- ฮิพฮอพเป็นอะไรที่ประชาธิปไตยที่สุด ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับเพลง คุณมีสิทธิ์ออกความเห็นได้หมด เรามองว่าต่างคนต่างกำลังทำงานสร้างสรรค์ เสนอความคิดเห็นของตัวเองผ่านผลงาน เพราะฉะนั้นคนทำผลงานออกมาไม่ผิด และกระแสตีกลับก็ไม่ผิด
- ถ้าเป็นเพลงแนวอื่น ถ้าคุณเล่าเรื่องชีวิต คุณจะถูกจัดหมวดเป็นนักร้องเพลงเพื่อชีวิต แต่ฮิพฮอพไม่เป็นแบบนั้น ไม่ว่าจะเล่าเรื่องอะไรก็ยังเป็นฮิพฮอพ และด้วยความที่แทบจะไร้ขอบเขต ศิลปินก็สามารถพัฒนาผลงานได้อย่างไร้ข้อจำกัด มันเลยเฟรช ฮิพฮอพจึงพัฒนาและแตกแขนงรูปแบบออกมาได้หลากหลาย
ช่วงสองสามปีนี้สังเกตว่าเพลงฮิพฮอพกลับมาคึกคักในวงการเพลงไทยอีกครั้ง หลังจากเงียบหายจากเพลงกระแสหลัก (mainstream) ไปนาน ต้องยกประโยชน์ให้แก่รายการแข่งขันแร็พเปอร์สองรายการ The Rapper และ Show Me The MoneyThailand ที่ปลุกกระแสการแร็พและเพลงฮิพฮอพให้มีชีวิตชีวาอีกครั้ง นำแร็พเปอร์ที่เคยแสดงฝีมืออยู่ในวงการเพลงใต้ดิน ขึ้นมาอวดความสามารถบนดินให้คนทั่วไปได้ประจักษ์ และยังสร้างแร็พเปอร์หน้าใหม่ประดับวงการเพิ่ม จน ณ ปัจจุบัน เพลงฮิพฮอพนับเป็นส่วนหนึ่งของเพลงกระแสหลักที่ไม่ว่าเด็กประถม วัยรุ่น วัยทำงานตอนต้น ต่างนิยมชมชอบฟัง
ครั้งนี้เราได้แร็พเปอร์รุ่นใหม่หญิง-ชาย เฟรม-ศุภัคชญา สุขใบเย็น a.k.a. WonderFrame และ ท็อป-ปฐมภพ พูลกลั่น a.k.a. LazyLoxy ซึ่งแจ้งเกิดจากรายการแข่งขันแร็พ มาขึ้นปก พร้อมพูดคุยถึงกระแสการแร็พ เพลงฮิพฮอพ ความหลงใหล สิ่งที่ทำให้เพลงประเภทนี้โดนใจวัยรุ่นร่วมสมัย รวมทั้งกระแสวิพากษ์วิจารณ์และตั้งคำถามถึงเนื้อหาเพลงว่าเหมาะสมหรือไม่ หยาบคายเกินไปรึเปล่า
I am a WonderFrame
“ในฐานะที่เป็นแร็พเปอร์หญิงซึ่งอยู่ในวงการที่มีผู้หญิงไม่เยอะ
เรารู้สึกเป็นเกียรติมากนะที่คนฟังยอมรับเรา”
แร็พเปอร์ที่เรานัดคิวก่อนคนแรกคือแร็พเปอร์สาวฉายาสาวน้อยมหัศจรรย์ของพ.ศ.นี้ WonderFrame ก่อนจะเป็นที่รู้จักจากเวทีประลองแร็พ Show Me The MoneyThailand เฟรมแจ้งเกิดจากเวทีประกวดร้องเพลง The Starค้นฟ้าคว้าดาว เพราะความฝันหนึ่งเดียวของเธอคือการได้เป็นนักร้อง แต่เฟรมยังไม่แน่ใจว่าต้องการร้องเพลงสไตล์ไหน ด้วยเสียงที่ห้าวใหญ่เป็นเอกลักษณ์ เธอได้รับคำแนะนำว่าน่าจะเหมาะกับการร้องเพลงร็อคมากกว่า และเฟรมก็ลองทำตามคำแนะนำ แต่ก็รู้สึกยังไม่ใช่ตัวเอง จนนั่งสำรวจและพบว่าตัวเองชอบการฟังเพลงฮิพฮอพ ทุกครั้งที่ร้องเพลงสไตล์ฮิพฮอพจะรู้สึกเข้าทาง เข้าปาก และเข้าใจ ปลดปล่อยความเป็นตัวเองได้อย่างอิสระมากกว่า
“สารภาพเลยว่าตอนประกวด Show Me The Money Thailand ยังไม่รู้เลยว่าการแร็พที่แท้จริงเป็นยังไง แค่รู้สึกอยากไปประกวด อยากพูดสิ่งที่คิด อยากแร็พในแบบที่เราต้องการแค่นั้นเอง แต่ไม่รู้ว่าท่อนแร็พต้องมีสัดส่วนแบบไหน มีรายละเอียดอะไรบ้าง เพราะเราฝึกด้วยตัวเอง ไม่ได้เรียนจากไหน โชคดีที่ได้เจอเพื่อนเก่งๆ เจอโปรดิวเซอร์เจ๋งๆ ช่วยสอน เป้าหมายของเราจึงไม่ใช่การชนะ แต่คือการเข้าไปเพื่อพัฒนาตัวเอง
“แร็พมีหลายแบบมาก ไม่ได้มีแบบใดแบบหนึ่งโดยเฉพาะ บางคนถนัดรัวแร็พเร็วๆ บางคนแร็พแบบมีเมโลดี้ ถ้าเป็นสไตล์เฟรม เราไม่เน้นแร็พแต่เน้นเนื้อหาของเพลง เป็นเรื่องที่เฟรมอยากพูด เสมือนไดอารี่ชีวิต ตอนนี้อกหัก โดนไม่ตอบไลน์ ช่วงหนึ่งพิมพ์ 555 บ่อยแล้วมีน้ำตาซ่อนอยู่ อะไรอย่างนี้ ถ้าเพลงนั้นมีแร็พมาผสมแล้วเพลงน่าฟังขึ้น เฟรมก็จะใส่ท่อนแร็พ แต่ถ้าไม่จำเป็นก็ตัดออก ไม่ถึงกับต้องใส่ทุกเพลง”
สิ่งที่โดดเด่นในท่อนแร็พคือคำคล้องจอง หรือคำสัมผัส ภาษาวงการแร็พเรียกว่า “ไรม์” (rhyme-ท่อนแร็พที่มีคำลงท้ายคล้องจองกัน) เป็นทักษะที่แร็พเปอร์ทุกคนต้องฝึกฝน แต่ละคนก็มีวิธีการเฉพาะตน
“เฟรมเป็นคนฟังเพลงเยอะ เราใช้วิธีสังเกตว่าคำตรงท่อนนี้นะสัมผัสกับตรงนี้ แต่ไม่จำเป็นต้องสัมผัสทุกตัว แค่เฉพาะจุด และมีช่วงหนึ่งซื้อพจนานุกรมมาอ่านด้วยนะ (หัวเราะ) เราอยากรู้ว่ามีคำอะไรที่เรายังไม่รู้บ้าง ส่วนใหญ่เพลงของเฟรมมักใช้คำฮิตของวัยรุ่น เอามาจากชีวิตประจำวันเลย หรือไม่ก็อ่านที่เขาโพสต์ในโซเชียลมีเดีย เห็นใครใช้คำแปลกๆ เราก็จด ในโทรศัพท์นี่จดไว้เยอะมาก”
ต้องบังคับตัวเองให้แต่งทุกวันไหม เหมือนนักกลอนที่ต้องฝึกฝนด้วยการแต่งกลอนวันละบท เราถาม
“ไม่ขนาดนั้น แต่อย่างน้อยจะบังคับตัวเองแต่งเพลงให้ได้อาทิตย์ละเพลง ใช้หรือไม่ใช้ก็ตามที แต่ไม่ใช่ว่าเราจะแต่งได้ดีทุกวันนะ เหมือนการวาดรูป ไม่ใช่ว่าจะวาดได้ดีทุกวัน แล้วแต่อารมณ์และสถานการณ์ด้วย”
นอกจากการใช้คำวัยรุ่นตามสมัย เพลงของ WonderFrame ยังเป็นเพลงฮิพฮอพที่ไม่ค่อยมีคำหยาบในเนื้อเพลงหรือท่อนแร็พ ต่างกับเพลงฮิพฮอพทั่วไปที่ใช้คำตรงไปตรงมา อาจไม่สุภาพและรุนแรงไปบ้างสำหรับผู้ฟังบางคนที่ไม่ชิน เฟรมต้องการให้เพลงของเธอเป็นเพลงที่เด็กฟังได้ ผู้ปกครองไม่ต้องกังวล เพราะแฟนคลับส่วนใหญ่ของเธอคือเด็กซึ่งมีตั้งแต่ระดับอนุบาลและประถม เฟรมจึงต้องคำนึงถึงความเหมาะสมเวลาแต่งเพลง แต่เธอก็กล่าวว่า หากวันหนึ่งจะทำเพลงที่มีคำไม่สุภาพ คงต้องติดเรทจำกัดอายุไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้แฟนเด็กๆ ของเธอหลงมาฟัง หรืออย่างน้อยก็เพื่อเตือนว่านี่ไม่ใช่เพลงที่เหมาะกับช่วงวัยของคุณ
เราเลยอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมเพลงฮิพฮอพจึงต้องใช้คำหยาบคาย ทำไมต้องพูดเรื่องเซ็กซ์ หรือเรื่องเพศ
“สำหรับเฟรมมองว่าเป็นการพูดเรื่องจริง เรื่องที่เราเจอในชีวิตประจำวัน แต่ปกติเราอาจคุยกับเพื่อนหรือคนสนิทเท่านั้น และคุยด้วยภาษาของคนที่สนิทสนมกันมากระดับหนึ่ง แต่เพลงฮิพฮอพเรายกเรื่องที่ไว้คุยกับคนสนิทมาพูดในที่สาธารณะ ดังนั้นเลยดูแรง แน่นอนว่าสำหรับเฟรมนั้นการพูดตรงก็ไม่จำเป็นต้องแรง เพราะวิธีสื่อสารมีหลายแบบ ก็แล้วแต่รสนิยมแต่ละคนชอบหรือคลิกแบบไหนมากกว่ากัน”
ทว่าระยะหลังเพลงฮิพฮอพก็มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความแหมาะสมของเนื้อหาและการใช้คำเยอะ “สำหรับเราเรารู้สึกว่าฮิพฮอพเป็นอะไรที่ประชาธิปไตยที่สุด ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับเพลง คุณมีสิทธิ์ออกความเห็นได้หมด เรามองว่าต่างคนต่างกำลังทำงานสร้างสรรค์ เสนอความคิดเห็นของตัวเองผ่านผลงาน เพราะฉะนั้นคนทำผลงานออกมาไม่ผิด และกระแสตีกลับก็ไม่ผิด ทุกคนแค่แสดงออก เอาเหตุผลมาถกเถียงกัน เรารู้สึกว่าฮิพฮอพเป็นที่ที่เปิดกว้างที่สุดแล้ว และนี่เป็นเสน่ห์ของเพลงฮิพฮอพ”
การเป็นแร็พเปอร์หญิงในวงการที่มีแต่แร็พเปอร์ชายเกือบทั้งหมดนั้น ไม่ได้เป็นข้อจำกัดหรือทำให้เธอทำงานยากขึ้น “เพศไม่มีความสำคัญเกินกว่าเรื่องคุณภาพของงานเลย แต่ถ้ามองว่าเราอยู่ในวงการที่มีผู้หญิงอยู่ไม่เยอะ ก็รู้สึกเป็นเกียรติมากนะที่คนฟังยอมรับเรา แต่ถ้าถามว่าโดนวิจารณ์หรือโจมตีมากกว่าผู้ชายไหม เราไม่แน่ใจนะเรื่องนี้ น่าจะโดนคนละแบบกันมากกว่า ผู้ชายเขาจะโดนเชิงเปรียบเทียบเพราะมีศิลปินชายเยอะ ประมาณว่าคนนี้สู้คนนั้นไม่ได้ แนวเพลงซ้ำกัน แต่ของเฟรมโดนคุกคามทางเพศเป็นส่วนใหญ่ ตอนแรกตกใจนะ ทำไมต้องเกิดกับเรา แต่ก็ไม่อยากให้เรื่องเลวร้ายแบบนี้กลายเป็นความเคยชิน ถ้าอันไหนมันรุนแรงเกินเหตุก็คงต้องให้กฎหมายจัดการ”
กระแสวิพากษ์วิจารณ์ตั้งแต่ยังเป็นผู้เข้าแข่งขันในรายการทีวีจนมาถึงวันนี้ที่ได้เป็นศิลปินเต็มตัว เปลี่ยนแปลงตัวเธอไปบ้างไหม เราตั้งคำถาม
“เราใจกว้างมากขึ้น เมื่อก่อนคอมเมนต์อะไรมาถ้ารู้สึกว่าไม่ใช่สักหน่อย เราตอบโต้ทันทีเลย รับไม่ได้กับคำกล่าวหาที่ไม่ถูกต้อง แต่วันนี้เราใจกว้างขึ้น เขาคอมเมนต์แสดงว่ายังให้ความสนใจ ในคอมเมนต์แย่ๆ ก็มีสาระอยู่ ตอนนี้เลยนิ่งขึ้น รับฟังมากขึ้น เป็นเฟรมที่โตขึ้น”
ไม่ว่าจะร้องเพลง แร็พ หรือทำเพลง ศิลปินสาวคนนี้สามารถทำได้หมด และทำได้ดีด้วย ถึงกระนั้น WonderFrame ก็ยังไม่หยุดสร้างความมหัศจรรย์ด้วยการพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ “อยากแหล่ ตอนนี้อินกับเพลงลูกทุ่ง (หัวเราะ) เราฟังเพลงพวก มะล่องก่องแก่ง แล้วรู้สึกว่า เฮ้ย สนุกดีนะ ถ้าเราแหล่ได้ก็คงดีนะ เป็นการเพิ่มทักษะ จริงๆ วิธีการร้องของเพลงลูกทุ่งก็แตกต่างจากเพลงสตริง ยากนะ ต้องฝึกฝนเหมือนกัน”
ทุกวันนี้ยังมีวันที่ไม่อยากร้องเพลงอีกไหม อย่างที่เคยให้สัมภาษณ์ไว้ “ไม่มีแล้วค่ะ เรามีความสุขในทุกวัน เรากำลังเรียนรู้ที่จะรักตัวเองมากขึ้น และถ้าอยากเคารพตัวเองได้ ก็ต้องเคารพความฝันของตัวเองด้วย เพราะฉะนั้นเราจะไม่ท้อ ไม่ล้มเลิกความฝันง่ายๆ
คงไม่ต่างกับผู้หญิงในเพลงของ WonderFrame ที่เจ้าตัวบอกว่าแม้จะเวิ่นเว้ออยู่บ้าง และเห็นความรักเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็เป็นผู้หญิงที่กำลังเติบโตและเรียนรู้เรื่องความรักไปเรื่อยๆ แล้วตอนนี้ก็กำลังเรียนรู้ที่จะรักตัวเองมากกว่ารักคนอื่นจนเกินไป
LazyLoxy in the warm light
“ผมก็แค่ทำเพลง ไม่ได้ยึดติดว่าจะร้องหรือแร็พ แค่ปล่อยเสียงไปพร้อมกับเมโลดี้”
ในขณะที่บทสนทนากับ WonderFrame ดำเนินมาถึงช่วงท้าย แร็พเปอร์อีกคนที่เรานัดหมายไว้ก็มาถึง LazyLoxy เข้ามาภายในห้องสนทนาพร้อมทักทายในสไตล์แร็พเปอร์กับ WonderFrame อย่างสนิทสนม แม้จะมาจากการประกวดคนละเวที แต่โลกของแร็พและเพลงฮิพฮอพก็เชื่อมมิตรภาพระหว่างพวกเขาไว้
LazyLoxy หรือ ท็อป เป็นแรพเปอร์อีกคนที่เริ่มต้นเส้นทางดนตรีจากการเป็นนักร้อง ในวัยเด็กเคยประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง และศึกษาระดับปริญญาตรีในสาขาดนตรีสากล เพราะความฝันของเขาคือการเป็นโปรดิวเซอร์ แม้จะซึมซับดนตรีมาหลายแนว แต่ฮิพฮอพคือแนวที่เขาบอกว่าอินที่สุด เข้าถึงได้มากที่สุด
“ผมฟังฮิพฮอพตั้งแต่มัธยมหนึ่งเลย เริ่มจากผมสนใจการเต้นบีบอย ทุกๆ เย็นจะไปเต้นกับพี่ๆ เพื่อนๆ เหมือนเป็นครอบครัว แล้วสมาชิกครอบครัวก็มีวัฒนธรรมฮิพฮอพหลายๆ แบบผสมกัน เช่น บางคนชอบเล่นสเกตบอร์ด บางคนชอบฟรีรันนิ่ง (freerunning) บางคนเต้นป๊อปปิ้ง (popping) และหนึ่งในนั้นก็มีคนสนใจการแร็พ พอเราได้ใกล้ชิดก็รู้สึกน่าสนใจ เคยอัดคลิปส่งประกวดเหมือนกัน แต่เรายังไม่เก่งก็ตกรอบไป จนมารายการ The Rapper เห็นโค้ช เห็นรูปแบบรายการน่าสนใจ เราพอจะเขียนกลอนเขียนไรม์ได้นิดหน่อย ลองสมัครดูก็น่าจะดี
“ผมไม่ได้ตั้งเป้าเป็นแชมป์ ตอนตกรอบจึงไม่เสียใจ อันที่จริงอยากเข้าไปเพื่อเรียนรู้มากกว่า ผมไม่ได้เขียนไรม์บ่อยๆ ไม่เคยเขียนแร็พให้เป็นเพลงขนาดนั้น และไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ด้วย แต่พอเราผ่านเวทีนี้มาได้ การเขียนเพลงก็กลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น”
วิธีการฝึกเขียนไรม์ของแร็พเปอร์หนุ่มอาศัยการฟัง จดจำ และฝึกฝน “แค่ต้องฟังบ่อยๆ ส่วนเรื่องคำสัมผัส ผมไม่ได้ซีเรียสกับมันมากว่าต้องคล้องจองเป๊ะๆ นะ อาศัยฟังแล้วรื่นหู ส่วนคำศัพท์คงเหมือนคนอื่น เจออะไรที่น่าสนใจก็จด แล้วผมก็ชอบอ่านหนังสือมาก่อนด้วย ชอบอ่านนิยายไทย นิยายแปล นิยายจีน อ่านมาตั้งแต่เด็ก การอ่านมีส่วนช่วยให้ผมจินตนาการเรื่องราวเวลาแต่งเพลงได้ง่ายขึ้น”
LazyLoxy ฉายาของท็อปนั้นเจ้าตัวตั้งจากนิสัยเกียจคร้านของตน แต่เมื่อเราคุยถึงสิ่งที่เป็นดั่งแพชชั่นของเขา เราเห็นความกระตือรือร้น ความมีชีวิตชีวา เมื่อพูดถึงดนตรีฮิพฮอพ
“เสน่ห์ของฮิพฮอพคือการที่ขอบเขตมันกว้างมากๆ จนแทบไร้ซึ่งขอบเขต อย่างดนตรีฮิพฮอพเนี่ยก็แตกแขนงไปได้หลายแนว เช่น แบบบูมแบ็พ (Boom Bap) แบบแทร็ป (Trap) แบบโอลด์สกูล (Old School) เหมือนคุณทำเพลงฮิพฮอพแล้วสามารถเลือกเติมท็อปปิ้งว่าจะเอาแบบไหน สามารถใส่ได้ทุกแบบ และไม่ใช่แค่ในเพลงฮิพฮอพเท่านั้น ดนตรีร็อคหรือนูเมทัล (nu metal) ก็มีการใส่แร็พ ศิลปินเลยต้องดีไซน์ว่าจะเลือกใส่แร็พแบบไหนดี ดังนั้นฮิพฮอพจึงเป็นเพลงที่มีหลายรสชาติจัดๆ นี่ยังไม่นับเรื่องราวที่เล่าผ่านเพลงฮิพฮอพ ซึ่งเราถ่ายทอดได้ทุกอย่าง จะเล่าเรื่องชีวิต ความรัก เงิน ได้หมด แต่ถ้าเป็นเพลงแนวอื่น ถ้าคุณเล่าเรื่องชีวิต คุณจะถูกจัดหมวดเป็นนักร้องเพลงเพื่อชีวิต แต่ฮิพฮอพไม่เป็นแบบนั้น ไม่ว่าจะเล่าเรื่องอะไรก็ยังเป็นฮิพฮอพ และด้วยความที่แทบจะไร้ขอบเขต ศิลปินก็สามารถพัฒนาผลงานได้อย่างไร้ข้อจำกัด มันเลยเฟรช ฮิพฮอพจึงพัฒนาและแตกแขนงรูปแบบออกมาได้หลากหลาย”
เมื่อฮิพฮอพมีหลากหลายสไตล์ แล้วสไตล์ของ LazyLoxy เป็นแบบใด เราถาม
“ผมเป็นแนวซิมเปิล (simple) ง่ายๆ เพราะตัวผมไม่ได้เก่งกาจอะไรมาก คือผมไม่ใช่คนที่ถนัดแร็พแบทเทิล ไม่ได้เขียนไรม์มีเสน่ห์เท่าแร็พเปอร์ที่เขียนเก่งๆ ไม่ได้มีคำดึงดูดหู ผมใช้คำง่ายๆ มีสัมผัสในหน่อย ไม่ได้รัวท่อนแร็พเป็นไฟ แร็พไหลไปตามเมโลดี้ ช้าๆ จนเกือบจะร้องอยู่แล้ว เขียนเนื้อตามวิธีคิดของผม อธิบายให้ตัวเองเข้าใจก่อนแล้วค่อยเล่าให้คนอื่นเข้าใจ พูดตรงๆ ผมก็แค่ทำเพลง ไม่ได้ยึดติดว่าจะร้องหรือแร็พ แค่ปล่อยเสียงไปพร้อมกับเมโลดี้”
เราถามคำถามเดียวกันกับ WonderFrame ทำไมเพลงแร็พต้องใช้คำหยาบคาย ต้องพูดเรื่องเซ็กซ์ หรือเพราะแร็พเปอร์ชายมีเสน่ห์มากจนหญิงสาวติดพันเยอะ เลยเป็นเรื่องราวในเพลง
“อาจจะมีส่วนครับ ต้นกำเนิดเพลงฮิพฮอพเกิดในชุมชนคนผิวสีที่ไม่ค่อยร่ำรวยเท่าไหร่ ไม่ได้ใช้คำสวยๆ มาคุยกัน พอวันหนึ่งเขาประสบความสำเร็จ เขาก็อยากจะอวดสิ่งที่เขามี ฉันมีสาวนะ มีรถนะ มีทองนะ หรือพูดถึงความลำบากที่เขาเคยผ่านพ้นมา พูดเรื่องยาเสพติด เซ็กซ์ ส่วนแร็พเปอร์ไทยก็ซึบซับวัฒนธรรมนี้ผ่านการฟังเพลงฮิพฮอพตะวันตก เราก็อินไปกับเขา โอ้ว เท่วะ มีเงิน มีรถ ถามว่าหยาบคายไหม จริงๆ มันหยาบ แต่มันก็ร้อนแรงนะ”
ความเห็นในเรื่องความรุนแรงของเนื้อเพลงฮิพฮอพนั้น แร็พเปอร์หนุ่มมองว่า กลุ่มเป้าหมายของเพลงนั้นๆ อาจจะไม่ใช่คนทุกวัย แต่เพลงดันติดหูมหาชน วันหนึ่งอาจต้องมีการปรับเข้าหากันทั้งสองฝ่าย ทั้งคนทำเพลงและคนฟังเพลง
“เพลงที่เขาว่าเนื้อหาไม่เหมาะสมมันเหมือนเพลงสำหรับผู้ใหญ่ เหมือนหนัง 18+ แต่ดันฮิตในเด็ก เหมือนหนังโป๊ที่เด็กขโมยของพ่อดู ดันเข้าถึงง่าย และติดหู จริงๆ ส่วนมากเพลงฮิพฮอพคือเพลงในคลับ แดนซ์ มีสาวๆ แต่ทุกวันนี้ทุกคนมีมือถือที่สามารถเข้าอินเตอร์เน็ตแล้วฟังได้ทันที จึงยากจะควบคุม ผมมองว่าบางทีอาจต้องมีมาตรการป้องกันไม่ให้เด็กเล็กเข้ามาฟัง ยังไม่รู้เหมือนกันจะทำได้ไง เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายในโลกเทคโนโลยี แต่ส่วนตัวผมเชื่อว่าคนฟังก็พัฒนาขึ้นทุกวันด้วย สมัยก่อนคนฟังไม่เข้าใจเพลงร็อคเมทัลที่ใช้คำหยาบคาย ทว่าปัจจุบันก็ยอมรับได้ วันหนึ่งคนอาจเข้าใจไวบ์ (vibe-บรรยากาศ) ของดนตรีฮิพฮอพว่ามันเป็นแบบนี้แหละ อาจไม่รู้สึกหยาบคายอีกต่อไป และหันมาสนุกกับมันมากขึ้น
“ในส่วนของศิลปิน เราก็ต้องสร้างผลงานที่แตกต่าง ผมเชื่อว่าไม่มีใครเขียนเพลงแย่ๆ หมายถึงเขียนแต่เรื่องเลวร้ายได้ตลอด เราพยายามหาประเด็นใหม่ให้ฉีกไปจากเดิม เป็นโจทย์ของคนทำงานที่ต้องสร้างสรรค์มากขึ้น ผมอาจจะแร็พเรื่องโควิด-19 ซึ่งทำให้เรารู้สึกแย่ ใส่หน้ากากคุยกัน ล้างมือแบบคนวิตกจริตก็ได้ อาจรุนแรงบ้าง แต่ต้องไม่ให้เดือดร้อนใคร”
พอเอ่ยถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่ศิลปินนักร้องสมัยนี้โดนกันหนัก แร็พเปอร์หนุ่มกล่าวตอบทันทีว่า “โดนเยอะครับ หนักๆ คือเรื่องแนวดนตรี ใช่ฮิพฮอพจริงรึเปล่า จะร้องหรือจะแร็พกันแน่ โดนเหน็บด้วยว่าถ้าหน้าตาไม่เป็นแบบนี้ไม่ดังหรอก ข้อนี้ผมก็ขอบคุณครับ ถือว่าเป็นคำชม (ฮ่า) แต่เอาจริงๆ ผมเคยคิดตามนะ ถ้าหน้าตาเราไม่เป็นแบบนี้ เราทำเพลงออกมาคนจะสนใจรึเปล่า โชคดีที่ผมน้อยใจแป๊บเดียว เราคงหยุดการแสดงความเห็นของเขาไม่ได้ ก็ทำหน้าที่ของเราต่อไป วันหนึ่งผลงานจะพิสูจน์เอง และคำวิจารณ์ก็เป็นแรงบันดาลใจในการทำเพลงด้วยครับ ถ้าไม่มีคนด่า ผมก็ไม่มีเรื่องให้แต่ง ถ้าไม่เกลียดผม ผมก็ไม่รู้จะตอบโต้ใคร เพราะเพลงฮิพฮอพมันต้องตอบโต้ ถือเป็นส่วนช่วยสร้างสตอรี่ในการเขียนเพลง”
แสดงว่าคุณฟังเสียงสะท้อนเหล่านี้ เราถาม
“ฟัง ถ้าเขาวิจารณ์ว่าผมเอาแต่ร้อง เพลงหน้าผมจะแร็พให้มากขึ้น ถ้าเขาว่าผมห่วยตรงไหน เพลงหน้าผมจะโชว์ความสามารถให้เห็นมากขึ้น ถึงจะรู้สึกไม่ชอบ แต่เราจะโชว์ให้เห็น”
วอร์มไลท์ (warm light) เป็นคำที่ปรากฏในเพลงทุกเพลงของ LazyLoxy จนกลายเป็นลายเซ็นในเพลง ชื่อนี้มีที่มาจากชื่อวงดนตรีที่เขาเคยเป็นสมาชิก ก่อนแยกย้ายเมื่อเขาผันตัวเป็นแร็พเปอร์ จึงอยากกล่าวถึงเพื่อให้เกียรติดนตรีซึ่งเคยเป็นอาชีพเลี้ยงปากท้อง แต่หลังจากนี้อาจไม่มีการเอ่ยคำนี้ในเพลง เพราะดนตรีทั้งหมดจะถูกทำโดยวอร์มไลท์ ทีมที่สร้างขึ้นโดยมีสมาชิกเดิมบางส่วนรวมตัวอีกครั้งเพื่อทำเพลงและเติบโตไปด้วยกันบนเส้นทางฝัน
“มองย้อนกลับไปจากวันเริ่มต้น ผมโตขึ้นทั้งที่ไม่อยากโตเลย (ฮ่า) การเป็นแร็พเปอร์จริงๆ กับตอนที่ยังไม่เป็นแตกต่างกันมากครับ ต้องฟันฝ่าอะไรเยอะ การทำดนตรีให้เป็นอาชีพไม่ใช่เรื่องง่าย มีเรื่องให้คิดทั้งการเขียนเพลง การทัวร์คอนเสิร์ต ต้องทำเพลงแบบไหนในช่วงนี้ แล้วอีกสองปีจะอยู่ด้วยการทำเพลงได้ไหม ถ้าคิดทำเป็นอาชีพก็ต้องรักดนตรีจริงๆ โชคดีที่ผมสนุกกับดนตรีทุกวัน บนเวทีคือช่วงเวลาที่ดีที่สุด เข้ากับเรามากๆ ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ”