจะเล่าให้คนทั่วไปได้รับรู้ในวงกว้างครับ

มี Message อะไรไหมที่อยากส่งถึงคนอ่าน หรือสะท้อนสู่สังคมผ่านงานเขียนชิ้นนี้

ข้อความหลักก็คงเป็น อันตรายจากการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่ระมัดระวังครับ และไม่ใช่แค่ประชาชนทั่วไป แต่การใช้ยาไม่ระวังของบุคลากรในวงการสาธารณสุขด้วย ผมชี้ให้เห็นว่าโลกที่ไม่มียาปฏิชีวนะ หรือยาปฏิชีวนะไม่ได้ผลมีความน่ากลัวแค่ไหน และเราจะทำอะไรได้บ้าง เพื่อเลี่ยงหรือลดความเสี่ยงที่จะเกิดโลกที่น่ากลัวเช่นนั้น

แล้วสงครามระหว่างมนุษย์กับเชื้อโรคยุคปัจจุบันน่าสะพรึงกลัวกว่าแต่ก่อนหรือไม่ และหนังสือเล่มนี้จะช่วยให้ผู้อ่านต่อสู้กับเชื้อโรคด้วยความเข้าใจขึ้นหรือไม่อย่างไร

มีความน่ากลัวที่ต่างกันไปครับ ในอดีตเราจะเห็นความน่ากลัวของโรคติดเชื้อโดยตรง คือ โรคติดเชื้อฆ่าคนโดยตรงไปมากมาย แต่ในปัจจุบันเราอาจจะไม่เห็นความน่ากลัวของโรคติดเชื้อหลายๆ โรคโดยตรงมากนัก แต่โรคติดเชื้อเหล่านี้ยังคงอยู่ และยังคงลอบฆ่าคนมากมายจากภาวะที่ปัจจุบันเรารู้จักกันในคำว่า ภาวะติดเชื้อแทรกซ้อน

ทุกวันนี้เรากลัวโรคไม่ติดเชื้อต่างๆ มากกว่า ไม่ว่าจะเป็น เบาหวาน โรคเส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบตัน โรคมะเร็ง แต่ที่หลายคนไม่ทราบคือ ผู้ป่วยด้วยโรคเหล่านี้จำนวนมาก ไม่ได้เสียชีวิตด้วยโรคเหล่านี้โดยตรง แต่เสียชีวิตจากภาวะติดเชื้อแทรกซ้อน เพราะโรคไม่ติดเชื้อหลายโรคจะมีผลให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อภาวะติดเชื้อมากขึ้น ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ยกตัวอย่างกรณีของคนป่วยโรคมะเร็งจำนวนมาก ก็ไม่ได้เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง แต่เพราะผลข้างเคียงจากการรักษาทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนลง จึงติดเชื้อได้ง่าย และสุดท้ายต้องเสียชีวิตจากเชื้อดื้อยาครับ

ในส่วนท้ายของหนังสือ ผมได้ให้ข้อสรุป หรือแนวทางปฏิบัติคร่าวๆ ที่จะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะเชื้อดื้อยา ทั้งที่จะเกิดกับตัวเราโดยตรง และที่จะเกิดขึ้นในสังคมที่เราอาศัยอยู่ด้วยครับ

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่