Black Mirror เป็นซีรีส์ที่พูดถึงอนาคต ทำนายการเติบโตของเทคโนโลยีว่าจะพัฒนาไปสู่ทิศทางใดแล้วมีอิทธิพลต่อชีวิตคนแต่ละด้านอย่างไร ซีรีส์นี้แต่งเติมจากจินตนาการของชาร์ลี บรูกเกอร์ ซึ่งรับผิดชอบเป็นทั้งผู้สร้างและคนเขียนบท เนื้อหาส่วนใหญ่ฉายภาพสังคมอนาคตในเชิงเสียดสีชวนฉุกคิด รวมถึงด้านมืดของจิตใจที่แปรเปลี่ยนไปตามความทันสมัยของโลก
สองซีซั่นแรกเป็นซีรีส์ที่ฉายทางช่องโทรทัศน์ในอังกฤษ ยังมีลักษณะของหนังทุนต่ำและโทนของหนังดูมีความดิบมากกว่ายุคหลัง ที่เน็ตฟลิกซ์เป็นผู้ออกทุนสร้างแล้วฉายตั้งแต่ซีซั่น 3 เป็นต้นมา สเกลของหนังจึงดูใหญ่ขึ้น ใช้นักแสดงชื่อดังมากขึ้น
ซีซั่นล่าสุดคือซีซั่น 5 น่าจะเป็นซีซั่นที่มีความดาร์คน้อยสุด เนื้อหาค่อนข้างเบาและเสียงตอบรับไม่ดีเท่าซีซั่นก่อนๆ อาทิ ตอน Smithereens เป็นเรื่องการลักพาตัวพนักงานบริษัทโดยชายคนหนึ่งซึ่งมีความลับซุกซ่อนไว้ แม้จะเป็นตอนที่กำกับได้ดี แต่ด้วยประเด็นของหนังเมื่อเฉลยแล้วกลับน้อยนิดและค่อนข้างเชยพอสมควร เมื่อพิจารณาว่าเรามาไกลเกินกว่าที่จะไม่รู้ถึงข้อคิดแนว “สังคมก้มหน้า” ที่หนังพยายามสื่อ
ตอน Rachel, Jack and Ashley Too เป็นตอนที่สนุกในด้านการดำเนินเรื่อง มีความเป็นแอ๊คชั่นให้ลุ้นระทึกเล็กๆ ไมลี่ ไซรัสรับบทเป็นนักร้องชื่อดังที่กำลังมีผลิตภัณฑ์เป็นหุ่นตัวเองขนาดพกพา ซึ่งมีคุณสมบัติคล้าย AI ในตัว คือสามารถอ่านความคิดและความรู้สึกของคู่สนทนาแล้วพยายามโต้ตอบกับเจ้าของเสมือนคนจริง
ความน่าสนใจคือเราจะเห็นหุ่นที่คล้ายคลึงกับคน ในขณะที่คนเอง (ตัวละครที่รับบทโดยไมลี่) กลับมีสภาพเหมือนหุ่น คือถูกควบคุมและลดทอนความสามารถในการรู้สึกนึกคิดเป็นตัวของตัวเอง นอกจากนี้ยังมีจินตนาการด้านเทคโนโลยีน่าตื่นเต้น ในประเด็นที่มีกลุ่มผู้ฉกฉวยโอกาสพยายามแต่งเพลงจากสมองของคนในภาวะโคม่า โดยถอดรหัสจากสัญญาณสมอง เป็นแนวคิดที่ชวนให้พิศวงว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ในอนาคตเราจะสามารถถึงขั้นถอดรหัสความคิดหรือแต่งเพลงจากผู้ป่วยที่ไม่รู้ตัวแล้ว แต่สมองยังทำงานอยู่
น่าเสียดายที่ประเด็น=;oคิดต่อเหล่านั้นเป็นแค่เรื่องขี้ผง ไม่ได้ถูกเน้นให้ความสำคัญเท่าฉากแอ๊คชั่น อันว่าด้วยการช่วยเหลือตัวละครจากเงื้อมมือของคนร้าย
ตอนที่น่าสนใจสุดในซีซั่น 5 จึงเป็น Striking Vipers ซึ่งหนังจบแล้วยังกระตุ้นให้คนดูคิดต่อ ไม่ได้จงใจมอบบทเรียนการใช้ชีวิตแบบตอน Smithereens และก็ไม่ได้เบาๆ เพลินๆ แบบตอน Rachel, Jack and Ashley Too
Striking Vipers พาไปสำรวจเพศวิถี (sexual orientation) ซึ่งเทคโนโลยีทำลายนิยามและขอบเขตแบบเดิมๆ ที่มนุษย์ถูกตีกรอบไว้ ความรักและความสัมพันธ์มักเป็นแง่มุมที่ Black Mirror ทำออกมาได้โดดเด่นเสมอ เช่น ตอนที่ดีที่สุดและเคยได้รางวัลเอ็มมี่อย่าง San Junipero
San Junipero เป็นตอนหนึ่งใน Black Mirror ซีซั่น 3
หนังเปิดเรื่องให้เดาได้ว่าอยู่ในราวๆ ปี 1987 ที่ผู้คนยังเล่นเกมตู้ และฟังเพลงจากเทปคาสเส็ตต์ ยอกี้พบเคลลี่ในสถานบันเทิงชื่อทักเกอร์ของเมืองซานจูนิเปโร่ เคลลี่กำลังรำคาญชายหนุ่มที่ตามตื๊อแล้วไปเจอยอกี้ ซึ่งนั่งเหงาคนเดียว เลยขอยืมตัวเป็นข้ออ้างในการสลัดชายหนุ่ม
เคลลี่เป็นไบเซ็กชวล แต่ยอกี้ไม่เคยมีเซ็กซ์กับใครมาก่อน และเธอก็ดูเหมือนยังไม่แน่ใจในเพศวิถีของตัวเองจนได้คุยกับเคลลี่ที่เธอตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ
แต่เมื่อเคลลี่ชวนยอกี้ไปกระชับสัมพันธ์ต่อที่ห้อง ยอกี้โตมาในครอบครัวค่อนข้างเคร่งชนิดที่ว่าแม้แต่ขึ้นเวทีเต้นรำก็ทำไม่ได้ เธอเปรยว่า “การมีความสุขของฉันอาจทำให้พวกเขา (พ่อแม่) สติแตก” เธอจึงปฏิเสธที่จะเดินตามหัวใจตัวเองไปกับเคลลี่ แล้วหนังก็จบลงเมื่อเวลาผ่านเที่ยงคืน และต้องรออีกหนึ่งสัปดาห์ ยอกี้จึงสามารถมาที่ซานจูนิเปโร่ได้อีก
หนังตอนต่อไปช่วยคลายปริศนา สาเหตุที่พวกเขาพบกันได้เพียงสัปดาห์ละครั้ง เพราะภาพที่เราเห็นในหนังที่เป็นตัวละครสองสาวคือการทำงานของจิตของยอกี้และเคลลี่ ซึ่งในชีวิตจริงทั้งคู่ชรามากแล้ว ยอกี้ป่วยเป็นอัมพาตนอนแน่นิ่งตั้งแต่อายุ 21 ปี มีเพียงสมองที่ยังทำงานได้ ชีวิตที่ผ่านมาของเธอเป็นอย่างที่เธอพูดไว้ข้างต้นคือ โตมาในครอบครัวที่เคร่งศาสนา และการรักเพศเดียวกันของเธอในวัยรุ่นคือสิ่งที่พ่อแม่รับไม่ได้เลย ในขณะที่เคลลี่ป่วยเป็นมะเร็งระยะแพร่ลุกลามจนเหลือเวลาอีกไม่กี่เดือน เธออยากใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายให้สุดเหวี่ยงจึงเข้าไปในซานจูนิเปโร่
ช่วงเวลาที่แท้จริงจึงไม่ใช่ปี 1987 อย่างที่คนดูเห็น เพราะปัจจุบันพวกเขามีชีวิตอยู่ในอนาคตกาลซึ่งเทคโนโลยีสามารถทำให้จิตและสำนึกรู้ตัวของมนุษย์สามารถออกแบบได้แล้วโลดแล่นอย่างเป็นอิสระ แม้ว่าเราจะเป็นอัมพาตหรือชราภาพ เช่น เราจะออกแบบร่างกายของเราให้เป็นแบบไหนก็ได้ หรือเลือกไปโผล่ยุคไหนก็ได้ แถมในโลกที่จิตเดินทางไปยังสามารถตั้งค่าระดับความเจ็บของร่างกายเป็นศูนย์ เช่น ต่อให้ต่อยกระจกแตกก็ไม่รู้สึกเจ็บ
นอกจากนี้เทคโนโลยีในยุคนั้นยังสามารถเลือกได้ว่าให้ความตายเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิต หรือจะอัพโหลดจิตขึ้นไปอยู่ในเมนเฟรมหรือคลาวด์ เราจึงยังมีสำนึกรู้ตัวและดำเนินชีวิตต่อไปแม้ไม่มีกายหยาบอีกแล้ว
San Junipero แสดงให้เห็นว่าอะไรที่เคยเป็นขอบเขตหรือกรอบจำกัดการใช้ชีวิตของมนุษย์ เมื่อโลกอนาคตพัฒนาไปไกลเทคโนโลยีก็สามารถทำลายสิ่งเหล่านั้น โดยเฉพาะในเรื่องความรักและความสัมพันธ์
กายหยาบจะไม่ใช่ข้อจำกัดอีกต่อไปในอนาคต ความเสื่อมของร่างกายตามอายุมากขึ้น ก็ไม่ใช่ข้อจำกัดในการมีความสัมพันธ์ ข้อจำกัดทางร่างกายเช่นเป็นอัมพาตจะไม่สามารถลดทอนความสามารถในการใช้ชีวิต ค่านิยมหรือวัฒนธรรมเฉพาะสังคมก็ไม่ใช่กรอบที่มีอำนาจมากำหนดความสัมพันธ์ของมนุษย์อีกต่อไป (เช่น ต่อให้ครอบครัวหรือประเทศใดที่แอนตี้เกย์และเลสเบี้ยน ก็ไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายในซานจูนิเปโร่) เรียกได้ว่าเทคโนโลยีมาช่วยยกระดับความรู้สึกของเราให้เป็นใหญ่และมีอิสระเสรีกว่าที่ประวัติศาสตร์มนุษย์เคยมีมา
แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเทคโนโลยีสร้างโลกในอุดมคติสำหรับความรักของมวลมนุษย์ เรายังเห็นความขัดแย้งและการหาจุดสมดุลของชีวิตคู่ระหว่างยอกี้กับเคลลี่ แม้มีเทคโนโลยีมาทำลายกำแพงหรือกรอบที่กีดกั้น แต่ยังต้องอาศัยการปรับตัวของคนสองคนซึ่งมีทัศนคติและอุดมการณ์ของชีวิตที่แตกต่างกัน
ดังนั้นแม้เทคโนโลยีจะก้าวไกล และความสะดวกสบายในการเลือกคู่จะเพิ่มขึ้นผ่านแอพพลิเคชั่นและอุปกรณ์ไฮเทค แต่ความรักกับความสัมพันธ์ก็ยังเป็นงานของคนสองคนที่ต้องต่อสู้ไปด้วยกัน มันคืองานของมนุษย์ที่ต้องปรับตัวเข้าหากันและคอยสำรวจตัวเองอยู่เสมอว่าใจของเราต้องการอะไร เรายอมสูญเสียบางส่วนของตัวตนได้หรือไม่ แลกกับการใช้ชีวิตคู่กับคนที่เรารัก นั่นคือคำตอบที่ไม่อาจฝากไว้กับอนาคต เพราะเทคโนโลยีพัฒนาไปไกลเพียงใดก็ไม่สามารถตอบได้ดีเท่าใจของมนุษย์อย่างเราๆ
คอลัมน์: มองโลกผ่านจอ / เรื่อง: “ผมอยู่ข้างหลังคุณ” (www.facebook.com/ibehindyou, i_behind_you@yahoo.com)