นี่แหละ ‘นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ’

-

สวัสดีปีใหม่ พ.ศ. 2565 ค่ะ ขอให้ผู้อ่านมีความสุขกายสุขใจตลอดปีนี้และตลอดไป และเนื่องในโอกาสในการเริ่มต้นศักราชใหม่ ผู้เขียนขอเสนอสำนวนไทยที่แสดงถึงสัจธรรมแห่งชีวิตสองสำนวน ได้แก่ “นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ” และ “จวักไม่รู้รสแกง”

 

นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ

โดยธรรมชาติขณะที่โบยบินอยู่บนฟ้า นกอาจจะเห็นสิ่งที่ปรากฏหรือเคลื่อนที่อยู่ในท้องฟ้า ไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือวัตถุ แต่มันอาจจะไม่เห็นฟ้าที่มันบินผ่านตลอดชีวิตก็ได้ ในทำนองเดียวกันปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำจะเห็นสิ่งต่างๆ ในน้ำ  แต่มันอาจจะไม่เห็นน้ำที่มันสัมผัสอยู่ตลอดเวลา

เมื่อมีผู้นำข้อคิดข้อสังเกตจากการดำรงชีวิตของนกและปลามาใช้เป็นสำนวนเปรียบกับคน ก็จะสื่อความหมายที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับสัจธรรมแห่งชีวิต คือแม้จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ แต่บางคนก็เข้าไม่ถึงความจริงของชีวิต คงดำเนินชีวิตอยู่ในโลกด้วยความมืดบอดทางปัญญา ไม่ตระหนักถึงวัฏจักรหรือความเป็นไปของชีวิตว่า ตราบใดที่ยังมีการเวียนว่ายตายเกิดก็ย่อมมีความทุกข์ไม่รู้สิ้นตราบนั้น การจะหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ก็ด้วยการเข้าใจชีวิต เข้าใจโลกที่ตนดำรงอยู่ เช่นวันหนึ่งยายพูดกับตาเรื่องนางสายเมียของนายเชิดซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้กันที่เศร้าโศกเสียใจจนล้มเจ็บ เพราะทำใจไม่ได้ที่ลูกชายเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ว่า “สงสารแม่สายนะ ที่ยอมรับไม่ได้ว่า ความพลัดพรากจากกันย่อมเป็นธรรมดาโลก ไม่จากเป็นก็จากตาย นี่กระมังที่เขาพูดกันว่า นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ”

จวักไม่รู้รสแกง

จวัก (ตวัก) เป็นเครื่องใช้ในครัว ทำจากกะลามะพร้าวมีด้ามจับ คล้ายกับทัพพี ใช้ตักข้าวหรือแกง แต่โดยมากจะใช้ทัพพีตักข้าว ส่วนจวักจะใช้ตักพวกต้มหรือแกงเพราะก้นลึกกว่าจึงตักน้ำได้มากกว่า แม้จวักจะได้สัมผัสกับน้ำแกงอยู่เสมอ แต่จวักจะไม่รู้รสของแกงว่าเผ็ดเค็มเปรี้ยวหวานอย่างไร สัมผัสแล้วก็ถูกล้าง

เมื่อนำ “จวักไม่รู้รสแกง” มาใช้เป็นสำนวนเปรียบ จะมีความหมายเปรียบกับบางคนที่แม้จะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับคนดีมีศีลธรรมมีความรู้ แต่ก็ไม่เคยใช้โอกาสดังกล่าวพัฒนาตนเองแม้แต่น้อย ดังในโคลงโลกนิติซึ่งเป็นพระนิพนธ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศรที่ได้ทรงพระนิพนธ์มาจากวรรณกรรมโบราณว่า

คนพาลผู้บาปแท้           ทุรจิต

ไปสู่หาบัณฑิต                  ค่ำเช้า

ฟังธรรมอยู่เนืองนิตย์          บ่ทราบ[1]   ใจนา

คือจวักตักเข้า[2]                  ห่อนรู้รสแกง

เช่นแดงเป็นศิษย์วัดตั้งแต่ยังเด็ก ได้นอนร่วมกุฏิกับหลวงลุงผู้เป็นพระที่ทรงศีล มีวัตรปฏิบัติเป็นเลิศจนเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้าน แต่เมื่อแดงเติบโตเป็นวัยรุ่นกลับหลงผิดคบเพื่อนไม่ดี ติดเหล้าและติดยาจนต้องประพฤติตนเป็นหัวขโมยทั้งๆ ที่กำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย จึงถูกตำรวจจับ เมื่อเพื่อนบ้านของพ่อแม่แดงรู้ข่าวก็จับกลุ่มคุยกัน ตอนหนึ่งป้าน้อยพูดขึ้นว่า “เสียดายที่เจ้าแดงมันหลงผิดไปได้ ทั้งๆ ที่อยู่กับหลวงลุงมานานหลายปี นี่แหละที่โบราณเขาว่าจวักไม่รู้รสแกง”

[1]ทราบ – ซึมซาบ

[2]เข้า – ข้าว

เช่นแดงเป็นศิษย์วัดตั้งแต่ยังเด็ก ได้นอนร่วมกุฏิกับหลวงลุงผู้เป็นพระที่ทรงศีล มีวัตรปฏิบัติเป็นเลิศจนเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้าน แต่เมื่อแดงเติบโตเป็นวัยรุ่นกลับหลงผิดคบเพื่อนไม่ดี ติดเหล้าและติดยาจนต้องประพฤติตนเป็นหัวขโมยทั้งๆ ที่กำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย จึงถูกตำรวจจับ เมื่อเพื่อนบ้านของพ่อแม่แดงรู้ข่าวก็จับกลุ่มคุยกัน ตอนหนึ่งป้าน้อยพูดขึ้นว่า “เสียดายที่เจ้าแดงมันหลงผิดไปได้ ทั้งๆ ที่อยู่กับหลวงลุงมานานหลายปี นี่แหละที่โบราณเขาว่าจวักไม่รู้รสแกง”


คอลัมน์: คมคำสำนวนไทย / เรื่อง: ยุพร แสงทักษิณ  ภาพ: ขวัญญาณี ศิรธนอนันต์

All Creative Team

Writer

ร่วมสร้างสังคมอุดมปัญญา

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!