ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ออล แม็กกาซีน ขอกลับมานำเสนอเรื่องราวธรรมะซึ่งถือเป็นสิริมงคลสูงสุดแห่งชีวิตอีกครั้ง หลังจากห่างหายไปหลายปี ฉบับนี้เป็นเรื่องราวการทำงานบนเส้นทางธรรมของ “พระราชธรรมนิเทศ” หรือ “พระพยอม กลฺยาโณ” เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี ในแง่มุมต่างๆ “พระพยอม” ได้รับการยอมรับจากพุทธศาสนิกชนชาวไทย ว่าเป็นทั้งพระนักเทศน์ พระนักพัฒนา พระนักคิดที่ทำงานหนักมาตลอดชีวิต แม้ในวันนี้ “พระพยอม” จะมีวัยล่วงเลยมาถึง 70 ปีแล้ว แต่ท่านก็ยังทำงานหนักไม่หยุด จนเกิดอุบัติเหตุเกือบถึงชีวิตเป็นข่าวครึกโครมเมื่อปลายปี 2560 ที่ผ่านมา จึงเป็นที่น่าสนใจเหลือเกินว่า “พระพยอม” มีหลักคิดอย่างไร จึงมุ่งมั่นสร้างสรรค์และพัฒนาคนผ่านพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาหลักของคนไทยได้อย่างมั่นคงและยาวนานขนาดนี้…
ภายหลังเกิดอุบัติเหตุ หลายคนเป็นห่วงสุขภาพของท่านว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
ตอนนี้ก็ดีขึ้นมา 95 เปอร์เซ็นต์แล้ว ที่ล้มครั้งนั้นเพราะรองเท้าหมดดอกยางแถมยังไปย่ำดินมาด้วย (ยิ้ม) ช่วงนั้นฝนตกทั้งคืน หินอ่อนหน้าประตูกุฏิก็ลื่น เวลาล้ม ขามันไปพร้อมกันสองข้าง หลังไปฟาดเต็มแรงกับเหลี่ยม โดนตรงท้ายทอย หมอบอกว่าโชคดีที่ระหว่างคอกับกะโหลกมีเส้นเอ็นเยอะ ถ้าเลยขึ้นไป 10 เซนติเมตร กะโหลกของอาตมาคงจะร้าว แต่ถ้าลงมาอีกหน่อย ก็จะโดนคอ กระดูกข้อก็จะหักแตก อาจทำให้กลายเป็นเจ้าชายนิทราได้
อุบัติเหตุในครั้งนี้สอนท่านเยอะมากเลยใช่ไหม
ที่ผ่านมาก็เข้มงวดกับตัวเองมาพอสมควรนะ อยากรีบทำอะไรให้เสร็จก่อนตาย แต่วันนั้นเหมือนกับเรากลัว และเสียดายอีก 3 งานใหญ่ที่ยังทำไม่สำเร็จ ถือเป็น 3 งานที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำก่อนที่ชีวิตจะดับ คือ 1.กองทุนน้ำ 2.กองทุนผู้สูงวัย 3.กองทุนสัมมาชีพ ตอนล้มก็นึกว่าไปเสียแล้ว แต่พอรู้ว่ายังมีลมหายใจ เลยสูดหายใจเข้าลึกๆ ปล่อยลมหายใจออกยาวๆ สักพักเริ่มมีพลัง ตัดสินใจลองพลิกตัวดู ก็พลิกได้ เริ่มนั่ง ก็นั่งได้ เลยยืนขึ้น แล้วเรียกรถไปโรงพยาบาล อาตมานิ่งอยู่นานพอสมควร จนตั้งสติได้ เห็นเลือดหยดออกมา โชคดีที่เลือดออก ถ้าไม่ออกคือเลือดคั่ง จะรักษายากกว่านี้ ประโยชน์ที่ได้จากการล้มครั้งนี้ก็คือช่วยเร่งเร้าให้อยากทำงานให้จบ เผื่อมันมีรอบสองรอบสาม อยากทำงานให้สำเร็จ อยากเร่งงานให้กระชับขึ้นอีก เพราะรู้สึกว่าเราประมาทไม่ได้แล้ว เรามีสิทธิ์ที่จะไปเมื่อไรก็ได้
ยิ่งเร่ง ไม่ยิ่งเครียดหรือคะ แล้วจะกระทบต่อสุขภาพด้านอื่นๆ เพิ่มขึ้นไหม
โชคดีที่อาตมาได้ฝึกมาพอสมควร การระบายความเครียดไม่มีอะไรดีเท่ากับการทำอานาปานสติ นั่นคือสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วปล่อยลมหายใจยาวๆ ตอนสูดลมหายใจเข้าก็บริกรรมเสริมว่าสุขๆ พอปล่อยลมหายใจออกก็บอกว่าสบายๆ แล้วก็หาเวลาหลับบ้าง จะทำให้ไม่เครียด อาตมาโชคดีที่ได้ฝึกกับท่านพุทธทาสภิกขุที่สวนโมกข์มา 7 ปี ท่านสอนเรื่องของอานาปานสติ ท่านให้คาถา “ไม่ตื่นมาเครียดมาทุกข์” คือ กูไม่ได้เกิดมาเครียดหรือมาทุกข์ ก็ทำให้ทุกข์ให้เครียดนั้นกระเด็นออกไปบ้าง พอมีพื้นฐานเรื่องนี้ ทำงานวันละกี่ชั่วโมงก็ไม่เครียด เวลาทำงานให้ทำแบบ “ทำไปพลาง คว้าสวรรค์ไปพลาง” ไม่ใช่ “ทำงานไปพลาง ตกนรกไปพลาง” “ทำงานไปพลาง เป็นเปรตไปพลาง” แบบนั้นก็ไม่ดี อย่างนั่งทำงานไป นั่งอยากนั่งหิวไป เงินเดือนออกวันที่ 30 แต่อยากได้นั่นได้นี่มาตั้งแต่วันที่ 5 อย่างนี้ไม่ดี
แสดงว่าสำหรับท่านแล้ว การล้มในครั้งนี้ก็ถือเป็นเรื่องดี
สิ่งที่ได้จากการเจ็บป่วยครั้งนี้ถือเป็นเรื่องดี หลวงพ่อพุทธทาสเคยบอกว่า “เมื่อความเจ็บไข้มาตักเตือนนั้น จงรีบฉลาด” อย่าให้ความเจ็บไข้มาทำให้เราโอดโอย ถ้าเจ็บ อย่าให้เจ็บทั้งสองอย่าง ทั้งเจ็บกาย เจ็บใจ ตอนอาตมาล้ม คุณหมอคิดค่าสแกนสมอง 30,000 บาท ก็กลับไปเจ็บใจ หมอเรียกแพงเหลือเกิน น่าจะลดให้พระสักครึ่งหนึ่ง (หัวเราะขำ) แบบนั้นเขาเรียกว่าเจ็บฟรี ยังไงโรงพยาบาลเขาก็ต้องเรียกพอสมควรให้อยู่ได้ ค่าใช้จ่ายเขาเยอะ ถ้าเรามัวเอาแต่นั่งเจ็บแค้นว่าทำไมเรียกแพงจัง นั่นเขาเรียกเจ็บฟรี ทำให้อาตมาเกิดความฉลาดขึ้นจากการเจ็บไข้หรือเกิดจากอุบัติเหตุครั้งนี้
ขออนุญาตถามถึงรายละเอียดของ 3 โครงการหลักที่ท่านตั้งใจจะทำให้สำเร็จว่ามีอะไรบ้าง
ขอเท้าความสักนิดหนึ่งก่อน ช่วงระยะ 3-5 ปีมานี้ ชาวพุทธทำบุญกันแบบไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ พอมามารวมกับพระที่บริหารเงินบุญไม่เป็น บริหารเงินไม่ฉลาด เงินพวกนี้ก็กลายเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำไป แบบนี้น่าห่วง อาตมาคิดถึงเรื่อง “กองทุนน้ำ” เพราะน้ำเป็นสิ่งจำเป็น ขนาดในหลวงรัชกาลที่ 9 ยังตรัสเลยว่า “น้ำคือชีวิต” ถ้าไม่มีน้ำสำหรับอุปโภคบริโภค ไม่มีน้ำในระบบเกษตร ไม่มีน้ำในระบบอุตสาหกรรมจะเป็นอย่างไร ถ้าไม่มีน้ำนี่พังหมดเลยนะ พังทั้งระบบนิเวศเลย อาตมาจึงอยากจะทำ “กองทุนน้ำ” ไว้ก่อนตาย น่าเสียดายที่คิดช้าไปหน่อย ถ้าทำสมัยอาตมาดังๆ เชื่อว่าป่านนี้ เราคงมีธนาคารน้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทยไปแล้ว เมื่อก่อนตอนทุเรียนออกดอก ถ้าน้ำไม่พอ ดอกจะร่วงหมด พอได้น้ำเท่านั้นแหละ ดอกติดหมด อย่างที่บอกว่า น้ำเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าบริหารไม่ดี หน้าแล้งก็ขาดน้ำ หน้าน้ำมามากก็ไม่มีที่เก็บ เกิดปัญหาน้ำท่วม แต่ถ้ามี “แก้มลิง” พอ จะช่วยลดปริมาณความเสียหายจากน้ำท่วมเป็นแสนๆ ล้านได้ เรียกว่า ตอนนี้มีเงิน อาตมาไม่สร้างโบสถ์ ไม่สร้างเจดีย์ ที่วัดอื่นเขาสร้างกันเยอะแล้ว ขอเอาเงินมาทำเรื่อง “กองทุนน้ำ” ก่อน
โครงการที่ 2 ล่ะคะ ทราบว่าเกี่ยวกับผู้สูงอายุที่มีมากขึ้นทุกวันในสังคมของเรา
โครงการที่ 2 คือ “กองทุนผู้สูงวัย” ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าคนทั้งโลกจะประสบปัญหาเรื่องผู้สูงวัยที่จะมีจำนวนมากขึ้น แถมอายุก็ยืนยาวขึ้น เพราะเทคโนโลยีทางการแพทย์ทันสมัยขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ เราต้องมีงบประมาณสำหรับดูแลคนสูงอายุเหล่านี้ให้มีชีวิตต่อไปได้ด้วย แค่เงินภาษีจากพวกเราคงไม่พอ อาตมาเลยกลับมาคิดว่าอยากตั้ง “กองทุนผู้สูงวัย” ซึ่งอาจจะช่วยแบ่งเบาภาระเรื่องนี้ได้บ้าง ตอนนี้ที่วัดมีผู้สูงวัยมาอยู่ด้วย 103 คน ในอนาคตก็คงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนที่นี่มีงานทำ กินอิ่ม นอนอุ่น พอถึงวันผู้สูงอายุก็ซื้อของมาให้ มอบเงินให้ เราไม่อยากทอดทิ้งคนแก่ ไม่อยากให้คนแก่อยู่แล้วเป็นทุกข์ ก็คิดว่าต้องช่วยเรื่องนี้กัน
ทางวัดมีเกณฑ์การคัดเลือกผู้สูงอายุอย่างไรบ้าง
พระพยอม : เวลามีคนสูงอายุเข้ามา ก็พาเข้ามาก่อน แล้วมาดูพฤติกรรมภายหลัง วัดได้ตกลงกับหน่วยงานรัฐไว้ว่า ถ้าเขาป่วยแบบนอนติดเตียงเมื่อไร ขอให้มารับไปดูแลแทน เพราะที่นี่ยังไม่มีใครคอยป้อนข้าวป้อนน้ำให้ ถ้าจะอยู่ที่นี่ หากยังกินข้าว กินน้ำ อาบน้ำด้วยตัวเองได้ เรายินดีเลี้ยงดู แต่ถ้าถึงขั้นเริ่มนอนติดเตียง เริ่มเพ้อ เริ่มเดินแก้ผ้า ขอให้กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มารับไปดูแลแทน คนแก่ที่นี่ 3–4 ทุ่ม ยังนั่งทำงานแพ็คของหารายได้เข้าวัดกันอยู่เลย พอตี 4 มากันอีกแล้ว อาตมาบอกว่านอนพักบ้างเถอะโยม เขาก็ตอบว่า อายุขนาดนี้ ไม่ห่วงนอนแล้วหลวงพ่อ อีกไม่นานก็ได้นอนถาวรแล้ว (หัวเราะ) ตอนนี้ทำงานได้ให้รีบทำก่อน เราพลอยปลื้มใจไปด้วย ที่อยู่กับเราก็หลายคน ที่เสียชีวิตไปแล้วก็มี พอเสียชีวิตก็ซื้อโลงศพ สวดศพ เผาศพให้เรียบร้อย
เรียกว่ามากินมานอนอยู่ในวัดเลยใช่ไหม
อยู่ที่นี่เลย แล้วก็มีที่สาขา 12 แห่งทั่วประเทศด้วย มีบ้านพักให้เรียบร้อย บางครั้งรัฐบาลก็ตามดูแลเรื่องคนชราไม่ทัน เพราะต้องใช้เงินทอง คนสูงอายุเหล่านี้ จะบอกว่าลูกหลานไม่ดูแลคงไม่ได้ สภาพสังคมมันเปลี่ยนไป ลูกหลานต้องทำงาน บางคนต้องไปทำงานต่างจังหวัด จะให้หอบหิ้วไปด้วยอย่างไร บางคนต้องไปทำงานต่างประเทศ คนแก่จะไปอยู่ด้วยอย่างไร เขาชินกับสังคมบ้านนอกที่เขาอยู่ ในที่สุดก็เหมือนถูกทอดทิ้งโดยปริยาย ตัวเลขก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี แต่คนแก่ที่นี่ เขาไม่อยู่เฉยๆ นะ เขาแก่อย่างมีคุณค่า ชราอย่างมีประโยชน์ ไม่ใช่แก่นั่งกินนอนกิน เป็นคนแก่ที่ยังทำงานได้ ถ้าเป็นแบบนี้ จะช่วยให้เขาไม่เหงา คนแก่ที่นี่มีความสุขมาก เวลาพระออกไปบิณฑบาต เวลามีเจ้าภาพมาเลี้ยงพระ เขาก็ได้รับประทานไปด้วย แถมที่นี่ก็มีผลไม้ให้กินตลอด เพราะปลูกเอง ไม่เหมือนที่อื่น ทำให้คนแก่ที่นี่ได้กินอิ่มนอนอุ่นจริงๆ
แล้วกองทุนที่ 3 ล่ะคะ ท่านเน้นเกี่ยวกับเรื่องอะไร
กองทุนนี้เป็นกองทุนที่อาตมาผิดหวังที่สุด คนเราคิดไม่ตรงกับพระพุทธเจ้า ในอริยมรรคมีองค์ 8 กองทุนที่ 3 ของอาตมาอยู่ใน 2 ข้อ คือ “สัมมากัมมันตะ ทำการงานชอบ” และ “สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ” หลายคนชอบอ้างว่าไม่มีทุนทำมาหากิน ไม่มีทุนค้าขาย ไม่มีทุนเพาะปลูก เลยไปเป็นมิจฉาชีพกัน เขาบอกว่าเขาไม่รู้จะไปประกอบอาชีพอะไร อาตมาเลยตั้ง “กองทุนสัมมาอาชีพ” เพื่อช่วยเหลือดูแลพวกเขาเหล่านี้ อาตมาคิดว่าไม่มีวัดไหนในประเทศไทยมีเครื่องมือทำมาหากินมากเท่าวัดสวนแก้วแห่งนี้อีกแล้ว ที่นี่มีรถแม็คโคร 28 คัน มีอุปกรณ์ครบหมด เรียกว่าถ้าเครื่องมือดี เขาก็อยากทำงาน ถ้าเครื่องมือไม่ดี เขาก็ทำงานยาก พลอยไม่อยากทำ จะไปขุดดินปลูกกล้วย เจอดินแข็ง ก็เอารถแม็คโครจ้วงเข้าไป วันหนึ่งปลูกได้เป็น 100 ต้น เรียกว่าต่างกับในอดีต 10 เท่า สมัยนี้ถ้าทำอะไรให้เป็นระบบใหญ่ มันดีกว่าระบบเล็กที่ต่างคนต่างทำ อย่างการซื้อปุ๋ย ถ้าเราไปซื้อ 2 ลูก กับซื้อ 1,000 ลูก ราคาก็ต่างกัน ต้นทุนการทำเกษตรของชาวบ้านสูงเพราะเขาซื้อน้อย อาตมาจึงคิดเรื่องการประกอบอาชีพ ตั้งกองทุนเพื่อซื้อเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ ลงเงินทำปุ๋ยไส้เดือนดินเอง ปุ๋ยไส้เดือนดินดีกว่าปุ๋ยเคมีมาก ตอนนี้ราคาอยู่ที่ตันละ 15,000 บาท ได้อาทิตย์ละเป็นตัน เราใช้ปุ๋ยไส้เดือนดินสำหรับปลูกต้นไม้ที่นี่ก่อน พอเหลือค่อยนำไปขาย น่าเสียดายที่คนบริจาคเงินเข้า “กองทุนน้ำ” และ “กองทุนผู้สูงอายุ” มากขึ้น แต่ตัวกองทุนสัมมาอาชีพไม่ค่อยมีคนสนใจบริจาคกันเข้ามาเท่าไหร่นัก
ที่คนยังไม่ค่อยทำบุญกองทุนนี้ เพราะเขายังไม่เห็นสิ่งที่รูปธรรมด้วยหรือเปล่า
อาจจะมีส่วน คนไทยติดบุญอย่างอื่น แต่พระพุทธเจ้าเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ เลยใส่เข้าไปถึง 2 ข้อในมรรค 8 แสดงว่าพระองค์เห็นความสำคัญของสิ่งนี้ และบัดนี้ โลกกำลังมีแต่มิจฉาทิฏฐิเต็มไปหมด มีมิจฉาชีพเต็มเมืองเราต้องช่วยกันแก้ไขและดูแล น่าเสียดายที่คนไม่ค่อยบริจาคเงินใส่กองทุนนี้เท่าไหร่นัก 2 กองทุนแรก ทั้ง “น้ำ” และ “ผู้สูงวัย” มันไปของมันได้ ระบบน้ำก็ดำเนินการไป คนแก่ก็มีงานทำ ตอนนี้ทำได้แต่ประชาสัมพันธ์ออกไปให้มากขึ้น แต่ยอดเงินในกองทุนก็ยังตามไล่หลังห่างกันอย่างกับฟ้ากับเหว กองแรกไป 4 ล้าน กองที่ 2 ไป 3 ล้าน กองสุดท้ายมีแค่ 3 แสน
กองทุนต่างๆ เหล่านี้ หลวงพ่อดูแลเองทั้งหมดเลยไหม
ดูเองหมดเลย แต่อย่างที่บอกว่ากองที่ 3 มันยาก มันต้องทำให้เห็นเป็นรูปธรรมได้มากกว่านี้ ต้องทำให้เห็นว่าเมื่อคนเขาไม่มีอาชีพ เขาจะดำเนินชีวิตลำบาก สังคมต้องรับภาระเพิ่ม อย่างคนที่เพิ่งออกจากคุก ถ้าไม่มีอะไรทำ เขาจะกลับไปทำเหมือนเดิมอีก อาตมาอยากเปลี่ยนชื่อโครงการว่า “บุญช่วยบุญรอด” เหมือนกันนะ บุญช่วยคือช่วยให้คนมีอาชีพแล้วอยู่รอด พอสังคมรอด ก็จะโยงไปถึงเรื่องการมีชีวิตที่ปลอดภัย ปัจจุบันทรัพย์สินชีวิตของเราไม่ค่อยปลอดภัย เพราะมิจฉาชีพเยอะ เราปล่อยให้มิจฉาชีพเบิกบานไป ไม่สกัดด้วยสัมมาอาชีพ ไม่สกัดด้วยกองทุนอาชีพ มันจึงยาก เรื่องนี้เป็นต้นทางของการแก้ปัญหา น่าเสียดายที่วัดต่างๆ ไม่ยอมทำ กลับไปสร้างอะไรต่อมิอะไร สร้างจนรกไปหมด
สาเหตุที่ท่านยังคงมุ่งมั่นพัฒนาด้านนี้ โดยไม่สนใจการสร้างวัตถุสิ่งของคืออะไร
มีคนเคยบอกว่าศาสนากับรัฐบาลนั้นคล้ายๆ กัน ถ้าศาสนาไหนปล่อยให้ศาสนิกชนปากแห้งท้องหิว ศาสนานั้นจะอายุไม่ยืน รัฐบาลก็เช่นกัน ถ้ารัฐบาลไหนปล่อยให้ประชาชนปากแห้งท้องหิว รัฐบาลนั้นก็จะอยู่ได้ไม่นาน เมื่อถามว่าพัฒนาอะไรล่ะที่ทำให้ประชาชนปากไม่แห้ง ท้องไม่หิว มันก็ต้องพัฒนาอาชีพ ที่วัดนี้เน้นเรื่องซื้อที่ ไม่เน้นสร้างโบสถ์หรือสร้างเจดีย์ เพราะที่ดินเป็นฐานของทุกอาชีพ ของแทบทุกอย่างสร้างบนแผ่นดิน แต่เดิมวัดนี้มีที่ดินอยู่แค่ 3 ไร่ ตอนนี้ซื้อที่ไปแล้ว 175 ไร่ จึงทำอะไรได้ใหญ่โตมโหฬาร วัดสวนแก้วแห่งนี้ มีนโยบายอย่างหนึ่งซึ่งทำให้มีพระสงฆ์มาอยู่น้อยคือพระต้องทำงาน และเมื่อมีญาติโยมถวายปัจจัยเข้ามา เงินต้องเข้ากองกลางทั้งหมด พระจะนำไปเก็บไว้ในกุฏิในย่ามไม่ได้ อาตมาไล่ออกสถานเดียว พระที่นี่ต้องมีอุดมการณ์ และที่วัดนี้ไม่มีเมรุ ไม่มีศาลาสวดศพ พระที่นี่เน้นทำงานพัฒนา มีหน้าที่เผยแพร่ สั่งสอนอบรมเด็ก สอนญาติโยม ศาสนาพุทธอยู่ด้วยคำสั่งสอน ไม่ได้อยู่ด้วยพิธีกรรม ปัจจุบันที่นี่มีพระสงฆ์แค่ 4–5 รูป ตามวัดสาขาก็มีแห่งละ 2–3 รูป โชคดีที่พระทุกรูปรับหลักการที่อาตมาวางไว้ได้ เรื่องนี้คนไทยกับคนต่างประเทศมองต่างกัน คนไทยรู้จักพระพยอมเพียงแค่พระนักเผยแพร่ แต่ต่างชาติรู้จักในฐานะพระนักพัฒนา เคยมีคนต่างชาติมาบริจาคเงินให้วัดครั้งละจำนวนมากๆ เพราะเขาดูสารคดีจากเมืองไทยว่าเราทำอะไรบ้าง แต่คนไทยไม่ค่อยรู้จักเท่าไร (ยิ้ม)
อาจเป็นเพราะสมัยก่อนเทปธรรมะพระพยอมของท่านโด่งดังมาก คนไทยเลยเข้าใจว่าท่านเป็นพระนักพูด
ตอนนั้นเขายังไม่เห็นว่าอาตมาไปทำอะไรไว้ที่ไหนอย่างไร มันไม่กระจ่างแจ้ง เรามาเริ่มกันภายหลัง ช่วงหลังมีที่ดินแปลงใหญ่ จะเป็นชาวนาอย่างเก่าไม่ได้ ต้องเป็นชาวพัฒนา ถ้ามัวแต่เป็นชาวนาเหมือนเดิม ไม่ยอมเป็นชาวพัฒนา หนี้ ธกส. ก็คงไม่หมดสักที อาตมาเลยฉีกแนวออกมา จนในที่สุดก็เห็นผล น่าจะมีวัดเดียวในประเทศไทยนะที่เป็นแบบนี้ เวลาโรงเรียนปิดเทอม เด็กๆ มาทำงานกันเต็มวัดเลย พอทำงาน เขาก็ได้เงิน เวลาไปโรงเรียนก็ไม่ต้องขอเงินพ่อแม่ เห็นแล้วก็ปลื้มใจ (ยิ้ม)
ทราบว่าจุดเปลี่ยนทางความคิดของท่านเกิดจากการไปปฏิบัติธรรมที่สวนโมกข์ สุราษฎร์ธานี
มีส่วนอย่างมาก ตอนแรกที่ไปก็มีแรงปะทะอารมณ์ เช่น ท่านพุทธทาสสอนว่าการทำงานคือการปฏิบัติธรรม แล้วทำไมมานั่งหลับหูหลับตากันหมด ภาพที่เห็นคือการนั่งหลับตาตั้งสมาธิ ก็ค้านอยู่ในใจ แต่ตอนหลังมาเจอบทสวดที่ว่า เห็นประโยชน์ตนก็ทำประโยชน์ของตน เมื่อเห็นประโยชน์ส่วนรวมก็ทำประโยชน์แก่ผู้อื่น หรือจะทำไปพร้อมกันทั้งประโยชน์ของตนและประโยชน์ของผู้อื่นด้วยความไม่ประมาทก็ได้ เลยหันมาคิดว่า ความสงบเย็นต้องมีประโยชน์ ไม่ใช่สงบเย็นแล้วนั่งแข็งเป็นก้อนหินท่อนไม้ ไม่มีประโยชน์กับศาสนาและสังคม สงบเย็นคนเดียวแบบนี้ ความสุขมันแคบไปไหม ถ้าเราทำความสุขให้กว้างกว่านี้ เราสุข คนอื่นก็สุข ไม่ใช่ว่าเราสุข แต่คนอื่นเขาทุกข์อดอยากแทบตาย เลยตั้งใจว่าชาตินี้ต้องเติมความสุขให้ชาวบ้าน ตอบแทนที่พวกเขาทะนุบํารุงศาสนา อยากช่วยดูแลเพื่อนมนุษย์ที่เกิดแก่เจ็บตายพร้อมกับเรา เวลาคนเขาแผ่เมตตา รู้ไหมว่ามันจะมีพลังประหลาดเกิดขึ้น เป็นพลังรักที่ช่วยลดกิเลสไปในตัว ในขณะที่เรารักผู้อื่น เราจะลืมตัวเรา ความเห็นแก่ตัวของเราจะลดลง แต่ถ้าเราไม่รักผู้อื่น เราจะบ้ารักหลงตัวเอง จนไม่มีอารมณ์ที่จะไปรักหรือช่วยใคร อาตมาเคยนั่งคิดว่าถ้าไม่ผันชีวิตมาทางด้านนี้ นั่งหลับหูหลับตาอย่างเดียว ป่านนี้คงเป็นท่อนหินท่อนไม้ไปแล้ว พอมาถึงตรงนี้ก็ปลื้มใจ ถึงจะเหนื่อยแต่ก็มีความสุข
แล้วคนทั่วไปล่ะคะ ควรมีหลักธรรมข้อไหนไว้ยึดปฏิบัติในชีวิต
ต้องมีหลักธรรม คือคำว่า “อตัมมยตา” ซึ่งเป็นธาตุชนิดหนึ่งที่อยู่ในอารมณ์ของมนุษย์มาตั้งแต่เด็ก นั่นคือความอยากเลื่อนระดับของตัวเองตลอดเวลา ตอนเด็กก็เบื่อกับการนอนแบเบาะ อยากพลิก อยากคลาน อยากคว่ำ อยากตั้งไข่ อยากเดิน พอโตขึ้น บางคนใช้ชีวิตจมอยู่กับอบายมุข ดื่มน้ำเมา ก็อยากเลื่อนให้หนักขึ้นไปเรื่อยๆ เราควรไสหัวเรื่องพวกนี้ออกไป เราจะอยู่ในสภาพนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว อยู่อย่างขี้เมาขาดสติ ไร้สติแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ต้องสลัด ละ เลิก หรือตะเพิดอบายมุขออกไป คำว่า “อตัมมยตา” แปลแบบไพเราะก็ได้ว่า เชิญมันออกไป ไสหัวมันออกไป และที่หยาบสุดคือ กูไม่เอากับมึงแล้วโว้ย อยู่กับมึงไปก็มีแต่ทำให้กูต่ำตม จมโคลนอยู่แบบนี้ ถ้ามนุษย์มีหลักธรรมตรงนี้ อบายมุขก็ครอบไม่ได้ เราต้องไสหัวสิ่งไม่ดีเหล่านี้ออกไปให้ได้
คือการผลักสิ่งไม่ดีออกไปจากชีวิต
ใช่ ถ้าไม่ไสหัวมันออกไป มันก็จะไสหัวเราให้เข้าคุกเข้าตาราง รอบตัวเรามีแต่สิ่งปรุงแต่งจนกลายเป็นสิ่งสกปรกที่คนมองว่าสวยงาม เอาสิ่งต่างๆ มาฉาบ มาย้อม มาทา มาปรุง จนคนติดความสวยงามกันไปหมด ทั้งๆ ที่ร่างกายเราคือสิ่งสกปรก เลือดเนื้อ เสลด ซึ่งถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ สังคมก็จะแย่ลงเรื่อยๆ ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าท่านเห็นเรื่องในวังที่เคลือบไปด้วยน้ำตาล พระองค์เห็นยาพิษที่ทำให้หลงเวียนว่ายอยู่ในสงสารวัฏ ท่านจึงไม่ยอมอยู่ด้วย ชาวพุทธเราไม่ค่อยมีใครศึกษาหรือเทศน์เรื่องนี้ นอกจากหลวงพ่อพุทธทาสที่เทศน์สอนเรื่องนี้อย่างเต็มๆ มีอยู่ข้อหนึ่ง สิ่งที่พระอริยเจ้ารังเกียจ แต่ปุถุชนชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง อำนาจ ผลประโยชน์ แต่พระพุทธเจ้ามองว่า ตำแหน่งและอำนาจเป็นตัวล็อคชีวิตให้ติดให้ชมให้หลง และสุดท้ายท่านอุปมาว่า สิ่งเหล่านั้นเหมือนกับสวรรค์ของคนโง่
แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสังคมแบบนี้ มันหล่อหลอมให้คนส่วนมากเป็นแบบนี้
ก็ต้องอย่าไปจมกับโลกียวิสัยหรือโลกแห่งโลกีย์ ลองหันมาสัมผัสโลกแห่งโลกุตระหรือโลกเหนือการปรุงแต่งดูบ้าง เวลาเห็นโลกของคนอื่นก็มองว่าเอร็ดอร่อย น่าสนุก และโปรดปราน ไม่เห็นโทษใดๆ เหมือนปลาไม่เห็นเบ็ด เห็นแต่เหยื่อเท่านั้น เวลาใครมาที่นี่ อาตมาจะพยายามอบรมบ่มเพาะเรื่องนี้ ที่วัดก็มีวัยรุ่นมาปฏิบัติธรรม มาใช้ชีวิตแบบ “กินอยู่อย่างต่ำ มุ่งกระทำอย่างสูง” ทุกวันนี้คนในสังคมแข่งขันกันมาก แข่งกันเด่น แย่งอำนาจ แย่งผลประโยชน์ แถมยังแข่งกันลอยตัวให้สูงกว่าคนอื่นอีก หารู้ไม่ว่าที่แท้ต่ำกว่ากิเลสอยู่ทุกวัน ยิ่งทำตัวสูงกว่าเพื่อนมนุษย์ จิตก็ยิ่งต่ำลงไปอีก อาตมาเคยใช้คำคำหนึ่ง โยมชอบกันมาก มีคนเอาไปใช้ปฏิบัติ ได้สวรรค์ในบ้านขึ้นมาทันที ประโยคนั้นคือ “ยอมแพ้คนเอาชนะกิเลส ดีกว่ายอมแพ้กิเลสเพื่อเอาชนะคน” เมื่อก่อนเขาพยายามเอาชนะเมียอยู่เรื่อยๆ จนเขาและเมียอยู่ไม่เป็นสุข ตอนหลังมานี้เขายอมแพ้เมีย แต่เขาเอาชนะกิเลส ไม่ทะเลาะกัน บ้านก็เป็นบ้าน ชีวิตมีความสุขมากขึ้น
ท่านเคยพูดไว้ว่าอุปสรรคสำคัญของนักบวชคือ “สตรี” กับ “สตางค์” ด้วยใช่ไหม
ทั้งหมดเป็นความสูญเสียของพระ เมื่อพระสะสมเงินมาก สตรีจะวิ่งเข้าหา สตรีจะไม่วิ่งเข้าหาพระที่อดอยากยากจน พระต้องรู้จักรักษาพรหมจรรย์ไว้ให้ดี พยายามอย่าวูบวาบกับมัน ให้จิตใจมั่นคงกับพรหมจรรย์ของเราก็จะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น มันมีคำหนึ่งที่เรียกว่า “นารีพิฆาต” แต่ถ้าต่างคนต่างพิฆาต ก็เหมือนผีเน่ากับโลงผุ ส่วนเรื่องเงิน ถ้าบริหารจัดการดีก็ไม่มีปัญหา สมัยนี้เขาเปิดเป็นบัญชีวัด พระมีหน้าที่วินิจฉัยว่าจะมอบเงินให้โรงพยาบาลเท่าไหร่ ให้ทุนการศึกษาเด็กเท่าไหร่ นำมาดูแลคนแก่เท่าไหร่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าเงินทองมันเหมือนงูพิษ แต่ถ้าบริหารอย่างดี เซรุ่มพิษของงูมันก็สามารถนำมารักษาได้เหมือนกัน
รายได้หลักของวัดสวนแก้วที่เอามาช่วยพัฒนาต่างๆ ตอนนี้มาจากไหนบ้าง
อันดับแรกเลยคือเรื่องขยะ เป็นวัดแรกและวัดเดียวในประเทศไทยที่ทำเรื่องนี้ จนกลายเป็นหนังสือ มหาบุรุษกองขยะ ปีหนึ่งทำได้ 50-60 ล้าน มากกว่าทอดกฐินทอดผ้าป่า 10 ปีเสียอีก เรานำขยะมารียูส รีไซเคิล นำมาซ่อมใหม่ ได้เงินกลับมามหาศาล รายได้ตัวแรกจึงมาจากขยะ ตัวที่สองคือภาคเกษตร อย่างหน่อไม้ที่ขายในวัด ทำรายได้วันหนึ่งไม่ต่ำกว่า 5,000–10,000 บาท ที่วัดนี้มีทั้งกล้วย อ้อย แม้กระทั่งทุเรียนเมืองนนท์ลูกละเป็นแสน มีทั้งก้านยาว หมอนทอง ตอนน้ำท่วมนนทบุรี ทุเรียนเมืองนนท์ส่วนใหญ่ตายกันเกือบหมด เหลือแค่ไม่กี่ต้น ราคาเลยแพง ทุเรียนที่นี่อร่อย เนื้อละเอียดกว่าที่อื่น รายได้ตัวที่ 3 ก็คือเทป หนังสือ เทศน์ บิณฑบาตนี่ปีหนึ่งได้เป็นล้าน แต่อาตมาบิณฑบาตไม่ได้เน้นเรื่องได้เงิน เน้นการเผยแพร่ เน้นการนำหนังสือเอาไปแจก จะพยายามไปในที่ที่ยังไม่เคยแจกมากกว่า
การที่ท่านพัฒนาสร้างนั่นสร้างนี่อะไรแบบนี้เยอะขึ้น มันก็ฉิวเฉียดกับคำว่า “สะสมทรัพย์” ไหมคะ
ต้องไปดูตัวบัญชี ที่ผ่านมามีรายการต่างๆ เข้ามาสัมภาษณ์ เขาก็มาดูตัวบัญชีของวัด วัดอื่นเขาไม่ให้ดูนะ แต่วัดนี้ให้ดู เพราะทุกอย่างไม่มีชื่อของอาตมา เป็นของมูลนิธิสวนแก้วทั้งหมด อาตมาเป็นแค่คนบริหารจัดการ โดยตั้งปณิธาณไว้ว่าจะไม่สะสมอะไรเลย ตารางวาเดียวก็ไม่มี ทุกอย่างที่ได้มา ขอให้เป็นของศาสนา เวลามีญาติโยมมาถวายแล้วบอกว่าขอถวายส่วนตัวนะเจ้าคะ อาตมาก็บอกโยมไปว่า เดี๋ยวจะบาปนะ ต้องถวายทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา ถ้าถวายส่วนตัวพระก็จะสะสม แต่ถ้าบอกว่าถวายทะนุบำรุงศาสนา พระจะนำไปใช้ในกิจกรรมทางศาสนาได้ ปีๆ หนึ่ง อาตมาพิมพ์หนังสือและผลิตแผ่นซีดีสำหรับแจก 4 ล้าน และให้ทุนการศึกษาแก่เด็ก 4 ล้าน แล้วก็มอบให้โรงพยาบาล ถามว่าสะสมตรงไหน เรื่องแบบนี้อยู่ที่การบริหารจัดการ อยู่ที่แนวความคิด อย่างเวลาพระเจ็บป่วยไม่สบาย ทางมูลนิธิเขาก็จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ จะไปไหนทำอะไร ก็มีแท็กซี่ให้ โดยมูลนิธิเป็นผู้จ่ายเงิน มีข้อแม้แค่ห้ามจับเงิน ต้องนำเงินมาไว้กองกลาง ในมูลนิธิมีคณะกรรมการมูลนิธิชัดเจน ตอนนี้เราจ้างคนอื่นมาทำบัญชี วัดเราทำก่อนที่เขาจะปฏิรูปวงการสงฆ์เสียอีก เราจึงสามารถเปิดเผยทุกอย่างได้
ท่านวางแนวการพัฒนาวัดสวนแก้วต่อไปอย่างไรบ้าง
ต่อไปนี้คงจะเน้นเรื่องคน ที่ผ่านมาเหมือนเราสร้างโรงงานเสร็จแล้ว ต่อไปก็จะเริ่มเดินเครื่องอบรม เราเตรียมที่ดินไว้พร้อม วัดวาอารามทุกอย่าง ที่พัก สถานปฏิบัติธรรม โรงงานพร้อม เลยอยากผลิตงานด้านปฏิบัติธรรม เน้นปฏิบัติเป็นคอร์สๆ ไม่อยากให้คนมาทำบุญแบบประเภทจิ้มดูด มาแป๊บกลับแป๊บ พอไม่จบคอร์ส มันก็ไม่กระจ่างในศาสนา อาตมาอยากให้ที่นี่เป็นที่ปฏิบัติธรรมด้วย ด้านในวัดมีแม่ขาว (แม่ชี) อยู่เต็มไปหมด โดยวัดจัดเป็นห้องพักให้ มีทั้งแอร์และพัดลม เผื่อเขาอยู่บ้านเขาติดสบาย เราก็มีบริการ ตอนนี้มาเข้าคอร์สกันเยอะขึ้น ส่วนเรื่องการพัฒนาสงเคราะห์นี่น่าจะอิ่มตัวแล้ว เพราะเรามีทุกอย่างครบแล้ว คนทำงานเขาสามารถเดินเครื่องต่อไปเองได้ เราทำได้เพียงให้คำแนะนำ ให้กำลังใจ ต่อไปอาตมาก็ต้องดีดตัวออกมา จะไม่เข้าไปทำทุกอย่างแล้ว เพราะถ้าเกิดเราตายไป เขาจะทำกันไม่เป็น ต่อไปคงต้องปล่อยมือบ้าง ยกให้เขาคุมไป ถ้าเขาทำแล้วติดขัดอะไรแก้ไขไม่ได้ เราค่อยเข้าไปช่วยแนะนำแก้ปัญหาให้
ที่ท่านบอกว่าน่าเสียดายที่มาทำงานในช่วงขาลง เลยไม่ได้ประสิทธิผลเต็มที่ ท่านเคยวิเคราะห์ไหมคะว่าเหตุใดจึงเกิดจุดเปลี่ยนที่ทำให้ท่านพบกับขาลงแบบที่ว่า
จุดเปลี่ยนของอาตมาคือเรื่องการเมือง เรื่องการแบ่งสีของเหลืองแดง บางคนศรัทธาอาตมามาก แต่เขาอยู่คนละฝั่งกัน เขาก็ผลักให้เราไปอยู่อีกฝั่ง เขาคงผิดหวังมาก ทั้งๆ ที่มันคือความผิดพลาดด้วยความหวังดีแท้ๆ ตอนนั้นอาตมาเห็นว่าการเมืองมันวุ่นวายเหลือเกิน เลยอยากเปิดวัดเปิดเวทีให้ทุกฝ่ายมาดีเบตพูดคุยกัน ทีนี้ฝั่งเสื้อแดงเขาจองมาก่อน จากนั้นเสื้อเหลืองก็ตามมา แต่ คมช. สมัยบิ๊กบัง (พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน) เขายึดอำนาจพอดี เสื้อเหลืองเลยไม่ได้มา แต่เสื้อแดงได้มา ภาพเลยติด เขาหาว่าเราลำเอียง หาว่าเปิดวัดให้ฝ่ายเสื้อแดง เงินทำบุญหายไปเป็นร้อยล้าน แล้วก็มาเกิดเรื่องธรรมกายอีก อาตมาไปวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ก็ไปกระทบเขา ทำให้ถอนตัวลำบากไปอีก เรียกว่าเป็นขาลงจริงๆ แต่ตอนนี้ก็ดีขึ้น สถานการณ์ต่างๆ เริ่มดีขึ้น ก็ไม่เป็นไรหรอก มันพลาดไปแล้ว
อยากให้ท่านช่วยให้แนวคิดการใช้ชีวิตปีหน้าแก่ผู้อ่านค่ะ
อาตมาอยากฝากไว้ว่า ถ้าคุณยังจมอยู่ในน้ำเมา ติดยาบ้า หรือจมอยู่กับเพื่อนฝูงที่เลว ๆ รอบข้าง ขอให้คุณรู้สึกว่าทนอยู่กับมันต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ขอให้ไสปัญหา ไสสิ่งที่ทำให้ทุกข์ออกไปให้ได้ นั่นคือ ‘อตัมมยตา’ ที่เคยกล่าวไป ถ้าพูดให้เพราะคือเชิญมันออกไป ถ้าพูดหยาบหน่อยคือไสหัวมันออกไป พูดกลาง ๆ ก็คือ อยู่กับมันต่อไปไม่ได้แล้ว กับไอ้พวกที่พาให้ชีวิตต่ำตม เราต้องเลื่อนระดับ ยกระดับให้ชีวิต ไม่อย่างนั้นก็จะย้ำซ้ำอยู่กับที่ เมื่อปีใหม่มาถึง พ.ศ. มันเลื่อน ความดีความงามมันต้องเลื่อนขึ้นมาด้วย ฉลาดอะไรดีไม่เท่าฉลาดลด ละ เลิก เรื่องเสื่อมต่ำตมทั้งหลาย สิ่งอบายมุขทั้งหมด ถ้าคุณเลิกได้ เลื่อนระดับได้ ชีวิตก็จะมีความสุขขึ้น ปีใหม่ทั้งที ขอให้เลื่อนระดับจากต่ำตมมาสูงส่งด้วยกันทุกท่านทุกคน เทอญ
สาธุ…
พระพยอม กัลยาโณ
สถานที่ : วัดสวนแก้ว เลขที่ 55/1 หมู่ที่ 1 ตำบลบางเลน อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี 11140
สนใจสนับสนุนโครงการต่างๆ ของมูลนิธิสวนแก้ว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ โทรศัพท์ 0 2595 1444, 0 291 5023 กด 0
มือถือ: 09 2940 3125
E-mail: kanlayano@gmail.com
หรือสั่งจ่ายในนาม ‘มูลนิธิสวนแก้ว’ เลขที่บัญชี 269–2–12533–1 ธนาคารกสิกรไทย สาขาบางใหญ่ นนทบุรี