‘ภณ’ ณวัสน์ เป็นคลื่นลูกใหม่ในสังกัดช่อง 3 ที่น่าจับตามอง ด้วยหน้าตาหล่อเหลาคมคาย เชื้อไม่ทิ้งแถวจากคุณแม่ซึ่งเป็นดาราเก่านามว่า ชณุตพร วิศิษฏโสภณ และฝีมือการแสดงที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง สั่งสมประสบการณ์ในบทตัวรอง แล้วค่อยแจ้งเกิดในฐานะพระเอกเต็มตัวจากละคร ตราบาปสีชมพู แสดงร่วมกับนางเอก ‘บัว’ นลินทิพย์ ซึ่งกลับมาร่วมงานกันอีกในละคร พราวมุก ตอกย้ำความสำเร็จและเกิดเป็นกระแสคู่จิ้น ‘ภณ-บัว’ เรามาทำความรู้จักกับตัวตน ความคิด และเส้นทางการทำงานของพระเอกหน้าคม ซิกซ์แพ็ก สปอร์ตแมน ผ่านบทสัมภาษณ์ของเขาคนนี้กัน
เราเริ่มต้นด้วยการย้อนถามว่าชีวิตวัยเด็กและการเป็นลูกนักแสดงเก่านั้น ทำให้เขาเติบโตมาอย่างใกล้ชิดวงการบันเทิงไหม “ไม่เลยครับ คือมีนานๆ ครั้งที่แม่ออกงานซึ่งเขานำภาพยนตร์เก่ามาฉาย เราก็ตามไปด้วยบ้าง แค่รับรู้ว่าแม่เคยแสดงหนัง แต่แม่ออกจากวงการบันเทิงมานานแล้ว ผมเลยไม่รู้สึกว่าวงการบันเทิงอยู่ใกล้ตัวเรา เหมือนคนละโลกด้วยซ้ำ และแม่ก็ไม่ได้มีอิทธิพลต่อการเข้ามาทำงานตรงนี้ของผมด้วย”
แล้วตอนเด็กๆ ฉายแววเข้าวงการเป็นพระเอกกับเขาบ้างไหม “ไม่มีเลยครับ ตอนมัธยมผมเรียนที่บดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) พี่ ‘เอ’ ศุภชัย ด้อมๆ มองๆ อยู่แถวนั้น เพื่อนๆ ก็ถามว่าไม่เดินไปเตะตาพี่เอบ้างเหรอ ไม่มีเลยครับ ตอนนั้นผมสนใจเล่นกีฬา ตัวเลยดำๆ ใส่เหล็กดัดฟันด้วย
“ตอนเด็กช่วงที่เล่นกีฬา ผมใฝ่ฝันอยากเป็นนักกีฬา เคยไปแข่งกับโรงเรียนอื่น แต่พอจะขยับไปขั้นที่สูงขึ้น พ่อก็ห้ามไว้ เพราะต้องซ้อมหนัก กลัวเราจะเหนื่อยเกิน อยากให้โฟกัสที่การเรียนมากกว่า จากนั้นจึงเบนเข็มมาเล่นดนตรี อยากมีวงดนตรีของตัวเองเหมือนอย่างวงโปเตโต้ บอดี้สแลม วงผมเป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งด้วยนะ เรียกว่าเอาจริงเอาจังเลยตอนนั้น แต่พอเข้ามหา’ลัย เพื่อนๆ แยกย้ายกันจึงไม่ได้สานต่อ” แม้จะไม่ได้ทำวงดนตรีต่อ แต่ภณก็ยังมุ่งมั่นทางด้านดนตรีด้วยการเข้าเรียนในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมดนตรีและสื่อประสม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง นักแสดงหนุ่มเล่าว่าสาขานี้จบไปสามารถทำงานเป็นซาวด์เอ็นจิเนียร์ได้
แล้วเส้นทางวงการบันเทิงเริ่มต้นได้อย่างไร เราถามนักแสดงหนุ่ม “สมัยเล่นเฟซบุ๊กใหม่ๆ ผมก็มีลงรูปตัวเองบ้าง เพื่อนแทคมาบ้าง แล้วพี่หน่อง-ผู้จัดการไปเห็นเข้าก็อินบ็อกซ์มาชวน ตอนนั้นยังเรียนอยู่ ม.4-5 งงมาก พี่หน่องก็คุยกับคุณแม่ นัดเจอกันแล้วถ่ายรูป จากนั้นผมก็เดินสายประกวดเวทีต่างๆ ถามว่ารู้สึกยังไงตอนนั้น เขาให้ทำอะไรก็ทำ ไม่ได้คิดอะไร จนประกวดมาหลายรายการ เริ่มเบื่อ รู้สึกการประกวดไม่ใช่ทางของเราแล้วละ จึงบอกพี่หน่องว่าไม่อยากทำแล้ว อยากหางานเพื่อเป็นค่าเทอมมากกว่า พี่หน่องเลยบอกถ้าอย่างนั้นขอเวทีสุดท้ายแล้วกัน เป็นเวทีใหญ่มีกรรมการเป็นผู้จัดละครช่อง 3 เผื่อมีโอกาสทำงานอื่นต่อ” แล้วเวทีนั้นเป็นสะพานให้ภณได้เซ็นสัญญาเข้าช่องเลยรึเปล่า เราถาม “จริงๆ พี่หน่องพาผมเจอพี่ ‘คิง’ สมจริง ตั้งแต่ยังดัดฟันช่วง ม.5 พี่คิงก็เหมือนจองตัวไว้ก่อน พอเอาเหล็กดัดฟันออก พี่คิงก็เรียกดูตัวและพาไปเซ็นสัญญาครับ”
ระหว่างที่ยังเดินสายแคสต์งานและประกวดเวทีต่างๆ ภณเคยลังเลกับเส้นทางวงการบันเทิงไหมว่าจะใช่ทางของเรารึเปล่า “เคยครับ กว่าผมจะได้เซ็นสัญญาผมไปช่อง 3 ถึง 3 ครั้ง รอบแรก เงียบ รอบสอง เงียบ จนมารอบสามจึงสำเร็จ ผมเคยพิมพ์ลงอินสตาแกรมว่าช่อง 3 ต้องไป 3 ครั้งสิ”
หลังจากเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงในสังกัด ภณก็ได้งานละครทันที ประเดิมเรื่องแรกด้วย สายลับจับแอ๊บ “จำได้เลยก่อนเปิดกล้องผมไปที่ออฟฟิศพี่หน่องเพื่อซ้อมบท ซ้อมจนพี่หน่องบอกพอก่อน รอไปหน้าเซ็ตแล้วคุยกับผู้กำกับว่าเขาต้องการแบบไหนดีกว่า เราแค่จำไดอะล็อกก็พอ ซีนแรกที่ถ่ายจำได้ว่าบทไม่ยาวมาก แต่ผมท่องอยู่นั่นแหละ มันตื่นเต้น” ทว่ากว่าจะเข้าถึงศาสตร์การแสดง ก็ล่วงเลยมาจนผลงานเรื่องที่สาม ตราบาปสีชมพู “ตอนแรกที่ท่องบทยังคิดไม่ออกเลยว่าเราจะเล่นยังไง เรื่องนี้ซีนดราม่าเยอะด้วย ผมกลัวมากว่าจะร้องไห้ได้รึเปล่า ต้องให้เครดิตผู้กำกับครับ พอพี่เขาพูดให้เราเห็นภาพในหัว เมื่อภาพชัดอารมณ์ก็มา พอร้องไห้ได้หนึ่งครั้งก็จับจุดได้ หลังๆ ผมใช้วิธีคิดมาจากบ้านจนเห็นภาพให้ชัดเจนเลย เป็นเทคนิคอย่างหนึ่ง”
มีบทบาทไหนที่ชอบที่สุด นักแสดงหนุ่มตอบว่า “ณ ตอนนี้คือเรื่องคู่เวร ที่กำลังถ่ายทำอยู่ เหมือนเราได้เรียนรู้บุคลิกคนอีกแบบหนึ่ง เป็นคนกวนๆ หน้าตาย มีความตรงไปตรงมา ไม่ชอบคนเสแสร้ง มีความเป็นเพื่อนสูง” ส่วนซีนที่ตรึงตาในความทรงจำนั้น มักเป็นซีนแอ๊คชั่น “ผมประทับใจในส่วนการถ่ายทำ เช่น ฉากรถคว่ำ แม้จะถ่ายทำยาวนานแต่ผมชอบที่เห็นทุกฝ่ายทำงานร่วมกันเป็นทีม หากขาดใครคนใดคนหนึ่ง ซีนนั้นจะไม่สำเร็จเลย ส่วนซีนโหดหินที่ยังจดจำได้ เป็นเรื่องฟากฟ้าคีรีดาว ฉากบู๊เหมือนกัน เป็นมวยใต้ดิน ผมต้องถ่ายสามคู่ พอคู่ที่สามรู้สึกร่างกายเริ่มอืด ชักไม่ไหว ถ้าเล่นต่อต้องมีผิดคิว แล้วโลเคชั่นวันนั้นเป็นห้างร้างเต็มไปด้วยฝุ่น มีไฟสปอตไลท์ตัวเดียวส่อง แถมถ่ายทั้งวัน เหนื่อยจนแทบล้า แต่ภาพที่ได้ก็สวยมากครับ ผมชอบเล่นแอ๊คชั่น ถึงจะแลกมาด้วยความเหนื่อยกายแต่ก็คุ้มค่า”
เมื่อมาเป็นนักแสดงเต็มตัว สิ่งที่คิดกับความเป็นจริงแตกต่างกันไหม เราถามเขา “ตอนแรกคิดว่าเป็นดาราเป็นนักแสดงจะสบาย ชิลล์ๆ กว่านี้ พอมาทำงานจริงเลยได้เห็นว่าแต่ละซีนที่ฉายสองสามนาทีนั้นบางครั้งถ่ายทำเป็นวัน มันไม่ง่ายเหมือนที่เราคิดตอนเด็กๆ”
แม้จะต้องสละช่วงเวลาวัยรุ่นในรั้วมหา’ลัยไปเพื่อการทำงาน แต่นักแสดงหนุ่มก็ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า “ผมเสียดายที่สุดคือชีวิตช่วงมหา’ลัย สมัยมัธยมผมใช้ช่วงเวลานั้นคุ้มอยู่นะ เราได้ทำกิจกรรมหลากหลายทั้งกีฬาและดนตรี จนได้ไปประกวด แต่พอเข้ามหา’ลัย นอกจากกิจกรรมดาวเดือนก็แทบไม่ได้ทำอะไร ผมเริ่มถ่ายละครตอนปีสอง พอเลิกเรียนปุ๊บก็ต้องขับรถไปกองถ่าย เวลาเห็นเพื่อนไปเที่ยว ไปสังสรรค์แล้วลงรูปในกลุ่ม เราก็อยากไปด้วยจัง แต่ทำไม่ได้ ถ้ามีเวลาว่างก็พยายามจะไปด้วย พอให้ได้สัมผัสรสชาติชีวิตวัยรุ่นบ้างก็ยังดี อย่างไรก็ตาม ผมรู้ว่าการที่ผมได้เข้ามาทำงานตรงนี้ไม่ใช่ทุกคนจะมีโอกาส เมื่อชั่งน้ำหนักแล้วก็คุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไป”
เราถามถึงสิ่งที่เขาได้เรียนรู้เมื่อก้าวสู่โลกของการทำงานตั้งแต่ยังวัยรุ่น “ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ครับ พูดกันตามจริงทีมงานเขาเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว อาหารก็มีให้ น้ำก็มีเสิร์ฟ เบื้องหน้าผมมีคนจัดการให้หมด หน้าที่เรามีแค่อย่างเดียวคือการจำบทของตัวเอง ทำการบ้านเพื่อไปแสดงให้ได้ ถ้าเราไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ก็ตกเป็นภาระคนอื่น ออกกองครั้งหนึ่งมีต้นทุนทั้งค่าใช้จ่ายและเวลา ผมจึงพยายามทำหน้าที่ของเราให้ดี ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เป็นคติในการทำงานครับ”
มองตัวเองว่าเป็นคนจริงจังกับชีวิตไหม เราถาม “จริงจังกับบางเรื่อง เช่นเรื่องงาน คนภายนอกมักคิดว่าผมดูเหมือนคนชิลล์ๆ แต่จริงๆ มีความเป๊ะในความชิลล์ มีความเรื่องมากในความสบาย ยกตัวอย่าง เรื่องของการแต่งตัว ดูเหมือนแต่งอะไรก็ได้ แต่ถ้าเสื้อผ้ายับ ไม่เป๊ะ ผมค่อนข้างหัวร้อนละ หรือเวลาสั่งของกิน ผมกินอะไรก็ได้ แต่ขอเลือกหน่อย อะไรก็ได้แต่อันนี้ไม่เอา” (หัวเราะ)
แล้วภณสู้เพื่อฝันขนาดไหน เราถามเขาต่อ “เรามีความฝันที่ยึดไว้เป็นแนวทาง ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่อยากคาดหวังมาก เพราะเราเคยผิดหวัง ตอนนั้นนอยด์เละเทะเลย พอเริ่มมีสติก็ยอมรับแล้วปรับความคิด เรื่องที่ผิดหวังตอนนั้นคือเรื่องเรียนต่อมหา’ลัย เราอยากเรียนจุฬาฯ อยากเดินตามรอยแม่ พอไม่ได้ก็ผิดหวัง แล้วจุดแย่ที่สุดคือเพื่อนติดหมดแต่เราไม่ติด โชคดีที่มาได้สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ตอนนั้นเหมือนสวรรค์โปรดเลย หลังจากนั้นก็เรียนรู้ที่จะเผื่อใจ ถ้าไม่เป็นตามที่หวังก็แค่ยอมรับ แล้วสำรวจว่ามีจุดไหนที่ยังต้องปรับปรุงบ้าง”
ในฐานะคนบันเทิงย่อมเจอคำวิพากษ์วิจารณ์ทั้งบวกและลบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ภณต้องทำใจ “ผมคิดไว้แต่แรกแล้ว ไม่มีทางที่จะมีแต่คนชอบเรา ก็แค่เปิดใจรับทุกคำติชม นำมาพิจารณาตัวเองว่าเป็นดังนั้นรึเปล่า ถ้าไม่จริงก็ปล่อยวาง เอาธรรมะเข้าช่วย แน่นอนว่ากระบวนการคิดเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นในทันที ต้องอาศัยประสบการณ์ ช่วงแรกๆ ผมยังแยกแยะไม่ได้ เขาด่าตัวละครก็พานจะคิดว่าเขาด่าตัวเราเอง ทำให้นอยด์ พอนั่งคิดดีๆ เขาด่าตัวละครแสดงว่าเราเล่นถึงนะ แค่ปรับวิธีคิด”
เราถามนักแสดงหนุ่มถึงเรื่องอนาคต มีสิ่งที่อยากทำหรือสิ่งที่ใฝ่ฝันจะทำให้สำเร็จไหม “ถ้าเป็นงานในวงการบันเทิงอยากร้องเพลง ผมเล่นดนตรีก็จริง แต่เป็นมือเบสก้มหน้า ไม่ได้ร้องเพลงกับเขาเท่าไหร่ จนได้เป็นนักแสดงของช่อง 3 แล้วต้องขึ้นคอนเสิร์ตครอบครัวดนตรี ต้องร้องเพลง เอาวะ ร้องก็ร้อง พอได้ลองก็สนุกดี คนส่วนใหญ่อาจคิดว่าแค่ร้องตรงคีย์ มีเทคนิคนิดๆ หน่อยๆ ก็พอแล้ว แต่จริงๆ การร้องเพลงต้องใส่อารมณ์เข้าถึงบทเพลง เนื้อหาเขาว่าอะไร ต้องอินไปด้วย เป็นความท้าทายอีกอย่างหนึ่ง
“ส่วนความใฝ่ฝันที่อยากทำให้สำเร็จ จริงๆ วางแผนว่าทำงานเก็บเงินสักพักแล้วจะพาครอบครัวไปเที่ยวต่างประเทศ แต่ด้วยสถานการณ์โควิด จึงยังไม่สำเร็จสมความปรารถนา
“โควิดส่งผลกระทบกับผมหลายอย่างเหมือนกัน ทั้งเรื่องงานและจิตใจ ละครถ่ายต่อไม่ได้ ปิดกล้องไม่สำเร็จสักที แล้วผมเป็นสายกีฬา ทำกิจกรรมนอกบ้าน เช่น ปั่นจักรยาน เล่นเวคบอร์ด เล่นเซิร์ฟ พอทำไม่ได้ก็อึดอัด นอยด์ ใช้วิธีดูคลิปคนที่เล่นคลายเครียดแทน”
ปีนี้ภณอายุครบ 25 ปี มีภาพตัวเองที่อยากจะเติบโตไปเป็นแบบไหน “เป็นคนที่โตขึ้น ทว่าไม่ถึงกับข้ามขั้นไปไกล ยังมีความเป็นเด็กอยู่ แต่ด้านความคิดก็โตขึ้น และผมมีความเชื่อเรื่องเบญจเพสด้วย เราพยายามมีสติ ระมัดระวังการใช้ชีวิต ผมชอบเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีม ก็พยายามระวังตัว แต่ช่วงนี้โควิดทำให้หยุดเล่นพอดี”
สิ่งสำคัญ 3 อันดับของนักแสดงหนุ่มคืออะไร เราถาม “ครอบครัว กีฬา และงาน ชีวิตทุกวันนี้ของผมทำอยู่สามอย่างจริงๆ นะครับ ไปทำงาน กลับมาถ้าไม่เหนื่อยเกินไปก็ออกกำลังกาย แล้วกินข้าวกับที่บ้าน ตื่นเช้าออกไปทำงาน วนอยู่อย่างนี้”
ความสุขในทุกวันนี้ของภณคืออะไร คำถามสุดท้ายที่เราถามนักแสดงหนุ่ม “ถ้า ณ วันนี้ก็ต้องเป็นการมีสุขภาพแข็งแรงครับ อย่ามีโรคภัยอะไรเลย แค่นี้ก็สุขสุดๆ แล้ว”
ขอบคุณสถานที่ถ่ายทำ
MeStyle Place
Hip hotel and serviced apartment
22 ซอย 20 มิถุนา แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10310
Tel: 0 2690 5884-6
E-mail: info@mestyleplace.com
www.mestyleplace.com
คอลัมน์: เรื่องจากปก