พลังจากหัวใจที่ไม่พิการ: สุชาติ โอวาทวรรณสกุล

-

“ผมอยากเปลี่ยนทัศนคติแบบเก่าให้มากที่สุด ถ้าพ่อแม่ให้พวกเขามาทำงานกับเรา ก็จะเห็นว่าเขามีศักยภาพในตัวเองเช่นเดียวกับคนอื่นๆ และเมื่อมีสื่อฯ ร่วมเผยแพร่สิ่งนี้ไปมากขึ้น คนก็เริ่มช่วยกันมากขึ้นด้วย” คุณสุชาติ โอวาทวรรณสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทโอวาทโปรแอนด์ควิก จำกัด เล่าถึงสิ่งที่ต้องการส่งต่อในยามนี้ การให้คนพิการได้อยู่ร่วมสังคมอย่างกลมกลืน ดั่งเช่นที่บริษัทกำลังทำอยู่ ราวกับย่อสังคมไทยในอนาคตซึ่งเขาปรารถนาให้เป็นจริง เอาไว้ ณ ที่แห่งนี้

แรงบันดาลใจเริ่มขึ้นเมื่อคุณสุชาติมีลูกเป็นดาวน์ซินโดรม เขาตัดสินใจลาออกจากงาน เพราะต้องการดูแลลูกอย่างเต็มที่ ได้เรียนรู้เข้าใจคนพิการมากขึ้น จึงนำลูกตัวเองเป็นโมเดลในการพัฒนา เพื่อมาปรับค่านิยมความคิดต่อคนพิการในสังคมไทย

“ตอนแรกทุกคนจะช็อก เหมือนโลกถล่ม แต่พอเกิดทุกข์กะทันหันเราจะเข้าใจมันเร็วขึ้น ผู้ปกครองมักอายลูกตัวเอง ผมจึงทำตรงข้าม ในเมื่อผมไม่อาย ก็พาลูกไปออกงานสังคม กล้าโพสต์เรื่องของลูก เวลาสื่อฯ มาสัมภาษณ์ จะเบลอร์หน้า คาดตาเขาเหมือนผู้ต้องหา ผมบอกไม่ต้องครับ ถ่ายให้เห็นชัดไปเลย ในความเชื่อผม ลูกไม่ได้ผิด แค่แตกต่างจากคนอื่น ถ้าจะอยู่ร่วมกันในสังคม ก็ต้องทำให้เหมือนคนทั่วไป หนึ่งในปัญหาที่เจอมากคือการหย่าร้างของผู้ปกครองเด็กพิเศษ เจอแม่เลี้ยงเดี่ยวเยอะมาก ผมถึงต้องทำให้ผู้ชายด้วยกันเห็นว่า เรื่องนี้ต้องช่วยกันสองแรง ไม่ใช่ผลักให้เป็นภาระของผู้หญิง”

 

 

ความยากในการเปิดใจทั้งสองฝ่าย

สิ่งแรกคุณสุชาติมองความปลอดภัย ยิ่งคนพิการที่เป็นผู้หญิงมาทำงานด้วยแล้ว บริษัทจึงติดกล้องวงจรปิด 24 ชั่วโมงในหลายจุด เพื่อความสบายใจสำหรับทุกคน จากนั้นดึงศักยภาพออกมา โดยให้เขาได้ทำสิ่งที่ชอบ เมื่อมีความสุข ก็จะพัฒนาต่อไปได้ เป็นสิ่งที่ได้เรียนรู้จากลูกเช่นกัน

“พอผู้ปกครองเห็นความตั้งใจจริง ก็ไว้วางใจ แต่ขอให้เข้าใจด้วยว่า เราไม่ได้เป็นสถานสงเคราะห์ที่ให้ลูกมานั่งเฉยๆ ต้องทำงานได้จริง เพราะหัวใจสำคัญคือ เมื่อพ่อแม่ไม่อยู่แล้ว เขาสามารถมีรายได้เลี้ยงดูตัวเอง หรือช่วยเลี้ยงดูครอบครัวได้ ส่วนของค่าแรง ผมให้เท่ากับคนทั่วไปตามปกติ เวลามีกิจกรรมสังสรรค์ก็ไปด้วยกันหมด การที่ให้คนปกติทำงานกับคนพิการ แรกๆ ก็ยากเหมือนกัน ต้องปรับกันทั้งสองฝ่าย เพราะมีทัศนคติว่า คนพิการต้องอยู่บ้าน อย่ามาอยู่ในสังคมจะเป็นภาระ ในช่วงแรกเราต้องสอนคนพิการ แล้วให้พ่อแม่เขาช่วยสอนด้วย คนพิการก็จะเข้าใจและทำได้

“มีคนถามว่าผมเสียเงินเปล่าไหม แทนที่งานชิ้นนี้จะจ้างแค่คนเดียว แต่กลับจ้างคนพิการหลายคน แต่เชื่อไหม น้องบูมที่เป็นคนพิการได้อันดับหนึ่งของสโตร์ เพราะเขาทำสม่ำเสมอ ทำซ้ำ ตามเวลาเดิม ไม่ยอมหยุดงาน มีความรับผิดชอบสูง งานเลยเป๊ะ เมื่อก่อนในแต่ละวันต้องจัดของส่งหลายที่ มีเครื่องมือเยอะมาก รถสิบกว่าคันวิ่งเข้าออก มักมีพลาดตลอด ขาดบ้างเกินบ้าง โดนลูกค้าโทร.มาตำหนิ แต่พอน้องบูมมา เขาเป๊ะ เขาไม่ยอมนะ สมมติไม้กวาดไม่ครบ จะไปยืนกดดันหัวหน้าสโตร์บอกว่าขาดกี่อัน ต้องให้ครบ กลับกลายเป็นข้อดีไป (ยิ้ม) คนก็เห็นว่าคนพิการทำงานได้ พออยู่ร่วมกันมากขึ้น เที่ยวด้วยกัน กินด้วยกัน ก็ได้เห็นมุมที่น่ารักและดีกว่าคนปกติในบางเรื่อง คนอื่นมีนินทาให้ร้าย แต่พวกเขาไม่ได้ใส่ใจเลย เขาอยู่กับปัจจุบัน คนทั่วไประหว่างงานอาจมีนั่งเล่นมือถือ เม้าท์นั่นนี่ แต่พวกเขาพอผมสั่งงานแล้วต่างคนต่างทำ พอเสร็จงานก็ต้องหางานป้อนให้ใหม่ กลายเป็นข้อดีแทน”

 

 

พลังความสุข

คุณสุชาติเล่าว่าพวกเขาทำได้มากกว่าที่คิด ถ้าคุณสามารถดึงศักยภาพออกมา “ผมรับน้องสองมาทำงานตั้งแต่อายุ 15 อยู่กับเรามา 8 ปี เมื่อก่อนเวลาแม่เขามาขายผัก ก็เอาน้องสองนั่งข้างๆ เลยชวนมาทำงาน แม่เขาเล่าทีหลังว่า นึกว่าคุณสุชาติหลอกลูกไปขอทาน ใครจะเอาเด็กพิเศษไปทำงาน พอได้เงินเดือนจริง จากร้านขายผักเล็กๆ สามารถเช่าเพิงขายของในพื้นที่ได้ เดิมเป็นหนี้นอกระบบ ก็ปลดหนี้ได้ ผมเคยสัมภาษณ์น้องสองว่าจะเอาเงินไปทำอะไร เขาบอกสงสารแม่ หนี้เยอะ ตอนแรกนึกว่าพูดเล่น แต่เขาทำได้ (ยิ้ม) เงินจากลูกคนนี้ช่วยปลดหนี้ให้แม่จริงๆ เมื่อครอบครัวเขามีความสุข เราก็พลอยรู้สึกมีความสุขด้วย”

 

 

กระจายโมเดลสู่หลายชุมชนในไทย

“อยากให้ทุกบริษัทเปิดโอกาสให้แก่คนพิการ ทำ CSR ปลูกต้นไม้ ลองทำ CSR กับคนพิการสิ การให้โอกาสเป็นสิ่งสำคัญ ผมเคยขาดโอกาส เป็นเด็กบ้านนอก พ่อแม่ไม่มีเงินทอง ไม่ได้เรียนดี วันหนึ่งเมื่อผมมี ก็อยากส่งต่อ ตอนนี้ผมเป็นนายกผู้ประกอบการธุรกิจทำความสะอาด นำเสนอโมเดลที่ผมทำมาแล้วให้ดู เขาก็จ้างคนพิการเยอะขึ้น กระจายไปทั่วประเทศ ทำงานในชุมชน ในหน่วยงานราชการ มีคุณแม่รับจ้างได้วันละ 200 บาท ล่ามลูกพิการไว้เขียงนาตอนทำงาน พอลูกได้ทำงานในโรงพยาบาล ค่าแรงวันละ 300 บาท แม่ก็มาช่วยงานลูก ได้อยู่กันมีความสุข ตอนไปตามหมู่บ้านก็เจอต่อว่าเพราะไม่เชื่อ ไม่กล้าให้มาทำสัญญาที่กรุงเทพฯ พาขึ้นรถมาก็ถูกตำรวจหาว่าจะเอาคนพิการไปขอทาน (หัวเราะ) พอทำงานจริง บริษัทโอนเงินจริง คนที่หมู่บ้านก็เริ่มเชื่อ เดี๋ยวนี้เฮโลกันมาเลย”

 

 

ยี่สิบปีที่จะยังก้าวต่อไป

คุณสุชาติรับว่าทำสิ่งเหล่านี้มาเกือบยี่สิบปี แรกๆ ก็มีท้อเหมือนกัน บางคนมองว่ามีผลประโยชน์แอบแฝง หากแต่นานวันเข้า ทุกสิ่งพิสูจน์ให้เห็นเอง สำคัญคือความชัดเจน “ผมอยากเอากฎหมายเพื่อคนพิการที่มีอยู่แล้ว มาทำให้เป็นจริง ให้เขาได้รับจริง ไม่เน้นเรื่องการบริจาคเลย ไม่อยากมีดราม่าว่าเอาคนพิการมาหากิน ทุกสิ่งที่ทำต้องเปิดเผย ต้องโปร่งใสที่สุด ตอนนี้เรามีสื่อโซเชียลมีเดีย ไลฟ์สดให้เห็นชัดว่ากำลังทำอะไร”

 

ช่องทางติดตาม

Facebook : owatmaid


คอลัมน์: ยุทธจักร ฅ.ฅน เรื่อง: มาศวดี ถนอมพงษ์พันธ์

All Creative Team

Writer

ร่วมสร้างสังคมอุดมปัญญา

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!