ประสบการณ์ชีวิตของผู้ชายคนนี้ เราเชื่ออย่างสุดใจว่าต้องเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านออลฯ ไม่มากก็น้อย เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว ข่าวใหญ่ระดับช็อกวงการคือการจับกุม ‘แพท’ วรยศ บุญทองนุ่ม นักร้องนำวงพาวเวอร์แพท ซึ่งพัวพันกับยาเสพติด จนถูกศาลตัดสินให้จำคุกนาน 50 ปี ต่อมาปี 2564 เขาพ้นโทษก่อนกำหนด กลับสู่วงการบันเทิงอีกครั้ง และได้รับกระแสตอบรับอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเด็กรุ่นใหม่ที่แม้จะไม่ทันเห็นวงพาวเวอร์แพทโปรโมต แต่ก็ชื่นชอบจนเกิดเทรนด์ทวิตเตอร์ #แด๊ดดี้แพท การเผชิญมรสุมชีวิต การยืดหยัดก้าวต่อไปในวันที่แทบอับจนหนทาง รวมทั้งการไม้สิ้นหวังแม้ทุกความหวังดูริบหรี่ คือสิ่งที่ชายคนนี้ประสบและพร้อมถ่ายทอดให้เราได้เรียนรู้ผ่านเรื่องราวเกือบ 17 ปีในเรือนจำ
ชีวิตกับงานเพลง
ช่วงนี้กำลังมีผลงานหรือเตรียมงานอะไรอยู่บ้าง เราเปิดประเด็นการสนทนาว่าด้วยเรื่องงานของเขา “ที่ผ่านมาวงพาวเวอร์แพทมีโปรเจ็กต์ฉลองครบรอบ 22 ปี นำเพลงตั้งแต่อัลบั้มชุดแรกมาทำดนตรีใหม่ ทำมิวสิกวิดีโอใหม่เป็นเหมือนการแสดงสด หรือ live session แล้วมีคอนเสิร์ตมีตติ้งกับแฟนคลับในวาระครบรอบ่ดังกล่าวนอกจากนี้ยังมีช่องยูทูบ Power Pat official channel ซึ่งมีทั้งเอ็มวี มีรายการพากินพาเที่ยวชื่อ Daddy D-Days และมีรายการสัมภาษณ์ชื่อ Tap Rewop รายการทั้งหมดผมคิดคอนเทนต์และตัดต่อเอง แต่ไม่เก่งเท่ามืออาชีพ กำลังอยู่ระหว่างศึกษา พยายามทำไปเรื่อยๆ ผมยังเปิดบริษัทชื่อมาดูมาฟัง รับงานโปรดักชั่นทั้งภาพและเสียง ผลงานที่ผ่านมามีรับแต่งเพลงให้หน่วยงานต่างๆ ไว้สำหรับโปรโมตสินค้า หรือจะจ้างผมโปรโมตให้ด้วยก็ได้”
กลับมาทำงานบันเทิงเต็มรูปแบบหลังจากห่างหายไปสิบกว่าปี มีอะไรที่รู้สึกแตกต่างกับเมื่อก่อนบ้าง “เรียกว่าแตกต่างแทบทั้งหมด หรือเกิน 50% เลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงานเพลง สมัยก่อนเข้าห้องอัดบันทึกเสียงแต่ละครั้งใช้ต้นทุนสูง แต่เดี๋ยวนี้สามารถทำเป็นโฮมสตูดิโอที่บ้าน ราคาไม่แพงแถมคุณภาพดีด้วย ศิลปินหน้าใหม่ที่ไม่มีสังกัดสามารถทำงานได้ พรีเซนต์ตัวเองได้ ผลงานในยุคปัจจุบันจึงมีความหลากหลายซึ่งเป็นผลดีแก่วงการเพลง ส่วนตัวผมก็เรียนรู้ซอฟต์แวร์ต่างๆ ในการอัดเสียง พยายามปรับตัวให้มากที่สุด แฟนคลับรู้ว่าผมทำเองหมดก็ไม่รีบร้อน”
แพทก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงครั้งแรกและกลายเป็นนักร้องในนามวงพาวเวอร์แพท เพราะมีแมวมองมาเห็นแววตอนที่เขาเล่นดนตรีกลางคืนตามร้านอาหารในวัยเพียง 17-18 ปี ออกอัลบั้มแรกปี 2543 มีอัลบั้มในนามวงพาวเวอร์แพทสองอัลบั้ม อัลบั้มเดี่ยวหนึ่งอัลบั้ม ก่อนถูกตัดสินจำคุก หลังจากได้รับการปล่อยตัว วงพาวเวอร์แพทได้กลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้งด้วยสมาชิกดั้งเดิมครบครัน ซึ่งนับเป็นเรื่องหาได้ยากสำหรับวงดนตรีที่ห่างหายจากการรวมตัวไปเกือบ 20 ปี
“พี่เท็ดดี้ผู้จัดการวงและผู้ก่อตั้งวงเป็นผู้รวบรวมสมาชิกทุกคนให้กลับมารวมกัน ตั้งแต่ตอนที่ผมอยู่ในเรือนจำพี่เท็ดดี้คอยติดต่ออยู่เสมอ พอวันที่ผมออกมา แกเห็นว่าเป็นโอกาสอันดีที่เราจะกลับมารวมวงอีกครั้ง ประกอบกับช่วงโควิด-19 งานของเพื่อนๆ ต่างหยุดชะงัก จึงมีเวลามาทำเพลงด้วยกัน นับเป็นพรหมลิขิตก็ว่าได้ แม้ตอนนี้ทุกคนมีงานประจำ แต่ถ้ามีเวลาว่างเราก็มาจอยกันครับ”
เพลงใหม่เกือบทั้งหมดของพาวเวอร์แพทนั้นแต่งสมัยแพทยังอยู่ในเรือนจำ เนื้อหาจึงกลั่นกรองมาจากประสบการณ์และความรู้สึกภายในใจของเขาจริงๆ “ซิงเกิลซึ่งเป็นที่รู้จักชื่อว่า ต้องคำสาป ผมแต่งสมัยอยู่ในเรือนจำก่อนออกมาหลายปี เป็นเพลงที่ภูมิใจมาก มีโอกาสร้องให้เพื่อนผู้ต้องขังฟังในวาระต่างๆ แต่งจากชีวิตจริงในเรือนจำ เช่น ความรู้สึกห่างไกล การเฝ้ารอบางสิ่งอย่างมีหวัง และเป็นเพลงที่ฝากถึงครอบครัว พี่ๆ น้องๆ แฟนเพลงที่เขารอผม ให้ช่วยอดทนอีกหน่อยนะ วันหน้าผมต้องกลับไปเจอพวกเขาจนได้ และได้กอดกันเหมือนเดิม เพลงนี้ไม่เพียงแค่แทนแค่ความรู้สึกของผมเท่านั้น แต่ยังแทนความรู้สึกของผู้ต้องขังทุกคน และยังแทนความรู้สึกของคนที่ต้องอยู่ห่างไกลคนรัก หรือคนที่ต้องจากลูกเมียไปทำงานในที่ไกลๆ ด้วย ทุกครั้งที่ได้เล่นก็มีความสุขครับ
“นอกจากนั้นยังมีเพลง สิ่งสมมติ บอกเล่าประสบการณ์ตัวเองถึงการมองเห็นคุณค่าความรักของครอบครัว ช่วงวัยรุ่นผมอาจมองข้าม ไม่ได้ใส่ใจ ให้ความสำคัญแก่คนนอก หรือเพื่อนฝูง มากกว่าครอบครัว แต่วันที่ผมตกต่ำ หรือลำบาก มีแต่ครอบครัวนี่แหละที่คอยเคียงข้าง ผมเขียนเพลงนี้เพื่อให้คนหวนตระหนักถึงความรักของครอบครัวที่เป็นรักแท้อันบริสุทธิ์ และไม่ต้องไขว่ขว้าจากที่ไหนไกล หลายครั้งเราแสวงหาบางสิ่งซึ่งไม่รู้มีจริงไหม ไม่รู้จะได้มาครอบครองหรือไม่ แต่ระหว่างที่พยายามไขว่คว้าเราอาจสูญเสียหลายสิ่งเพื่อแลกมา บ่อยครั้งที่ไม่คุ้มค่า ฉะนั้นจึงอยากให้หันมามองสิ่งที่มีอยู่แล้วแทน ชื่อเพลงสิ่งสมมติ แทนสิ่งที่อยากได้ อยากมี อยากเป็น ทั้งหมด
“อีกเพลงหนึ่งที่ชอบคือ ฤดูฝัน ได้แรงบันดาลใจจากชีวิตตัวเอง ถ้าเราไม่หยุดฝันก็ย่อมประสบความสำเร็จเข้าสักวัน แม้จะเจออุปสรรคบ้าง ท้อบ้าง ก็ไม่เป็นไร ขอแค่มีมานะ อดทน พยายาม ความสำเร็จย่อมมาถึง”
ชีวิตในเรือนจำ
เราชวนเขาย้อนรำลึกถึงการพัวพันกับยาเสพติดครั้งนั้น เจ้าตัวเล่าว่าเหตุเกิดจากความหลงผิดในช่วงวัยรุ่นจนเลยเถิด “ผมยังเป็นวัยรุ่น แล้วเป็นนักดนตรี เป็นความเชื่อในตอนนั้นที่ว่ายาเสพติดคือวิถีของร็อกแอนด์โรล ซึ่งผมชื่นชอบมาก แล้วศิลปินต่างประเทศหลายวงก็ใช้ยา ซึ่งจุดจบไม่ดีสักคน ไม่ตายก็ชีวิตล้มเหลว ประกอบกับช่วงวัยรุ่น ผมรู้สึกว่าไม่มีใครที่พูดคุยแล้วเข้าใจ อาจเพราะผมเจอตัวเองเร็วเลยทำงานเร็วกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน 15-16 ปีก็เริ่มร้องเพลง 18 ปีก็เป็นศิลปินแล้ว เลยรู้สึกว่าคุยกับเพื่อนไม่รู้เรื่อง ยาเสพติดจึงกลายเป็นเพื่อน เป็นที่พึ่ง เป็นความสุขของผมในเวลานั้น และเลยเถิดจนรู้จักกับพ่อค้ายา ถูกชักชวนให้เป็นเครื่องมือ สุดท้ายก็ถูกจับกุม
“ณ วินาทีที่รู้ว่าต้องโทษจำคุก 50 ปีนั้นผมงงไปหมด ชา มันเกิดขึ้นได้ยังไง แล้วผมยังอายุน้อย ไม่มีความรู้เรื่องกฎหมาย ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำไปนั้นรุนแรงขนาดนี้ การเดินทางของอารมณ์ตอนนั้นคือเริ่มจากตั้งตัวไม่ทัน แล้วเข้าสู่ภาวะจำยอม ผมต้องไปอยู่แล้ว ต้องรับโทษในสิ่งที่ทำ ไม่ว่ายังไงก็ต้องอยู่ให้ได้ ยอมรับความจริง” ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะปรับตัวได้ เราถาม “ถ้าเป็นเรื่องการปรับตัวก็เป็นเดือน แต่เพียง 2-3 เดือน ทว่าเรื่องความรู้สึกภายในนั้นค่อยๆ ตกตะกอนมาเรื่อย พอเริ่มชินกับสภาพความเป็นอยู่แล้ว ก็เริ่มคิดว่าจะเดินหน้าใช้ชีวิตในเรือนจำต่อจากนี้ยังไง อยู่อย่างไรให้ปลอดภัย และทำยังไงให้ออกไปได้เร็วที่สุด ผมเริ่มศึกษาจากชีวิตเพื่อนผู้ต้องขังคนอื่น เรือนจำมีตัวอย่างชีวิตให้ดูหลากหลายนะ แต่ละคนมาจากฐานะหรือสภาพสังคมที่แตกต่างกัน แม้แต่คดีที่ต้องโทษก็แตกต่างกัน ผมได้เห็นตัวอย่างว่าถ้าประพฤติแบบนี้ ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นแบบนี้ ก็ประมวลผลแล้วตั้งเป้าหมายชีวิตของผม
“ผมต้องโทษด้วยคดียาเสพติดซึ่งมีหลายระดับ แต่ระดับที่เกี่ยวข้องกับการค้าค่อนข้างรุนแรงถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิต ผมรับสารภาพแล้วเหลือ 50 ปี ก็ยังเยอะอยู่ ผมพยายามศึกษาโดยสอบถามผู้ต้องขัง เจ้าหน้าที่ มีหนทางไหนที่จะได้ลดโทษอีกบ้าง ทราบว่ามีหลายทาง เช่น การพระราชทานอภัยโทษจากพระมหากษัตริย์ การพักการลงโทษ หรือถ้าผมทำตัวดี ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในเรือนจำ ก็สามารถนำใบประกาศนียบัตรมาประกอบการลดโทษได้ และนักโทษแต่ละคนจะมีชั้น ถ้าเราสามารถรักษาระดับนักโทษชั้นเยี่ยมไว้ได้ เมื่อมีการพระราชทานอภัยโทษก็มีโอกาสได้ลดโทษ แน่นอนว่ากว่าจะสำเร็จต้องใช้เวลานานเป็นสิบปี
“เมื่อผมตั้งเป้าหมายที่จะออกไปให้ได้ ก็ค่อยๆ ดำเนินตามขั้นตอน ชีวิตก็เริ่มท้าทาย เริ่มสนุก เราเดินตามสเต็ปที่วางแผนไว้ ก่อนอื่นต้องเรียนให้จบ ก็เรียนต่อจนสำเร็จปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จากนั้นเรียนดนตรีเพิ่ม ผมฝันว่าวันหนึ่งที่ออกจากเรือนจำจะมีเพลง มีผลงาน ได้ไม่ได้ไม่รู้ แต่ผมมีความหวัง ก็หัดเขียนเพลงมาเรื่อย ดีมั่งไม่ดีมั่ง จากนั้นก็เรียนศิลปะ ถ้าดนตรีไม่เวิร์กก็ยังขายรูปเลี้ยงชีพได้ เตรียมแผนการไว้หลายๆ ทาง พอมีหลักชัยชีวิตก็ไม่เคว้ง แล้วเมื่อเห็นผลงานต่างๆ ที่ทำคืบหน้าก็มีความสุข สุดท้ายจากโทษจำคุก 50 ปี เหลือ 16 ปี 8 เดือน”
แพทเล่าถึงกิจวัตรประจำวันในเรือนจำของเขา “เรือนจำมีกำหนดเวลาตื่นนอนคือตี 5-5.30 น. สวดมนต์ไหว้พระตอน 6.00 น.รับประทานอาหาร เคารพธงชาติ ผมเป็นตัวแทนนำร้องเพลงชาติ นำสวดมนต์ นำร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี นำปฏิญาณกฎต่างๆ จากนั้นแต่ละคนก็แยกย้ายทำงานในสังกัดของตน ปีหลังๆ ผมอยู่ชมรมทูบีนัมเบอร์วัน เกี่ยวกับการร้องเพลง เล่นดนตรี จัดกิจกรรมให้เพื่อนๆ ในเรือนจำ และเป็นครูสอนกีตาร์ แต่ละวันมีตารางเวลาชัดเจน ก็ทำกิจวัตรวนไป”
คุณพูดถึงการวาดรูป ความสนใจในศิลปะเกิดขึ้นได้อย่างไร เราถาม “ตอนที่ไปอยู่ในเรือนจำช่วงแรกๆ ผมยังเคว้งอยู่ ไม่รู้จะทำอะไร พอดีเห็นเพื่อนวาดรูป ก็เริ่มสนใจเพราะพื้นฐานเป็นคนชอบงานศิลปะอยู่แล้ว เวลาไปห้างหรือจตุจักร เห็นคนวาดรูปก็ชอบไปยืนดู เลยตัดสินใจลองวาดรูป ให้เพื่อนสอน พอทำได้จึงฝึกมาเรื่อยๆ จริงจังมากขึ้น หาหนังสือมาอ่าน ขณะที่ทำงานศิลปะแล้วรู้สึกเวลาผ่านไปไว ทุกครั้งที่จดจ่อกับงานก็ลืมความเครียดเรื่องคดี เรื่องบรรยากาศในเรือนจำ เหมือนเราเข้าไปอยู่ในโลกอีกใบ วันที่งานเสร็จสมบูรณ์ยิ่งรู้สึกภูมิใจว่าเวลาในเรือนจำไม่ได้สูญเปล่า ผมมีผลงาน มีคนชื่นชม รู้สึกตัวเองมีคุณค่า เลยฝึกวาดมาเรื่อยนับสิบปี จนป่วยเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท เพราะผมโหมใช้ร่างกายหนักตอนอยู่ในเรือนจำด้วย
“ผลงานที่ชอบที่สุดคือรูปในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเป่าแซกโซโฟน วาดประกวดในงานซึ่งกรมราชทัณฑ์จัดเนื่องในวันเฉลิมพระชนพรรษา มีกรรมการจากภายนอกมาตัดสิน 4-5 ผมได้รางวัลชนะเลิศ เป็นความภูมิใจอย่างยิ่ง ทุกวันนี้ยังเก็บรูปนั้นไว้ที่บ้าน”
เราถามศิลปินหนุ่มใหญ่ถึงชีวิตในเรือนจำต่อว่า อะไรคือปัญหาที่ยากแก่การปรับตัว “ผมว่าความวุ่นวาย ผมไม่สามารถหลีกหนีความวุ่นวายในนั้นได้เลย อย่างที่ทราบเรือนจำมีเนื้อที่จำกัด ทว่าจำนวนคนนับวันมีแต่จะเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ห้องน้ำหรือตรงไหนก็มีเสียงอึกทึกให้ได้ยินตลอด ต้องใช้ความอดทนสูงเพื่อมีสมาธิในการอ่านหนังสือ ฝึกดนตรี ทำงานศิลป์ แล้วนิสัยของผมชอบความสงบ ความเป็นส่วนตัว พอต้องอยู่ในสถานที่ซึ่งไม่มีความเป็นส่วนตัวเลยยิ่งโหยหา เป็นความทุกข์ทรมานมากๆ และเฝ้ารอวันที่จะได้มีอิสรภาพ แต่ในอีกแง่หนึ่งความวุ่นวายนี้ก็ฝึกสมาธิให้ผม แม้จะอยู่ในสภาพอึกทึกก็สามารถจดจ่อกับงานได้”
ถึงสภาพแวดล้อมในเรือนจำจะเป็นอุปสรรคแก่ความเป็นอยู่ แต่เขาก็รู้สึกขอบคุณชีวิตในนั้นที่สอนให้เปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางดี “กฎระเบียบที่เขาบังคับให้ทำ ชีวิตในนั้นสอนผมหลายอย่าง เช่น เรื่องวินัยในการใช้ชีวิต กิจวัตรที่ต้องทำแม้ไม่อยากนั้นได้ฝึกฝนให้รู้จักฝืนใจตนเอง และยังสอนให้ผมรู้จักประหยัดอดออม ในเรือนจำใช้เงินสดไม่ได้ แต่ผมสามารถเขียนเบิกของมูลค่าไม่เกิน 300 บาทต่อวัน ก็ทำให้ผมรู้จักวางแผนใช้จ่าย อีกทั้งยังสอนเรื่องการใช้ชีวิตร่วมกับคนหมู่มากร้อยพ่อพันแม่ในสังคม ผมต้องหัดสังเกต ศึกษา ว่าคนแต่ละประเภทเป็นแบบไหนแล้วจะปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกับเขาอย่างไร และยังสอนให้รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือกันครับ”
มีคติหรือข้อเตือนใจที่ยึดไว้ตอนอยู่ในเรือนจำไหม เราตั้งคำถาม “ผมคิดหลายอย่าง เช่น ศรัทธาในการกระทำดี ในระยะยาวแล้วการทำดีย่อมได้ผลดีแน่นอน เพียงแต่ต้องอดทน ใช้เวลาหน่อย แต่อนาคตจะเห็นผลที่ยั่งยืน ผมเองเคยทำอะไรไม่ดีช่วงวัยรุ่นก็พยายามลดละเลิก แล้วปรับตัวใหม่”
ชีวิตที่ได้เรียนรู้
เราขอให้แพทสรุปบทเรียนชีวิตที่ผ่านมาสัก 3 ข้อ
“ข้อแรก ผมมองว่าความสุขหาได้ง่ายๆ จากสิ่งรอบตัว อย่างที่เล่าตอนต้นผมอยู่ในเรือนจำนั้นหามุมสงบ เงียบยากมาก ความเป็นส่วนตัวไม่มีเลย แล้วผมอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้น 24 ชั่วโมงเกือบ 17 ปี เมื่อได้ออกจากเรือนจำ แค่มีที่เงียบๆ ให้ได้นั่งพิจารณาสิ่งต่างๆ รอบข้าง ดูแมวเดินผ่าน ฟังเสียงต้นไม้ เท้าได้เหยียบดิน แค่นี้ก็มีความสุขมากแล้ว จะเอาอะไรอีก
“ข้อสอง สิ่งที่ผมได้เรียนรู้ด้วยตัวเองและอยากแนะนำต่อคือ ในเรือนจำสอนให้เราใช้ชีวิตอย่างสมถะ ในนั้นมีตู้ล็อกเกอร์เล็กๆ ให้คนละช่อง ข้าวของทุกสิ่งทุกอย่างต้องเก็บในนั้น จะมีมากมีน้อยก็มีที่เก็บแค่นั้น เขาสอนให้เราไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่กักตุน เราไม่ต้องมีข้าวของอะไรมากก็ใช้ชีวิตได้ แม้จะไม่สะดวกสบายแต่อยู่ได้ ไม่ตาย ฉะนั้นจะไปดิ้นรนอยากได้อยากมีให้มากมายไปทำไม เกิดทุกข์เปล่าๆ
“ข้อสาม เรื่องการกิน พออยู่ในเรือนจำ เราเลือกกินไม่ได้ แล้วต้องกินเป็นเวลา เพราะถ้าเลยจากนี้คือไม่มีให้กินแล้วนะ ชีวิตของผู้ต้องขังกินอาหารสามมื้อนั่นแหละ แต่มื้อเย็นซึ่งเป็นมื้อสุดท้ายกินตอนบ่ายสองโมง แล้วบ่ายสามโมงครึ่ง ผู้ต้องขังทุกคนถูกนำตัวไปอยู่ในห้องขัง ไม่สามารถลงมาเดินใต้ตึกได้แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าพ้นจากมื้อเย็นตอนบ่ายสองโมงก็ไม่มีให้กินแล้ว เกิดหิวก็รอไปอีกสิบกว่าชั่วโมงในห้องขัง ดังนั้นเมื่อถึงเวลากิน เราต้องกิน ไม่สามารถผัดไปก่อน ไว้หิวค่อยกิน และมีอะไรให้กินก็ต้องกิน ชอบไม่ชอบก็ต้องกิน สภาพแวดล้อมนี้ฝึกให้เราเป็นคนอยู่ง่ายกินง่าย เมนูที่ผมลองกินครั้งแรกในเรือนจำก็พวกแกงใต้ ปลาส้ม ปลาดุกแดดเดียว ปลาร้าบอง”
เพราะผ่านการขัดเกลาให้ใช้ชีวิตเรียบง่าย จึงทำให้ความสุขของแพทในวันนี้จึงเกี่ยวพันกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัว “ผมได้ออกจากเรือนจำ ได้เห็นโลกภายนอกอันกว้างขวาง ได้สูดอากาศภายนอก แม้กระทั่งการได้มีช่วงเวลาเป็นส่วนตัวเงียบๆ ฟังเพลงที่อยากฟัง ติดตามศิลปินที่ชื่นชอบ ว่างๆ ก็หยิบกีตาร์ขึ้นมาเล่น แต่งเพลง ทำงานศิลปะ เลี้ยงปลา แค่นี้ก็เป็นความสุขแล้ว
“สิ่งที่ผมให้ความสำคัญที่สุดในปัจจุบันคือ หนึ่ง ครอบครัว เพราะห่างไปเกือบ 17 ปี และช่วงวัยรุ่นเราเอาแต่สร้างปัญหาให้เขาเยอะ ตอนนี้มีโอกาสชดเชยก็อยากทดแทนอย่างสุดกำลังความสามารถ
สองคืองาน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทที่ผมก่อตั้ง ช่องยูทูบ งานเพลง งานเบื้องหลัง อยากทุ่มเทให้แก่ทุกอย่าง เพราะงานคือชีวิต ทำให้ผมมีเป้าหมาย มีความสุข
สามคือการตอบแทนสังคม ผมตั้งใจตั้งแต่วันแรกที่ออกจากเรือนจำ แล้วได้รับโอกาสให้กลับมาทำงานในวงการบันเทิงอีก ผมจะนำความรู้ ประสบการณ์ชีวิต บอกกล่าวให้ความรู้แก่เยาวชน ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่สังคม แบ่งปันให้ผู้ที่ขาดแคลน ที่ผ่านมาผมทำงานการกุศลมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะช่วยงานกรมราชทัณฑ์ในการทำสื่อ ช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับเครื่องดนตรี ตอนผมบวชก็นำเงินที่ผู้มีจิตศรัทธาใส่บาตรให้ไปช่วยเหลือเด็กประถมที่ยากไร้ ทำห้องคอมพิวเตอร์ บริจาคเครื่องดนตรี และสื่อการเรียนการสอน”
หลังจากพบพานและผ่านพ้นมรสุมชีวิตครั้งใหญ่แล้ว ทุกวันนี้คุณรับมือความทุกข์ที่เกิดขึ้นอย่างไร เราสงสัย “ทุกวันนี้ไม่ค่อยทุกข์นะ เพราะผมเจอเรื่องหนักที่สุดในชีวิตแล้ว เรื่องอื่นก็จิ๊บจ๊อย สบายๆ มีอะไรเข้ามาก็แค่ยอมรับ แม้จะยากแต่ก็ต้องรับความจริง เราหนีปัญหาไม่พ้นอยู่แล้ว ก็เผชิญหน้ากับมัน ทีนี้จะอยู่กับความทุกข์อย่างไรให้ผาสุก ก็ต้องหาวิธี บางอย่างไม่สามารถแก้ไขได้ในปัจจุบัน ก็ต้องใจเย็น ใช้เวลา แต่ทั้งหมดเริ่มต้นที่ทำใจยอมรับ และใช้ชีวิตโดยหาความสุขจากสิ่งง่ายๆ รอบตัว
“ผมว่าชีวิตคนเราถ้ายังกินอิ่มนอนหลับหรือหาของกินอร่อยได้ นับว่าดีแล้วนะ จะเอาอะไรอีก บางคนแต่ละมื้อยังหากินลำบากเลย บางคนป่วย แต่ละวันแทบไม่ได้นอนด้วยซ้ำ”
หากย้อนเวลากลับไปยังสมัยอยู่ในเรือนจำได้ อยากบอกอะไรตัวเองในตอนนั้น เราถามศิลปินหนุ่มใหญ่เป็นคำถามสุดท้าย “อยากให้กำลังใจตัวเองในตอนนั้นมากๆ บอกตัวเองว่าต้องยอมรับและอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ มองไปข้างหน้า รู้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก และต้องการพลังใจสูง เพราะชีวิตตอนนั้นมืดแปดด้าน ผมไม่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เห็นภาพว่าจะประสบความสำเร็จในวันข้างหน้าได้ ถ้าสิบกว่าปีที่แล้วไปพูดกับใครว่า วันหนึ่งผมจะกลับไปเล่นดนตรี จะออกจากเรือนจำแล้วเอาเพลงที่เขียนไปเผยแพร่ให้คนฟังเยอะๆ วันหนึ่งงานศิลปะของผมจะมีคนต้องการ มีคนชื่นชอบ ผมเห็นภาพว่าสักวันหนึ่งต้องประสบความสำเร็จ คนที่ได้ยินเมื่อสิบปีที่แล้วคงคิดว่าผมบ้า เพ้อ โทษจำคุกตั้ง 50 ปี จะออกไปตอนไหน ถ้าได้กลับไปคุยกับผมในอดีตก็อยากให้กำลังใจ ให้พลังในการเดินทาง อยากบอกตัวเองตอนนั้นว่ามุ่งมั่นแล้วเชื่ออย่างนั้นต่อไป อย่าท้อถอย
“ถ้าเป้าหมายเราชัดเจน เราจะไม่ออกนอกลู่นอกทาง เราจะค่อยๆ เดินไปสู่เป้าหมายนั้น แม้ระหว่างทางอาจผิดพลาดบ้าง ล้มเหลวบ้าง แต่นั่นคือบทเรียนที่ฝึกฝนให้เราเก่งขึ้น ดีขึ้น และพบความสำเร็จเข้าสักวัน”
The Tara
58/28 หมู่ที่ 2 ถนนแจ้งวัฒนะ ตำบลบางตลาด อ.ปากเกร็ด จังหวัด นนทบุรี 11120
Tel: 02-071-6999 ต่อ 5