ในการคำนวณโครงสร้างอาคาร วิศวกรมีหน้าที่กำหนดขนาดของเสา คาน ขนาดเหล็ก โดยมีค่า safety factor เป็นมาตรวัดระดับความปลอดภัยอาคารนั้น
การให้ค่า safety factor จึงต้องพอดี ต่ำไปจะไม่ปลอดภัย มากไปราคาค่าก่อสร้างก็สูงขึ้น
เนื่องจากหากตึกพัง วิศวกรมีโอ
กาสเข้าคุก วิศวกรบางคนจึงเผื่อค่า safety factor สูงๆ เพื่อให้แน่ใจว่าตึกไม่พัง เช่น ใส่เหล็กเพิ่ม เพิ่มความลึกของคาน เป็นต้น
วิศวกรส่วนใหญ่เผื่อค่า safety factor ไว้พอสมควร มือใหม่ก็อาจเผื่อมากหน่อย มือเก่าแก่ที่มีประสบการณ์สูง ก็เผื่อพอประมาณ เพราะมั่นใจในตัวเอง
การใช้ชีวิตก็ไม่ต่างจากการสร้างตึก
คนไม่น้อยออกแบบชีวิตตนเองโดยให้ค่า
safety factor สูงมาก เพื่อความปลอดภัยว่าไม่ต้องอดอยากยากไร้ เช่น เก็บเงินโดยไม่ยอมใช้ สะสมเงินให้มากที่สุด บ้างก็เก็บเงินไว้หลายบัญชี เพื่อกระจายความเสี่ยง
มีเงินยิ่งมากยิ่งดี
มันสะท้อนว่ามนุษย์ทุกคนต้องการความป
ลอดภัย แต่บ่อยครั้งค่า safety factor แห่งชีวิตก็สูงเกินจำเป็น กลายเป็นชีวิตที่รุงรัง เช่น มีเงินเก็บมากพอใช้ได้หมื่นชาติ
…………………………..
เราได้รับการปลูกฝังความโลภมาแต่เด็ก โ
ดยทางอ้อม อาจโดยไม่รู้ตัว
เราถูกสอนให้เก็บออมมากกว่าความจำเป็น การเก็บออมย่อมเป็นเรื่องดี แต่เมื่อมันมากเกินกว่าความจำเป็นหลาย
ร้อยเท่า หลายพันเท่า มันก็คือความโลภที่ผสมกับความกลัวจนเกินเหตุ
เพราะเมื่อความปลอดภัยสูงเกินไป เราก็เหนื่อยเพิ่มขึ้น เพราะสร้างภาระเพิ่มให้ตัวเอง
มีบ้านหนึ่งหลังดูแลก็เหนื่อยพอสมควร
แล้ว มีสองหลังก็เหนื่อยสองเท่า สามหลังก็เหนื่อยสามเท่า ต่อให้มีคนดูแล ก็มีราคาของความเป็นห่วงแปะทับเพิ่มมา
แปลก! ยิ่งมีเงินมาก ก็ยิ่งเหนื่อยขึ้น
มีเงินเท่าไรจึงจะพอ?
มีเงินเท่าไรก็ไม่พอสำหรับคนที่ไม่ยอมพอ ไม่ยอมหยุด
คนมีปัญญาจึงกำหนดค่า safety factor ของชีวิตแค่ปลอดภัย ไม่เดือดร้อน
…………………………..
มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่มักใช้เป็นตัวอย่าง
ทั้งในเรื่องมุมมองธุรกิจและการใช้ชีวิต ไม่ทราบชื่อผู้แต่ง เรื่องนี้มีหลายเวอร์ชั่น แต่เนื้อหาเหมือนกัน
นักธุรกิจคนหนึ่งไปเที่ยวที่หมู่บ้านชาวประมงที่เม็กซิโก เขาเห็นเรือเล็กลำหนึ่งจอดเทียบท่า ชาวประมงคนหนึ่งกำลังขนปลาทูนาครีบเหลืองหลายตัว
นักธุรกิจชมว่าปลาทูนานั้นเนื้อแน่น มีคุ
ณภาพ เขาถามชาวประมงว่า “ใช้เวลาจับนานไหม?”
ชาวประมงเม็กซิกันตอบว่า “ก็ไม่นาน”
“งั้นทำไมไม่ให้เวลาจับปลานานกว่านั้นล่ะ? จะได้จับปลามากๆ”
“ผมจับปลาแค่พอเลี้ยงครอบครัว”
“แล้วคุณทำอะไรกับเวลาที่เหลือทั้งวัน?”
“ผมนอนดึก จับปลานิดหน่อย เล่นกับเด็กๆ งีบกลางวันกับเมียผม มาเรีย ทุกเย็นก็เข้าหมู่บ้านไปจิบไวน์ เล่นกีตาร์กับบรรดาอมิโก (เพื่อน) ของผม จะว่าไปแล้ว ชีวิตผมก็ยุ่งทีเดียว ซินย
อร์”
นักธุรกิจกล่าวว่า “ผมจบ MBA จากฮาร์วาร์ด ผมแนะนำคุณได้ คุณควรใช้เวลาจับปลานานกว่านี้ เอาเงินที่ได้มาซื้อเรือลำใหญ่ขึ้น แล้วนำรายได้จากเรือลำใหญ่ซื้อเรือเพิ่ม ท้ายที่สุดคุณก็จะมีฝูงเรือประมง…
“ทีนี้คุณควรจะขายตรง ตัดคนกลางทิ้ง ในที่สุดคุณก็จะสามารถเปิดโรงงานปลากระป๋องของคุณเอง คุณควบคุมสินค้า การผลิต การจัดจำหน่าย คุณคงต้องย้ายจากหมู่บ้านประมงเล็กๆ นี่ไปเม็กซิโกซิตี้ จากนั้นก็ไป ลอส แองเจลลิส และสุดท้ายก็นิวยอร์ก ซิตี้ ที่ซึ่งคุณสามารถขยายธุรกิจของคุณ”
ชาวประมงถาม “แต่ ซินยอร์ มันจะใช้เวลานานเท่าไร?”
“15-20 ปี”
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ ซินยอร์?”
“ทีนี้ก็มาถึงตอนที่ดีที่สุด! เมื่อเวลาเหมาะสม คุณก็ประกาศเสนอ IPO ขายหุ้นบริษัทของคุณแก่คนทั่วไป แล้วก็ร่ำรวยมหาศาล คุณจะทำเงินได้หลายล้าน”
“หลายล้าน? ซินยอร์ แล้วไงต่อ?”
“ตอนนั้นคุณก็เกษียณ ย้ายไปอยู่ในหมู่บ้านประมงเล็กๆ ริมฝั่ง ที่ที่คุณสามารถนอนดึก จับปลานิดหน่อย เล่นกับเด็กๆ งีบกลางวันกับเมียคุณ ทุกเย็นก็เข้าหมู่บ้านไปจิบไวน์ เล่นกีตาร์กับบรรดาอมิโกของคุณ”
ชาวประมงยิ้ม กล่าวว่า “นี่ก็เป็นสิ่งที่ผมทำอยู่แล้วมิใช่หรือ?”
วินทร์ เลียววาริณ
winbookclub.com
เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/winlyovarin/
คอลัมน์ ลมหายใจ / เรื่องและภาพ: วินทร์ เลียววาริณ