ความขัดแย้งทางการเมืองที่ก่อให้เกิดการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลและสถาบัน ไม่ว่าจะเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันครอบครัว และสถาบันการศึกษา ในเดือนสิงหาคม 2563 เป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่น่าใส่ใจ เพราะมีปัจจัยเนื่องหนุนที่อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง ความขัดแย้งเกิดจากความคิดต่างและการไม่เคารพความคิดของแต่ละฝ่าย ประวัติศาสตร์การเมืองไทยบันทึกความขัดแย้งด้านอุดมการณ์การเมืองมาตลอดเวลายาวนาน ตั้งแต่ พ.ศ.2490 จนถึง 14 ตุลา 2516 มีการแบ่งข้างเป็นฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ต่อมาในช่วง พ.ศ.2549-2559 เกิดการแบ่งสีเป็นสีเหลืองและสีแดง ส่วนใน พ.ศ.2563 เห็นได้ชัดเจนว่าเกิดการแบ่งวัยระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ เพราะเป็นครั้งแรกที่มีม็อบเด็กนักเรียนออกมาขับไล่รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และแสดงความเสื่อมศรัทธาในสถาบันต่างๆ ของสังคม จนเกิดการปะทะทางความคิดและคำพูดโต้ตอบรุนแรงระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ ระหว่างพ่อแม่กับลูกๆ และระหว่างครูกับนักเรียน ความขัดแย้งที่อาจลุกลามเป็นเหตุใหญ่ร้ายแรงนี้เกิดจากความแตกต่างของความคิดความเชื่อระหว่างผู้ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและระบบสังคมบางอย่างกับผู้ต้องการรักษาสิ่งที่ดีงามตามวิถีสังคมเดิมไว้
วรรณกรรมที่ส่งเข้าประกวดรางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี พ.ศ.2563 มีหลายเรื่องที่แสดงประเด็นของความคิดต่างและความเชื่อต่างไว้ พร้อมทั้งชี้ทางออกว่าการเคารพความคิดของผู้อื่นเหมือนกับที่เราเคารพความคิดของตัวเอง จะเป็นหนทางยับยั้งการปะทะกันด้วยอารมณ์หรืออคติลงได้
เรื่องสั้นเรื่อง “เส้นแบ่ง” ของ วัฒน์ ยวงแก้ว เป็นตัวอย่างที่นำเสนอประเด็นนี้ไว้ชัดเจน เรื่องสั้นเรื่องนี้นำเสนอความเป็นประชาธิปไตยในประเด็นของการอยู่ร่วมกันด้วยสันติวิธี มีการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน แม้จะต่างความเชื่อ ต่างวัฒนธรรม และการเคารพเสียงของคนส่วนน้อยว่าเป็น “เสียง” ของชุมชนหรือสังคมเช่นเดียวกับเสียงของคนส่วนใหญ่
ผู้เขียนให้ภาพของตัวละครเจ้าของสำนักพิมพ์ที่ไม่พอใจว่าเมื่อถึงเทศกาลประจำปี ศาลเจ้าจะตั้งโรงงิ้วที่บริเวณโรงจอดรถด้านหน้าสำนักพิมพ์ ส่งเสียงอึกทึก วางข้าวของระเกะระกะ และส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง เจ้าของสำนักพิมพ์รู้สึกว่าตนถูกรุกราน รุกล้ำพื้นที่และละเมิดสิทธิ จึงพยายาม “หาเรื่อง” ให้โรงงิ้วย้ายออกจากพื้นที่ แต่ในขณะที่กำลังจะทำได้สำเร็จตามประสงค์ เจ้าของสำนักพิมพ์กลับมีความว้าวุ่นใจว่าตนทำถูกหรือไม่
หากผมยกเลิกการให้ใช้สถานที่ ทางศาลเจ้าคงไม่สามารถปิดถนนเพื่อตั้งโรงงิ้วได้ พื้นที่หน้าศาลเจ้าก็คับแคบเกินไป หากจะทำได้ ก็คงมีเพียงการแสดงตามเงื่อนไขพิธีกรรมเล็กๆ ในสิ่งที่พวกเขานับถือ แต่แน่นอนว่าคนไทยเชื้อสายจีนในชุมชน และกลุ่มคนที่เคารพนับถือศาลเจ้าแห่งนี้ย่อมได้รับผลกระทบในแง่ความศรัทธาและประเพณีอันคุ้นชินและภาคภูมิใจมาหลายสิบปี แม้จะไม่ใช่คนส่วนใหญ่แต่ผมจะละเลยพวกเขาได้หรือ เช่นเดียวกับคณะงิ้วที่แม้ผมจะไม่ได้หลงใหลปลาบปลื้มกับศิลปะประเภทนั้น แต่ระหว่างการเดินทางสู่ความล่มสลาย ผมจะมีส่วนในการซ้ำเติมพวกเขาหรือ ผมรู้สึกถึงความทะมึนยิ่งใหญ่ของเหตุผลเหล่านั้น จึงหลีกเลี่ยงการคิดใคร่ครวญให้ตลอดรอดฝั่ง สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ผู้จัดการศาลเจ้าเอาเปรียบ ไม่คำนึงถึงสิทธิของผู้อื่น และเด็กหนุ่มงิ้วคนนั้นเป็นขโมย คุณธรรมอะไรที่แอบอ้าง ไม่เป็นความจริง

เจ้าของสำนักพิมพ์เปิดกูเกิ้ลหาความรู้เรื่องงิ้ว พบว่าเป็นศิลปะเก่าแก่และรุ่งเรืองมาแต่โบราณ แต่แทบจะหมดความนิยมแล้วในปัจจุบัน เมื่อนั่งเฝ้าดูกล้องวงจรปิดก็พบว่าเด็กหนุ่มนักแสดงคนหนึ่งมีความมุ่งมั่นในการแสดงงิ้วอย่างมาก ยิ่งเมื่อสนทนาด้วยก็พบว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มีความศรัทธามั่นคงในสิ่งที่ทำ เพราะแม้ว่างิ้วจะเป็นการแสดงที่แทบจะไม่มีคนดูแล้ว แต่เด็กหนุ่มบอกว่า “ต่อไปถึงไม่มีคนดูแล้ว ก็ยังมีเจ้าดูอยู่” พลังศรัทธาของเด็กหนุ่มส่งผ่านมายังเจ้าของสำนักพิมพ์ที่ยังอดทนผลิตหนังสือที่ตนรักต่อไป เพราะในขณะที่สำนักพิมพ์จำนวนมากถูกพิษเศรษฐกิจและความเติบโตของเทคโนโลยีการสื่อสารเบียดพื้นที่ของสิ่งพิมพ์ให้ถดถอยจนถึงต้องยุติกิจการ ก็เหลือแต่เพียงผู้ศรัทธาในกระดาษ น้ำหมึกและตัวอักษรเท่านั้นที่ยังยืนหยัดรักษาสิ่งที่ตนรักให้มีชีวิตยืนยาวต่อไป ดังนั้น ในการตัดสินใจชะตากรรมของโรงงิ้ว ตัวละครเจ้าของสำนักพิมพ์จึงกลับมาครุ่นคิดทบทวนการตัดสินใจของตนอีกครั้ง และเห็นว่า
แม้ศิลปะการแสดงงิ้วจะถูกเพิกเฉยทอดทิ้งโดยคนส่วนใหญ่ แต่เพียงไม่กี่คนที่สนใจ มันก็มีความหมายสำหรับผู้แสดงแล้ว และเรื่องราวเหล่านั้นอาจสร้างความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ในตัวเด็กสักคน หรืออาจช่วยปลอบประโลมความโหยหาของคนรุ่นเก่า ก็ถือว่าได้ทำหน้าที่โดยสมบูรณ์แล้ว
เรื่องสั้นนี้ใช้กลวิธีสร้างคู่เปรียบระหว่างงิ้วกับการทำหนังสือ คนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ ศิลปวัฒนธรรมความเชื่อกับเทคโนโลยีและวิถีชีวิตสมัยใหม่ คนไทยซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ในชุมชนกับคนเชื้อสายจีนซึ่งเป็นคนส่วนน้อย ศรัทธาและความรักกับการถอดใจยอมแพ้ความเปลี่ยนแปลง สิทธิของปัจเจกกับสิทธิของกลุ่มชน คู่เปรียบเหล่านี้นำไปสู่การชี้ให้เห็นว่าความแตกต่างไม่ใช่สิ่งที่สร้างความแตกแยก หากทุกคนทุกกลุ่มเคารพสิทธิ หน้าที่ และบทบาทของกันและกัน
ส่วนบทกวีรางวัลพานแว่นฟ้าปี 2563 ที่สะท้อนเรื่องการเห็นต่างได้อย่างแยบคายคือบทกวีชื่อ “เมืองนี้มีภูเขา แม่น้ำ ฯลฯ” ของ หทัยรัตน์ จตุรวัฒนา เล่าเรื่องชายสองคนเดินออกจากหมู่บ้านไปคนละทิศ คนไปทางเหนือเห็นแต่ภูเขาก็บอกว่าเมืองนี้มีแต่ภูเขา คนไปทางใต้เห็นแม่น้ำก็ว่าเมืองนี้มีแต่แม่น้ำ เมื่อกลับสู่หมู่บ้าน คนสองคนมีมุมมองและความเชื่อแตกต่างกัน ต่างเชื่อสิ่งที่เห็นว่าเป็นความจริงและใช้ความจริงเป็นเหตุผลในการเขียนนิยามความถูกต้องของตนโดยปิดทับความบกพร่องที่ตนไม่เห็นหรือเห็นแต่ไม่ต้องการรับรู้ ดังที่กวีกล่าวว่า
เพราะเชื่อว่าที่เห็นเป็นความจริง จึงใช้สิ่งที่เห็นเป็นเหตุผล
เขียนนิยามความถูกต้องแบบของตน ทับลงบนความขาดพร่องตามต้องการ
กวีจึงนำเสนอว่าการมองสิ่งใดเพียงมุมเดียว ความจริงที่เห็นอาจจะบิดเบี้ยวไป ควรนำชุดความเชื่อที่มีมาก่อนมาพิจารณาเพื่อปรับมุมมองด้วย
เมื่อดวงตามองได้ในมุมเดียว อาจบิดเบี้ยวจากความจริงสิ่งรอบด้าน
ควรนำชุดความเชื่อของเมื่อวาน มามองผ่านการขยับปรับมุมยืน
หากเรามองต่างมุม เราจะพบว่าภาพความจริงมิได้เป็นอย่างที่เห็นจากมุมเดียว ดังนั้นการร่วมกันสร้างเมืองหรือสร้าง “ชาติ” เราต้องร่วมมือกัน ใช้หลากความคิด หลายความเห็น ต่อและเติมซึ่งกันและกัน อาจจะขัดแย้งกันบ้าง แต่ต้องถกเถียงกันด้วยใจเป็นธรรม และเคารพความคิดเห็นของกันและกัน ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาเอาชนะโค่นล้มอีกฝ่ายให้จงได้ กวีเขียนโดยเปรียบเทียบกับการต่อภาพจิ๊กซอว์อย่างคมคายดังนี้
เราต่างล้วนในมือถือจิ๊กซอว์ จงร่วมต่อเติมแต่งจากแหว่งวิ่น
เป็นภาพเมืองเรืองรองผ่องโศภิน ทีละชิ้นประกอบสร้างค่อยวางเรียง
กับความจริงหลายนิยามหลากความเห็น บางประเด็นควรผ่านการถกเถียง
แต่ต้องทำโดยธรรมไม่ลำเอียง และขอเพียงแค่เราเคารพกัน
แม้ว่าเรื่องสั้นและบทกวีรางวัลพานแว่นฟ้าจะเขียนขึ้นก่อนเกิดม็อบต่างวัยในเดือนสิงหาคม แต่ก็แสดงให้เห็นว่าความแตกแยกนี้กัดกร่อนกินลึกอยู่ในสังคมไทยมายาวนาน รอเพียงวันปะทุออกมา แล้วเราจะรับมือกับสิ่งนี้อย่างไรดีหากต่างฝ่ายต่างไม่เคารพความคิดของกันและกันและมุ่งมั่นเป็นผู้ชนะโดยปล่อยให้ประเทศชาติเป็นผู้พ่ายแพ้ แม้วรรณกรรมจะพยายามชี้แนะคำตอบให้ แต่จะเกิดผลก็ต่อเมื่อเราใช้สติและปัญญาในการลงมือแก้ไขปัญหา
คอลัมน์: เชิญมาวิจารณ์
เรื่อง: ศ.ดร.รื่นฤทัย สัจจพันธุ์