ผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ผมรู้จักดีเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งเขาขับรถจากต่างจังหวัดกลับกรุงเทพฯ ระหว่างทางก็แวะซื้อของริมทางหลวง ตามธรรมเนียมของนักเดินทาง
ผ่านไปสองสามวัน เขารู้สึกว่าได้กลิ่นหอมบางอย่างในรถ กลิ่นนั้นหอมแบบที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน
เขามีความสุขกับกลิ่นนั้น ขับรถอย่างสบายอารมณ์
เขาไม่รู้จริงๆ ว่ากลิ่นนั้นคืออะไร มาจากไหน เขาพยายามมองหาจุดต้นเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่นนั้น แต่ไม่พบ
ผ่านไปอีกหลายวัน เมื่อเขาเก็บกวาดภายในรถ ก็พบมะม่วงเน่าหลายผล ซุกอยู่บนพื้นรถ นึกได้ว่าหลายวันก่อนเมื่อผ่านทางหลวง เขาแวะซื้อมะม่วงสด แล้วลืมมันทิ้งไว้ในรถ จนกระทั่งมะม่วงเน่า และส่งกลิ่นที่หอมประหลาด
กลิ่นหอมที่ว่านั้นก็คือกลิ่นมะม่วงเน่า
เอาละ สมมติว่าคนขับเห็นมะม่วงเน่าก่อนได้กลิ่น อาจบอกว่ากลิ่นนั้นไม่ดี
เป็นเรื่องปกติ หากเราเห็นมะม่วงเน่า เราจะตัดสินว่ามันเป็นกลิ่นเหม็น เพราะของเน่าก็ย่อมต้องเหม็น
มันมีภาพลักษณ์กำหนดมาก่อน มันก็กำหนดให้เรารู้สึกว่าถ้าของเน่า ก็ต้องเหม็นแน่นอน
แต่ในกรณีที่ไม่รู้ว่าอะไรคือสาเหตุของกลิ่นนั้น เราก็จะสัมผัสรับรู้กลิ่นนั้นตามสภาพของกลิ่นนั้นจริงๆ ไม่มีอคติใดๆ มาเกี่ยวข้อง ซึ่งปรากฏว่ามะม่วงเน่าก็ส่งกลิ่นหอมได้
คนเราถูกปลูกฝังมาแต่เล็กให้แบ่งและสร้างภาพว่า นี่คือของดี นั่นคือของไม่ดี
นี่คือของสด นั่นคือของเน่า
เราก็มักโยงจากตัวอย่างอื่นๆ ว่าของสดคือดี ของเน่าคือเหม็น เช่น ไก่ย่างใหม่ๆ มีกลิ่นหอม ไก่ย่างบูดมีกลิ่นเหม็น
น้ำมะนาวมีกลิ่นหอม น้ำมะนาวเสียก็ต้องเหม็น
ไม่นานมันก็กลายเป็นกรอบคิดอย่างหนึ่ง
แต่ธรรมชาติไม่มีการแบ่ง กลิ่นก็คือกลิ่น กลิ่นมาจากสภาพทางกายภาพของสิ่งหนึ่งๆ มันเป็นอย่างนั้นเอง
แร้งที่กินซากศพเป็นอาหาร ก็กินอย่างสบายใจ เพราะมันไม่กรอบคิดใดๆ กำหนดมาก่อน
ในสังคม เรามักได้รับการปลูกฝังกรอบคิดแบบนี้ เช่น บริจาคเงินคือได้บุญ เข้าวัดคือดี
มันไม่ผิด แต่ไม่ครบด้าน เพราะดีไม่ดีอยู่ในใจ ไม่ได้อยู่ที่เข้าวัด ไม่เข้าวัดก็ดีได้
หลักทางพุทธมักสอนให้เราละวางกรอบคิดแบบนี้ และพยายามหลีกเลี่ยงการปรุงแต่งจากกรอบคิดทั้งหลาย
เมื่อเป็นอิสระจากกรอบดี-เลว สูง-ต่ำ ดำ-ขาว ก็จะไม่เกิดความยึดมั่นถือมั่น และเมื่อลดการยึดมั่นถือมั่น ชีวิตก็เบาขึ้น และโอกาสทุกข์ก็ลดลง
…………………
โลกภายนอกเต็มไปด้วยกรอบคิดมากมายนับไม่ถ้วน ทำให้เราไม่เป็นอิสระจริงๆ
นักแต่งเพลง ชลธี ธารทอง ครั้งที่เริ่มเข้าวงการใหม่ๆ เคยแต่งเพลงชื่อ พอหรือยัง เพื่อนในวงได้ยินก็นำไปร้อง ทุกคนที่ได้ยินเพลงนี้บอกว่าไพเราะมาก แต่เมื่อชลธีบอกว่าเขาเป็นคนแต่งเพลงนี้ ไม่มีใครเชื่อ เพราะมีภาพในใจว่า คนหนุ่มวัยนี้เพิ่งเริ่มเข้าวงการแต่งเพลงไพเราะขนาดนี้ไม่ได้ มีแต่นักแต่งเพลงชั้นครูจึงทำงานระดับนี้ได้
นี่ก็คือกรอบคิด
ดังนั้นหากจะเป็นอิสระจริงๆ ก็ต้องฝึกวัดค่าของสิ่งหนึ่งตามเนื้อผ้า
ดีไม่ดีว่ากันตามเนื้อผ้า
หากฆาตกรคนหนึ่งเทศน์ธรรมที่มีประโยชน์ เราจะปฏิเสธธรรมนั้นหรือไม่ เพียงเพราะคนพูดเป็นฆาตกร ไม่ใช่พระ?
หากมะม่วงเน่าส่งกลิ่นหอม เราก็ยอมรับว่ามันเป็นกลิ่นหอม ไม่ว่าต้นกำเนิดของมันจะเป็นภาพลบเพียงใด
วินทร์ เลียววาริณ
winbookclub.com
เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/winlyovarin/
คอลัมน์: ลมหายใจ
เรื่องและภาพ: วินทร์ เลียววาริณ