ในชีวิตของคนคนหนึ่ง มีใครเคยนับไหมว่าเราต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงกี่ครั้ง และในการเปลี่ยนแปลง แต่ละครั้ง เราต้องปรับตัวมากสักแค่ไหน จึงจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ ออล แม็กกาซีนฉบับนี้ มีโอกาสพูดคุยกับ “ต๊ะ-พิภู พุ่มแก้วกล้า” ผู้ประกาศข่าวหนุ่มไฟแรงแห่งรายการข่าวเช้า Good Morning Thailand ช่อง MONO29 และพิธีกรรายการ The Standard Daily ซึ่งเป็นรายการสดผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ (Facebook Live) ที่พบกับการเปลี่ยนแปลงในแทบทุกจังหวะของชีวิตเลยทีเดียว
พิภูเล่าให้ฟังว่าชีวิตของเขาแปรผันมาตั้งแต่ย่างเข้าวัยหนุ่ม เมื่อเรียนจบปริญญาตรีจากคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านสถิติจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็เหินฟ้าไปเรียนปริญญาโทด้าน International Business Finance จากมหาวิทยาลัยบอร์นมัธ (Bournemouth) ประเทศอังกฤษ ความตั้งใจแรกของหนุ่มดีกรีนักเรียนนอกคนนี้คืออยากทำงานด้านการเงิน เศรษฐศาสตร์ หรือเป็นนักวิเคราะห์ตามที่เรียนมา แต่แล้วความคิดก็เปลี่ยนไปเพราะเขาต้องหารายได้มาแบ่งเบาภาระของครอบครัว งานแรกของพิภูจึงเริ่มต้นด้วยการเป็นดีเจรายการวิทยุคลื่น Zeed 97.5 FM เนื่องจากสามารถทำเงินให้มากกว่างานอื่น
“ผมไม่เคยมีความคิดอยากทำงานในวงการบันเทิง ผมชอบดูทีวี ชอบร้องเพลง และชอบฟังเพลงมากกว่าเป็นดีเจ แต่ก็ไม่ได้อยากเป็นนักร้อง อาชีพผู้ประกาศข่าวจึงไม่เคยอยู่ในความใฝ่ฝันใดๆ ของผม แต่จังหวะชีวิตในช่วงนั้นมีการเปิดรับสมัครผู้ประกาศข่าวหลายช่อง และหลายคนบอกว่าทั้งน้ำเสียง บุคลิกภาพ และนิสัยที่ชอบอ่านนู่นนั่นของผมเหมาะกับการเป็นผู้ประกาศข่าว ผมเลยตัดสินใจไปสมัครและทดสอบอ่านข่าว จนได้งานผู้ประกาศข่าวที่ช่อง 9 อสมท”
ชายหนุ่มอ่านข่าวแทบทุกช่วงเวลาให้ช่อง 9 อสมท อยู่เกือบหกปี จนหลายคนคุ้นหน้าผู้ประกาศข่าวหนุ่มคิ้วเข้มพูดจาฉะฉาน แต่เมื่ออายุเริ่มมากขึ้น เขาต้องการหลักประกันและความมั่นคงให้ชีวิต จึงตัดสินใจลาออกจากช่อง 9 ที่ไม่ได้บรรจุเขาเป็นพนักงานประจำทำให้ไม่ได้รับสวัสดิการใดๆ พิภูตัดสินใจเดินหน้าหางานใหม่อีกครั้ง ตอนแรกเขาคิดว่าจะไม่เป็นผู้ประกาศข่าวอีกแล้ว เพราะคิดว่าตัวเองน่าจะเลือกทางเดินชีวิตผิด แต่เขากลับได้รับการทาบทามให้ไปอ่านข่าวเช้าที่ช่อง True4U ทว่าอ่านได้เพียงไม่นาน ชีวิตก็พบกับข้อเสนอที่ปฏิเสธได้ยากอีกครั้ง
“ผมได้รับการติดต่อจากรายการ ‘เรื่องเล่าเช้านี้’ ทางช่อง 3 เขาสนใจอยากให้ผมลองไปเทสต์นั่งอ่านข่าวกับคุณไบรท์ (พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ) และพี่ป๊อป (เจก รัตนตั้งตระกูล) ผลการเทสต์คือผมผ่านการทดสอบ ผู้ใหญ่มอบหมายผมให้นั่งโต๊ะข่าวหลักตอนเช้าซึ่งเป็นที่ที่พี่ยุทธ (สรยุทธ สุทัศนะจินดา) เคยนั่ง เขาให้ทดลองงานสามเดือน ถ้าผ่านสามเดือนไปค่อยว่ากัน ยอมรับว่าผมคิดหนักมาก กลับไปปรึกษาคุณแม่และคนรอบข้าง มีคุณแม่คนเดียวที่ยังอยากให้ผมทำงานกับ True4U คนอื่นที่เหลือล้วนบอกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมต้องไปนั่งอ่านข่าวในที่ที่คนชื่อสรยุทธเคยนั่ง แม้จะแค่สามเดือนก็คุ้ม ผมรู้ว่าเป็นเดิมพันที่สูง สิ่งเดียวที่ติดค้างในใจก็คือผู้ใหญ่ในทรูให้ความกรุณาผมมาก ถือเป็นช่วงเครียดที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ ตอนเข้าช่อง 3 เครียดกว่าตอนออกอีกนะครับ แต่ในที่สุดผมก็ตัดสินใจไปอ่านข่าวที่ ‘เรื่องเล่าเช้านี้’”
สามเดือนแรกที่พิภูอ่านข่าวให้ “เรื่องเล่าเช้านี้” ผู้ใหญ่ทางช่องบอกว่าเขาอ่านข่าวโอเค แต่ยังไม่ดีพอ จึงต่อเวลาเป็นหกเดือนและหนึ่งปีโดยไม่มีการเซ็นสัญญาใดๆ เมื่อเวลาผ่านไปราวหนึ่งปีสี่เดือนครึ่ง เขาโดนผู้ใหญ่เรียกคุย แล้วชีวิตก็พบกับมรสุมความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกระลอก “ผู้ใหญ่คงมองว่าผมทำได้แค่นี้ ยังไงก็ไปไม่ถึงเป้าที่เขาวางไว้ ทางช่องจะปรับให้ผมไปอยู่ตรงอื่น ผมก็บอกว่าไม่เป็นไร ผมเข้าใจ และตัดสินใจลาออก หลายคนเข้าใจว่าผมคงรู้สึกเฟล รู้สึกแย่ แต่บอกตรงๆ ว่าผมไม่ได้รู้สึกแย่ โกรธ หรือเสียใจเลย ตลอดระยะเวลาที่อ่านข่าวให้เรื่องเล่าเช้านี้ ผมมีความสุข อิ่มเอม ภูมิใจ และได้รับประสบการณ์ที่ดีจากที่นี่ ผมรู้สึกว่าผมพอแล้ว ทั้งหมดคือการเรียนรู้ เหมือนได้เข้าไปกวดวิชาหนักๆ ช่วงเวลาที่ผ่านมาคุ้มค่าสำหรับผมมาก ใครไม่ได้ไปนั่งตรงนั้นไม่รู้หรอกว่ามันกดดันและเครียดมากขนาดไหน ตอนที่ผมลาออกจากเรื่องเล่าเช้านี้ ผมออกด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้ขัดแย้งกับใคร อันที่จริงผมอยากลาออกเงียบๆ มากกว่า ผมแค่รู้สึกว่าการเดินทางได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต สนุกดีครับ” เมื่อออกจากช่อง 3 ชายหนุ่มได้รับการชักชวนให้ไปอ่านข่าวที่ช่อง GMM25 แต่ทำได้เพียงปีกว่าๆ ก็เกิดฟ้าผ่าด้านธุรกิจอีกครั้ง เขาจึงย้ายมาอยู่ที่ช่อง MONO29 ในปัจจุบัน
อีกบทบาทที่ทำให้ผู้คนโดยเฉพาะในโลกออนไลน์รู้จักกับพิภูมากขึ้น คือพิธีกรรายการ “The Standard Daily” เขาได้รับการแนะนำจากน้าเน็ก (เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา) ในช่วงเดือนสุดท้ายที่ทำงานให้ช่อง 3 “น้าเน็กบอกว่าทาง The Standard กำลังทำสำนักข่าวออนไลน์ เขาสนใจคุณ อยากให้คุณมาร่วมสร้างสำนักข่าวนี้ด้วยกัน ผมเลยมีโอกาสเข้าไปคุยกับพี่โหน่ง (วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์) และ บก.เคน (นครินทร์ วนกิจไพบูลย์) เรามีความคิดเห็นที่ตรงกันหลายอย่าง เราอยากทำรายการข่าวเชิงความรู้ ข่าวที่เป็นประโยชน์ทั้งทางด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ต่างประเทศ เราอยากนำเสนอเรื่องที่ทำให้คนดูฉลาดขึ้น ไม่เน้นดราม่า ช่วงสัมภาษณ์ในรายการ เราอยากให้เป็นการพูดคุยที่สนุกและน่าสนใจ จึงกลายมาเป็นรายการ ‘The Standard Daily’ ในปัจจุบัน ผมถือว่า ‘The Standard Daily’ เป็นรายการที่เป็นตัวผมมากที่สุด มีทั้งความกวน ความจิกกัด ความตลกแบบแป้กๆ ไม่ต้องคอยเก็บภาพลักษณ์ให้ดูสุขุมลุ่มลึก เหมือนตอนเป็นผู้ประกาศข่าว”
ในเมื่อชีวิตพิภูต้องพบความเปลี่ยนแปลงที่ถาโถมเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วเขามีวิธีปรับตัวหรือรับมืออย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มตอบว่า “ผมไม่ได้เป็นคนที่มองโลกในแง่ดีมาก แต่ก็พยายามหามุมมองในแง่บวกเพื่อเพิ่มพลังให้ตัวเอง เพราะรู้สึกว่าตราบใดที่ลมหายใจยังไม่หมด ร่างกายยังแข็งแรง เรายังไหว เราก็แค่ต้องสู้ ต้องเดินต่อ ถ้าช่วงไหนที่ยังวิ่งไม่ได้ ก็เดินช้าๆ ไปก่อน เพื่อหาหนทางใหม่ ทุกการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี อยู่ที่ว่าเราได้เรียนรู้อะไรบ้าง เราสามารถนำสิ่งใดมาใช้ต่อได้ไหม ไม่มีใครรู้หรอกว่าการตัดสินใจในแต่ละครั้งจะเป็นอย่างไร เส้นทางไหนจะดีที่สุด ทางซ้ายหรือทางขวา เดินหน้าหรือถอยหลัง เรามีหน้าที่ตัดสินใจจากสถานการณ์ เวลา องค์ประกอบ และตัวเลือกที่มีในขณะนั้น เราต้องมองทุกอย่างในแง่บวก ยอมรับผลที่ตามมาให้ได้ ผมคิดว่าทุกการเปลี่ยนแปลงคือการเรียนรู้ และทุกการเรียนรู้ก็ทำให้เราพัฒนาขึ้น เข้าใจโลกมากขึ้น และเป็นผู้ใหญ่ขึ้นด้วย”
ในท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบัน หลายคนอาจกลัวการเปลี่ยนแปลง และยึดติดกับ comfort zone ที่แปลง่ายๆ ว่าพื้นที่แห่งความสบาย จนไม่กล้าก้าวออกไปสู่ความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ เลยจำใจยอมรับสภาพที่เป็นอยู่ พิภูพูดถึงเรื่องนี้ว่า “ผมคิดว่าคนเราอยากมีพื้นที่ที่ทำให้เรารู้สึกสบาย นิ่ง ไม่ร้อนรน แต่ในความเป็นจริง เราคงไม่มี comfort zone ไปตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ครอบครัว หรือความรัก มันต้องมีบ้างที่เราจะกล้าออกจากกรอบเดิมๆ เพื่อไปหาพื้นที่แห่งใหม่ บางทีเราอาจจะเจอ comfort zone แห่งใหม่ก็ได้นะ เราอาจอยู่แบบสบายๆ ได้พักหนึ่ง เมื่อถึงเวลาเราก็ต้องออกไปหาที่ใหม่อีก วิธีคิดคือแม้ว่าเราจะอยู่ในพื้นที่แห่งความสุข แต่ไม่ได้หมายความว่าพื้นที่นั้นจะอยู่ตลอดไป เราควรเผื่อใจไว้บ้าง ถ้าวันหนึ่งต้องตัดสินใจออกจาก comfort zone ก็จะทำได้ไม่ยากจนเกินไป สิ่งที่คุณควรทำให้ได้คือต้องไม่หยุดพัฒนาตัวเอง ต้องรู้ว่าถนัดอะไร เก่งอะไร ชอบอะไร มีความสุขกับอะไร ทำอะไรได้ดี ทุกอย่างต้องไปด้วยกัน เพราะไม่มีอาชีพไหนจะอยู่นิ่งได้ตลอดไป”
ในฐานะสื่อมวลชนที่ดำเนินบทบาทมาสิบปีเต็ม เราถามถึงหลักยึดในการทำงาน พิภูตอบว่า “สิ่งที่มนุษย์ทุกอาชีพควรจะทำคือต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง ซื่อสัตย์และรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำ ถ้าคุณทุ่มเททำทุกอย่างให้ดีที่สุด ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง ต่อเพื่อนร่วมงาน ต่องานของคุณ ต่อลูกค้าของคุณ แม้บางคนจะไม่ชอบตัวคุณและงานของคุณ แต่อย่างน้อยคุณก็จะภูมิใจในงานของคุณ”
ทุกวันนี้ พิภูยังคงเดินหน้าทำงานอย่างมืออาชีพ นอกจากเป็นผู้ประกาศข่าวแล้ว เขายังเป็นพิธีกร จัดพอดแคสต์ เดินสายบรรยายเรื่องงาน ชีวิต และการลงทุน เขาแอบฝันว่าวันหนึ่งข้างหน้า เขาจะไปทำงานเบื้องหลังบ้าง เพราะเมื่อครั้งมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปี 2562 ที่ผ่านมา เขาได้โชว์ไอเดียออกแบบและดีไซน์นำ 10 พรรคการเมืองมาดีเบตร่วมกันทั้งในเวที The Standard และ GMM25 จนกลายเป็น Debate of the Year ที่ใครๆ ต่างพูดถึง พิภูบอกว่า “งานทั้งหมดที่ทำอยู่ เป็นงานที่ใช้ความคิดและเซลส์สมองค่อนข้างเยอะ เหนื่อยนิดหน่อยแต่ก็สนุกดี ถือว่าคุ้มค่ากับชีวิตตรงนี้แล้ว”
ขอบคุณสถานที่:
บริษัท โมโน บรอดคาซท์ จำกัด
อาคารจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล
เลขที่ 200 หมู่ 4 ถนนแจ้งวัฒนะ
อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120
โทรศัพท์ 0 2502 0700 ต่อ 7184
email: info@mono29.com
คอลัมน์: เรื่องจากปก
เรื่อง: ณ ชล / ภาพ: อนุชา ศรีกรการ
All magazine มีนาคม 2563