แพนเค้ก-เขมนิจ จามิกรณ์: มาตรฐานมืออาชีพ (ฉบับเต็ม)

-

ในการประชุมกองบก.เพื่อระดมความคิดคัดเลือกผู้ที่จะมาเป็นคนบนปกออล แม็กกาซีน ฉบับเดือนสิงหาคม ซึ่งมีวันสำคัญทั้งวันแม่แห่งชาติและวันสตรีไทย มีการหยิบยกชื่อของนักแสดงมากความสามารถ ชื่อของนักแสดงดาวรุ่ง และชื่อของคุณแม่ที่สร้างแรงบันดาลใจ ขึ้นมาถกอยู่หลายคน แต่ก็ไม่อาจได้ข้อสรุปที่พึงใจ ทันใดนั้นชื่อของ แพนเค้ก-เขมนิจ จามิกรณ์ ก็ได้รับการกล่าวขวัญในวงประชุม แล้วเราก็รู้ทันทีว่าไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าเธอ

แพนเค้กจัดเป็นนักแสดงหญิงที่ครบเครื่องทั้งความสวยและความเก่ง นอกจากความงามตามธรรมชาติ เธอยังดูแลตัวเองจนเป็นแบบอย่างของความสวยสุขภาพดี เรื่องดีกรีการศึกษา เธอกำลังเป็นจะเป็นดอกเตอร์ในอีกไม่นาน ส่วนเรื่องงานแสดงก็เป็นที่ยอมรับว่ามากฝีมือ โดยเฉพาะงานแสดงในช่วงหลังที่เธอท้าทายความสามารถตัวเองอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นการฉีกภาพลักษณ์นางเอกที่ต้องสวยเป๊ะ มาสู่นางเอกที่แทบจะโนเมคอัพเพื่อความสมจริงในซีรีส์ Voice สัมผัสเสียงมรณะ หรือการก้าวมารับบท “แม่” ครั้งแรก ในซีรีส์ Mother เรียกฉันว่า…แม่ เราเชื่อว่าบทสนทนาของผู้หญิงที่ไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเองคนนี้ จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน ออล แม็กกาซีน

 

 

1.

ตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง เราทักทายแพนเค้กพร้อมไถ่ถามความเป็นไปช่วงนี้ “แพนกำลังมีซีรีส์เรื่องใหม่ I Need Romance อยู่ระหว่างการเวิร์คช้อปและเริ่มเปิดกล้อง ส่วนผลงานอื่นก็มีซีรีส์ Voice สัมผัสเสียงมรณะ และ Mother เรียกฉันว่า…แม่ ที่สามารถรับชมย้อนหลังได้ นอกจากนั้นมีงานภาพยนตร์ พจมาน สว่างคาตา ของพี่พจน์ อานนท์ เราไม่ค่อยมีโอกาสได้เล่นคอเมดี้ (comedy) แล้วหนังของพี่พจน์ก็มีสไตล์เฉพาะตัว ใช้เวลาปรับตัวกับแคแรกเตอร์พอสมควร สำหรับแพนรู้สึกคอเมดี้ยากกว่าดราม่า เพราะมีทั้งเรื่องจังหวะการรับส่งมุข น้ำเสียง พลังการแสดงที่น้อยไม่ได้เลย ยังมีเรื่องการใช้คำที่ไม่คุ้น ยากไปหมดทุกอย่าง ถือเป็นงานท้าทายและเป็นโอกาสดีที่ได้ร่วมงานกับพี่ๆ นักแสดงตลกขั้นเทพ”

ช่วงหลังนี้ผลงานของคุณมักเป็นซีรีส์ที่นำมาสร้างใหม่โดยมีโครงเรื่องจากซีรีส์เกาหลี การทำงานที่ต่างไปจากละครไทยแบบเดิมมีผลต่อมุมมองในการทำงานของคุณบ้างไหม เราถามนักแสดงเจ้าบทบาท “อย่างเรื่อง Voice สัมผัสเสียงมรณะ กระบวนการทำงานต่างๆ ทางเกาหลีเขาค่อนข้างเข้มงวด ไม่ว่าจะเป็นการแคสติ้งตัวละคร การฟิตติ้ง หรือถ่ายฉากสำคัญ ทางเกาหลีเขาจะบินมาดูว่าดำเนินไปในทิศทางเดียวกับต้นฉบับรึเปล่า ต้องเวิร์คช้อปกันเยอะมาก เปลี่ยนจากสิ่งที่เราเคยเล่นมาหมด แต่ก็ไม่ถึงกับเหมือนกับต้นฉบับเกาหลีไปเสียหมด มีการปรับบริบทให้เข้ากับวัฒนธรรมไทย ให้คนไทยดูแล้วไม่ขัด กระแสตอบรับที่ได้ส่วนมากเป็นคำชม เราไม่คิดว่าจะได้รับการพูดถึงแง่บวกขนาดนี้ เพราะส่วนหนึ่งเคยดูเวอร์ชั่นเกาหลีมาก่อน ก็ค่อนข้างดูอย่างละเอียดสุดๆ มีหลายคนมาดูครั้งแรก ขนาดบางคนไม่เคยดูผลงานแพนเลย ยิ่งเพื่อนหรือคนใกล้ตัวยิ่งไม่ดูใหญ่ แต่เรื่องนี้เขากลับให้ความสนใจ เราเลยเห็นว่าละครหรือซีรีส์ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องรักเสมอไป คนไทยไม่น้อยนะที่ชอบดูซีรีส์ฆาตกรรม ไม่ต้องจบแฮปปี้ ไม่ต้องมีฉากจี๊ดจ๊าด แค่ได้ตื่นเต้นไปกับสถานการณ์ชวนติดตามก็ดึงดูดคนดูได้เหมือนกัน เราเลยได้เห็นมุมมองใหม่ๆ จากการทำงานเรื่องนี้ อีกอย่างคือ สมัยนี้คนดูออนไลน์กัน ไม่เน้นดูเรียลไทม์แล้ว คนสามารถกลับมาย้อนดูเมื่อไหร่ก็ได้ แม้จะจบไปแล้วแต่ทุกวันนี้ก็ยังมีการพูดถึงอยู่”

 

“แพนคิดว่าคนดูสมัยนี้เขาให้ความสำคัญแก่ความเรียล ความสมจริง การแต่งหน้าก็ต้องเป็นการแต่งเพื่อทำให้คนดูเชื่อในตัวละครนั้น ตอนนี้ถ้าต้องเล่นบทนอน แพนดึงขนตาออกทันที รู้สึกว่ามันไม่ใช่”

 

ในซีรีส์เรื่องนั้น คุณฉีกมาตรฐานนางเอกที่ต้องสวยเป๊ะตลอดแม้เวลานอน มาเป็นแทบจะโนเมคอัพเลย “ใช่ค่ะ แต่งน้อยมาก พี่ปีเตอร์ (นพชัย ชัยนาม) ผู้กำกับบอกแต่แรกว่าขอน้อยที่สุด เราก็โอเคค่ะ จัดไป บางวันใต้ตายังเขรอะก็ไม่เป็นไร เป็นไปตามแคแรกเตอร์ ซึ่งแพนรู้สึกว่าสมจริงดี เพราะในเรื่องผู้กองไอริณเป็นคนในเครื่องแบบจะให้ติดขนตาหน้าฉ่ำมาทำงานตลอดคงไม่ใช่ ตัวละครมีนิสัยไม่ห่วงสวย ทุ่มเทกับงาน เครื่องแต่งกายในเรื่องจึงมีแค่เครื่องแบบกับเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์เท่านั้น และแพนคิดว่าคนดูสมัยนี้เขาให้ความสำคัญแก่ความเรียล ความสมจริง การแต่งหน้าก็ต้องเป็นการแต่งเพื่อทำให้คนดูเชื่อในตัวละครนั้น ตอนนี้ถ้าต้องเล่นบทนอน แพนดึงขนตาออกทันที รู้สึกว่ามันไม่ใช่”

 

 

ลุคแต่งหน้าเหมือนไม่แต่งดูจะติดตัวคุณสู่งานชิ้นถัดไป “โอ้โห เรื่อง Mother ก็แต่งน้อย ด้วยแคแรกเตอร์ครูทิชาก็เป็นคนไม่ห่วงสวย ลุยๆ รักธรรมชาติ แล้วเรื่องนี้ก็หนีจนสะบักสะบอม ร้องไห้กันทั้งเรื่อง”

การพลิกบทบาทมารับบท “แม่” เต็มตัว ไม่เร็วไปหรือสำหรับวัยของคุณ เราตั้งคำถาม “คนที่คุยรายละเอียดซีรีส์เรื่องนี้คนแรกคือแม่ของแพน  แม่บอกว่าเรื่องนี้น่าสนใจนะ แม่ว่าแพนควรเล่น แต่เราก็แอบคิดในใจ โห เล่นเป็น ‘แม่’ เลยเหรอ (หัวเราะ) อันที่จริงแพนเคยเล่นบทแม่ครั้งแรกใน รักเร่ แต่เรื่องนั้นแตะแค่ผิวเผิน ยังไม่เน้นคำว่าแม่จริงๆ ถามว่าเร็วเกินไปไหมกับบทบาทนี้ แพนว่าไม่นะ เพราะคุณแม่ยุคปัจจุบันนี้ก็ยังสาว ยังเปรี้ยว ยังดูแลตัวเอง เดินกับลูกเหมือนเป็นพี่น้อง เราเลยไม่รู้สึกว่าถ้าเล่นบทแม่ต้องอายุเยอะ เป็นความท้าทายมากกว่า ยิ่งเราได้รับบทบาทที่ไม่มีประสบการณ์ก็ยิ่งต้องทำการบ้านให้เยอะขึ้น เตรียมตัวมากขึ้น”

 

“คุณแม่ยุคปัจจุบันนี้ก็ยังสาว ยังเปรี้ยว ยังดูแลตัวเอง เดินกับลูกเหมือนเป็นพี่น้อง เราเลยไม่รู้สึกว่าถ้าเล่นบทแม่ต้องอายุเยอะ เป็นความท้าทายมากกว่า ยิ่งเราได้รับบทบาทที่ไม่มีประสบการณ์ก็ยิ่งต้องทำการบ้านให้เยอะขึ้น เตรียมตัวมากขึ้น”

 

ซีรีส์เรื่อง Mother เรียกฉันว่า…แม่ สะท้อนสถานะของแม่ในหลากหลายแง่มุม เช่น แม่ผู้ให้กำเนิดแต่ไม่อาจเลี้ยงดู และแม่ที่เลี้ยงดูแต่ก็ไม่ใช่ผู้ให้กำเนิด รวมถึงเหตุผลจิปาถะที่ผู้มีสถานะ “แม่” ต้องเก็บงำไว้ “ในเรื่องสะท้อนภาพความสัมพันธ์แม่-ลูกหลายรูปแบบ และหลากหลายเหตุผลในการแก้ปัญหาของแต่ละคน พี่ต่าย-เพ็ญพักตร์เป็นแม่ที่ไม่สามารถเลี้ยงลูกได้ ส่วนพี่อุ๋ม-อาภาศิริก็เป็นแม่เลี้ยงที่ให้ทุกอย่าง และบทของแพนแม้ไม่ใช่แม่แท้แต่ก็อยากจะปกป้องดูแลเด็กที่เรารักเสมือนลูกในไส้ บทปูพื้นด้วยการที่เราขาดความอบอุ่นจากแม่แท้ๆ เลยไม่อยากให้เด็กคนนี้เป็นเหมือนเรา แพนเชื่อว่ามีคนที่ไม่ได้ให้กำเนิดแต่รักและเลี้ยงดูเหมือนกับลูกแท้ๆ อยู่จริง ต้องให้เครดิตน้องมากิ (มาชิดา สุทธิกุลพานิช) ที่รับบทเป็นลูกของเราในเรื่อง เขาเล่นเก่งมาก ถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างลึกซึ้ง จนเราเชื่อและเข้าถึงความรู้สึกรัก ยิ่งฉากหลังๆ ยิ่งรักเขามาก เพราะเรื่องนี้ถ่ายเรียงซีนด้วย ความรู้สึกก็ค่อยๆ เพิ่มพูน

“ซีนที่ชอบมากมีสองซีน ซีนแรกเล่นกับพี่ต่าย-เพ็ญพักตร์ เรารู้ว่าเขาเป็นแม่แท้ๆ แต่เพิ่งมายอมรับปลดล็อคความรู้สึก อยากจะกอดเขา จำความรู้สึกที่เขาหวีผมให้ได้ ตอนแสดงไม่คิดว่าต้องร้องไห้ขนาดนี้ แต่พอเข้าซีนความรู้สึกมันพรั่งพรู เราโหยหาเขามากจริงๆ อีกซีนคือซีนสุดท้ายที่เล่นกับน้องมากิ เป็นซีนที่ต้องแยกกับเขา ก่อนถ่ายเราร้องไห้มาทั้งวัน ไม่แน่ใจว่าจะร้องไหวอีกรึเปล่า ค่อนข้างเกร็งเพราะเป็นไคลแมกซ์ด้วย แต่พอแสดงจริงแค่มองหน้าน้องใจก็จะขาด เสียงร้องไห้ของน้องมากิคือกรีดร้องสุดตัว ไม่ใช่แค่เราที่น้ำตาไหล คนดูรอบๆ กอง ฝรั่งที่มามุงก็น้ำตาไหลด้วย พอเราเชื่อสิ่งที่ทำ ปล่อยความรู้สึกไปตามแคแรกเตอร์ ทุกอย่างก็ลื่นไหลตามที่ควรจะเป็น”

การได้สวมบทบาท “แม่” ทำให้มุมมองต่อความเป็น “แม่” ของคุณเปลี่ยนไปหรือไม่ เราอดสงสัยไม่ได้ “แพนรู้สึกว่าหน้าที่นี้ยิ่งใหญ่ เป็นความรับผิดชอบอันใหญ่หลวง ไม่มีวันหยุด เมื่อคุณรับหน้าที่นี้แล้วก็ต้องรับผิดชอบตลอดชีวิต ทุกคนมีเหตุผลในการกระทำเสมอ เพียงแต่ว่าเราจะรู้หรือไม่รู้เหตุผลนั้น การตัดสินใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราไม่ควรตัดสินคนอื่นถ้าไม่รู้ว่าเบื้องหลังเขาเป็นยังไง บางทีเราดูข่าวแล้วก็รีบตัดสินเร็วไป”

อย่างเช่นการที่แม่ตัดสินใจทิ้งลูกไป อาจมีเหตุผลที่เราไม่รู้อยู่เบื้องหลังเช่นนั้นหรือ เราถามย้ำเพื่อความเข้าใจ “อะไรอย่างนั้น ยกตัวอย่างจากซีรีส์ ที่แม่ทิ้งเราไปเพราะมีเหตุผลคือต้องการปกป้องจนต้องไปอยู่ที่ไกลๆ แต่เราไม่รู้ เชื่อว่าแม่ไม่รักมาตลอด หรือบางคนก็มีเหตุผลที่ทำแบบนี้เพราะอยากให้ลูกได้ดี หรือทิ้งเพราะห่วงแฟน เหตุผลมันหลากหลายมากที่เราไม่รู้”

คุณได้ลองแสดงบทแม่แล้ว ตอนนี้พร้อมกับการเป็นแม่จริงๆ รึยัง เรายิงคำถาม นักแสดงเจ้าบทบาทตอบทันควันว่า “ไม่พร้อมค่ะ ขอเลี้ยงหลานก่อน (หัวเราะ)”

 

 

พูดถึงความสัมพันธ์ในชีวิตจริง คุณกับแม่ดูเป็นคู่ที่สนิทกัน คุณสองคนเป็นแม่ลูกสไตล์ไหน “นับตั้งแต่วันแรกที่ตัดสินใจเข้ามาทำงานวงการบันเทิงเราก็อยู่ด้วยกันมาตลอด จะว่าเหมือนเพื่อนกันก็ได้ แต่แม่ก็มีโหมดดุ เรามีความกลัวความเกรงอยู่ แม่จะทำตัวให้ทันเรา รู้จักเพื่อนเรา ยังแต่งตัวสดใส ดูแลตัวเองเสมอ  อย่างแพนชอบทำกิจกรรมเอาท์ดอร์ เล่นกีฬา แม่ก็ทำด้วยกันหมด ตีกอล์ฟ เทนนิส วิ่ง แม่เล่นด้วยหมด เพียงแค่ตอนนี้อาจจะลดความโลดโผนลงตามวัย แต่ตอนไปสระบุรีซึ่งเป็นที่ดินที่แพนซื้อ เราขุดบ่อไว้ แม่ก็ลงไปว่ายน้ำในบ่อทุกวัน”

ในมุมมองของคนนอกคุณและแม่มีความเหมือนกันมากโดยเฉพาะรูปร่างหน้าตา แล้วตัวคุณเองล่ะเหมือนหรือต่างกับคุณแม่ไหม “ทั้งเหมือนและต่าง อย่างเรื่องความชอบในสีพาสเทล สีสดใส หรือลายดอกไม้ แพนจะซึมซับมา เลยชอบเหมือนๆ กัน แต่สิ่งที่ต่างคือ แม่มีความมั่นใจในตัวเองมากกว่า เขาโตมากับการทำอะไรด้วยตัวเองตลอด มีความเป็นตัวของตัวเองสูง เช่น ชอบเสื้อผ้าสไตล์นี้ก็จะใส่แบบนี้ แม่มีความคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องไปเหมือนใคร ในขณะที่เราไม่ได้มั่นใจขนาดนั้น และแพนโตมาด้วยการมีแม่คอยดูแล ความกล้าได้กล้าเสียจึงมีไม่เท่า แม่จะเสี่ยงเป็นเสี่ยง ส่วนแพนจะเผื่อเหลือเผื่อขาดละกัน แต่เราก็จะได้ซึมซับความเป็นผู้หญิงสตรองจากแม่”

 

2.

เพราะทำงานในวงการบันเทิงมานานถึง 16 ปี วันนี้แพนเค้กจึงมีโอกาสเลือกรับงานที่หลากหลายและน่าสนใจยิ่งขึ้น “พออายุ 30 ปีชิ้นงานที่ติดต่อเข้ามาก็มีความท้าทายมากขึ้น เราเลยสนุกขึ้นกับงานในตอนนี้ จุดเปลี่ยนในการทำงานของแพนน่าจะมาจากการได้ร่วมงานกับหม่อมน้อย (ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล) ใน ศรีอโยธยา สี่ปีในการถ่ายทำเหมือนเรียนจบมหา’ลัย ตั้งแต่เด็กแพนไม่เคยเรียนการแสดงมาก่อนเลย เพิ่งได้เรียนตอนย้ายมาทรู ซึ่งทำให้วิธีคิดในการทำงานเปลี่ยนหมดเลย เราได้มุมมองใหม่ มีไฟในการทำงาน อยากใส่ใจ ใส่กำลังลงไปในงานทุกชิ้นอย่างเต็มที่ สนุกกับการทำงานมากขึ้น อยากตื่นมาทำงานทุกวันเลย ซีนนี้ที่เราเคยซ้อม ถ่ายจริงจะเป็นยังไงนะ การร่วมงานกับคนที่มีความสามารถหลากหลายช่วยเปิดโลกของเราให้กว้างขึ้น จุดพลังในการทำงานให้แก่เรา”

 

“ความสำเร็จของแพนคือโอกาสในการได้ทำงาน เช่น การได้ทำงานที่หลากหลาย และท้าทายตัวเอง เรารู้ดีว่ามีตัวเลือกมากมายในวงการ แต่เราไม่ได้แข่งกับใคร แพนเชื่อว่าถ้าเรายังคงความเป็นตัวเอง ย่อมต้องมีโอกาสดีๆ ที่เหมาะกับเราเข้ามาแน่”

 

สิบกว่าปีในวงการ แน่นอนว่าย่อมมีอะไรหลายอย่างที่เปลี่ยนไปจากวันแรกที่เข้ามา “วงการบันเทิงเปลี่ยนไปเยอะเลยค่ะ ยุคนี้พฤติกรรมการดูละครของคนเปลี่ยนไป ไม่จำเป็นต้องอยู่บ้านเพื่อดูทีวีแล้ว ไม่ถูกเวลาของละครจำกัด แต่คนดูจะเป็นคนกำหนดเองว่าอยากดูอะไรเมื่อไหร่ เรตติ้งไม่สามารถวัดอะไรได้อีกแล้วในวันนี้ ทุกวันนี้ดาราเกิดขึ้นเร็ว โตเร็ว ศิลปินมีมากมายให้เลือก ดังนั้นคุณภาพของการทำงานจะเป็นสิ่งคัดกรองและพิสูจน์ว่าใครอยู่ได้ยั่งยืน อย่างเป็นอาชีพจริงๆ

“ความสำเร็จของแพนคือโอกาสในการได้ทำงาน เช่น การได้ทำงานที่หลากหลาย และท้าทายตัวเอง เรารู้ดีว่ามีตัวเลือกมากมายในวงการ แต่เราไม่ได้แข่งกับใคร แพนเชื่อว่าถ้าเรายังคงความเป็นตัวเอง ย่อมต้องมีโอกาสดีๆ ที่เหมาะกับเราเข้ามาแน่”

คำว่า “มืออาชีพ” ในนิยามของนักแสดงหญิงเจ้าบทบาทอย่างเธอเป็นแบบใด เราสงสัย “แพนว่าต้องเป็นคนที่มีทักษะและทัศนคติที่ดีต่อการทำงาน หมั่นฝึกฝน ไม่หยุดอยู่กับที่ ปรับตัวตามโลกให้ทัน รู้ว่าเรากำลังทำอาชีพอะไร ตั้งใจทำหน้าที่ในแขนงของเราอย่างเต็มที่”

 

 

3.

ภาพจำอีกอย่างหนึ่งของแพนเค้ก คือการเป็นนางเอกจิตอาสาช่วยงานการกุศลอยู่เสมอ ไม่ว่าจะของรัฐหรือเอกชน “เรียกว่าเป็นงานหลักเลยค่ะ” (ฮ่า) นักแสดงสาวแซวตัวเองก่อนจะเล่าเรื่องราว “เริ่มต้นจากเราชอบทำกิจกรรม เช่น วิ่ง หรือคอนเสิร์ต เราก็ทำของเราเองแล้วชวนคนใกล้ตัวมาเข้าร่วม จากนั้นนำรายได้ไปมอบให้องค์กรการกุศลที่นั่นที่นี่  พอคนเห็นสิ่งที่เราทำ ก็ชักชวนเราไปร่วม แพนก็ยินดี ได้บอกต่อกิจกรรมดีๆ จนตอนนี้มีโอกาสช่วยงานอาสาหลากหลายแขนง ได้เห็นปัญหามากมาย เช่น ปัญหาผู้สูงอายุ หรือปัญหาเด็กที่อยู่ในสถานกักกัน ล่าสุดแพนมีโอกาสได้ทำงานในด้านสิ่งแวดล้อม ไปทะเลมา เราเห็นหาดเต็มไปด้วยขยะ ถามว่ามีหน่วยจิตอาสาที่เขาช่วยเก็บขยะกันไหม มี เขาเก็บกันทุกอาทิตย์ แต่ขยะยังเยอะอยู่ดี แล้วขยะเหล่านี้ไม่ได้มาจากคนบนชายฝั่งฝ่ายเดียว บางทีคนเดินเรือ ชาวประมง ก็มีส่วน แต่ละคนทิ้งเล็กทิ้งน้อย แล้วคลื่นก็ซัดขึ้นฝั่ง มีเศษเชือก อวน ติดมาเยอะ จน โอ๊ย ทำไมมันเยอะได้ขนาดนี้ ทั้งหาดประมาณห้าร้อยเมตร เขาเก็บกันสามชั่วโมงยังไม่ถึงสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด

 

“แพนจะคิดเสมอว่าถ้าสิ่งใดที่ผ่านเข้ามาให้เรารับรู้ ก็ถือว่าเราต้องรู้ และช่วยเหลือเท่าที่สามารถ ไม่ต้องไปคิดต่อว่าหลังจากนี้จะเป็นยังไง”

 

การได้สัมผัสปัญหาสังคมมากมาย ส่งผลต่อทัศนคติหรือการมองชีวิตของคุณหรือไม่ เรายิงคำถาม “ทั้งหมดที่เราได้เห็นคือโลกความจริง เหมือนเราได้เห็นความจริงมากขึ้น มีหลายปัญหาที่คนยังไม่รู้ และยังได้รับความช่วยเหลือไม่มากพอ หลายปัญหาก็มีความซับซ้อนกว่าที่เห็น แพนจะคิดเสมอว่าถ้าสิ่งใดที่ผ่านเข้ามาให้เรารับรู้ ก็ถือว่าเราต้องรู้ และช่วยเหลือเท่าที่สามารถ ไม่ต้องไปคิดต่อว่าหลังจากนี้จะเป็นยังไง”


สถานที่ถ่ายแบบ

Town Tree Garden&Restaurant

เลขที่ 888 ถ.ประเสริฐมนูกิจ แขวงนวมินทร์ เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร 10230

โทร. 0 2508 0485 , 08 3430 6888

ภิญญ์สินี

Writer

กองบรรณาธิการ ศิษย์เก่าเอกปรัชญาและศาสนา ชอบติดตามกระแสสังคม และเทรนด์แฟชั่น สนใจศิลปวัฒนธรรม และสีมงคล ลายนิ้วหัวแม่มือคือลายมัดหวาย

อนุชา ศรีกรการ

Photographer

ช่างภาพที่เกิดวันเดียวกับวันถ่ายภาพโลก เลยทำอย่างอื่นไม่เป็นแล้ว

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!