หลังจากหนังไทยเรื่อง OMG! รักจังวะ..ผิดจังหวะ เข้าฉายในสตรีมมิง เมื่อมีคนดูมากขึ้นก็เกิดคำวิจารณ์กันอื้อในโลกออนไลน์มากขึ้น หนึ่งในข้อถกเถียงคือฝ่ายหนึ่งมองว่าหนังที่ดีไม่ควรมีบทสรุปให้คนชั่วลอยนวล หรือคนนิสัยไม่ดีกลับพบตอนจบที่สมหวังโดยไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย
แต่อีกฝ่ายไม่เห็นด้วย เพราะนั่นคือการนำคุณค่าทางศีลธรรมมาเป็นตัวชี้วัดคุณค่าของหนัง
หนัง/ละคร/ซีรีส์ คือสื่อรูปแบบหนึ่ง การตัดสินว่าดีหรือไม่ก็ควรจะพิจารณาที่องค์ประกอบของหนังนั้นๆ เช่น งานสร้าง การกำกับ บท การเล่าเรื่อง การแสดง ดนตรีประกอบ
หนังหลายเรื่องแสดงปมตัวละครเพื่ออธิบายความชั่วร้าย ทิ้งท้ายชีวิตของคนเลวร้ายให้พบบั้นปลายไม่ดี, คนทำผิดค้นพบจุดเปลี่ยนและเริ่มสำนึกผิด ฯลฯ นั่นสามารถเป็นหนังที่ดี แต่อาจเป็นหนังที่แย่ก็ได้ ขึ้นกับว่านำเสนออย่างไร น่าเชื่อถือมากแค่ไหน ไม่ได้อยู่ที่จุดจบของตัวละคร
พฤติกรรมอันเลวร้ายในชีวิตจริงไม่จำเป็นต้องเกิดจาก “ปมความขัดแย้ง” เสมอไป และต่อให้มีปมเช่นนั้น ในชีวิตจริง ก็ใช่ว่าเราจะค้นพบมัน
หลายเรื่องในชีวิตจริงนั้นไม่มีที่มาที่ไปซึ่งสามารถอธิบายได้เหมือนสูตรสำเร็จทางทฤษฎีจิตวิทยา (และบางครั้งเราก็พยายามเอาทฤษฎีไปยัดเยียดใส่ชีวิตคนอื่นๆ เพื่อเชื่อมโยงว่าเพราะเหตุการณ์ในตอนนั้นทำให้เขาหรือเธอเป็นคนแบบนี้ ซึ่งอาจเป็นเพียงการเชื่อมโยงที่ยัดเยียด “ความเป็นเหตุและผล” หรือ false causality ทั้งที่บุคคลกับเหตุการณ์ดังกล่าวอาจไม่ได้สัมพันธ์กันด้วยซ้ำ แค่เกิดขึ้นก่อน-หลัง)
แต่ก็เข้าใจได้ว่า คนเราอยากให้ความชั่วร้ายนั้นอธิบายได้ เพราะย่อมดีกว่าการยอมรับว่าความชั่วร้ายนั้นเกิดขึ้นแบบไม่มีที่มาที่ไป
เพียงแต่บทสรุปไม่ควรเป็นการชี้คุณค่าว่านั่นคือ “บทหนังหรือละครที่ควรจะเป็น”
หนังที่คนทำดีไม่ได้ดี แต่ทำชั่วได้ดี
ดีตรงไหน?
หนังหลายเรื่องที่แม้บทสรุปว่าคนทำดีไม่ได้ดีหรือคนชั่วร้ายลอยนวล ก็ไม่ได้หมายความว่าหนังเรื่องนั้นๆ กำลังให้ท้ายคนทำชั่วเสมอไป การจะสรุปแบบนั้นได้เราต้องดูหนังทั้งเรื่องว่ามีเจตนาให้ท้าย การทำชั่วร้ายนั้นหรือไม่ ไม่ใช่ตัดสินจากบทสรุปของตัวละคร
นอกจากนี้ในชีวิตจริง เรามีโอกาสโดนคนชั่วร้ายที่ลอยนวลรังควานอย่างในหนังหลายเรื่อง เช่น Funny Game ซึ่งเป็นเรื่องครอบครัวแสนสุขถูกคุกคามโดยคนแปลกหน้า แถมหนังยังใจร้ายด้วยว่า โยนส่วนหนึ่งของหายนะที่เกิดขึ้นไปยังตัวละครเหยื่อดังใน quote ที่ว่า “คุณต้องยอมรับว่าที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น เพราะคุณพามันเข้ามาเอง (You must admit, you brought this on yourself.)”
ไม่มีบทเรียนสอนใจ แถมคนร้ายลอยนวล ไม่มีปมใดๆ ต้องอธิบาย
ถามว่าหนังแบบนี้ได้อะไร?
คำตอบคือหนังรูปแบบนี้ก็สามารถสร้าง awareness หรือการเตือนสติ แก่คนดูโดยไม่รู้ตัวว่า คนชั่วร้ายและความชั่วร้ายมีอยู่จริง คำอธิบายใดๆ อาจไม่มี ดังนั้นเราเองจึงต้องระวังการใช้ชีวิตท่ามกลางความชั่วร้ายในโลกนี้ ไม่ใจดีหรือเปิดประตูรับคนแปลกหน้าเข้ามาในชีวิตโดยไม่เผื่อทางหนีทีไล่
หนังหรือละครที่จบแบบคลี่คลาย สุดท้ายตัวละครได้เรียนรู้ กลับใจ สำนึกได้ ฝากบทเรียนแบบหนังสั้นคุณธรรม คนชั่วร้ายหรือคนเฮงซวยไม่พบตอนจบที่แฮปปี้เอนดิ้ง ฯลฯ ก็เป็นเรื่องดีในอีกแง่หนึ่งคือการให้กำลังใจ จุดประกายความหวัง
ทว่าสังคมคนดูที่ควรผลิตแต่สื่อแบบทำดีได้ดี คือมีบทสรุปแบบนี้เท่านั้น เหมาะกับคนดูกลุ่มวัยเด็กเล็กซึ่งเรากำลังปลูกฝังพื้นฐานศีลธรรมของโลกที่แยกแยะดี-ชั่วง่ายๆ ให้ “กลัว” การทำเรื่องชั่วร้ายและเชื่อในทำดีได้ดี
แต่ถึงจุดหนึ่งเมื่อโตขึ้นจากรั้วเด็กอนุบาล การเติบโตทางศีลธรรมนอกจากจำเป็นต้องรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว ยังต้องเรียนรู้ถึงสีเทาในโลกใบนี้ ส่วนผสมของคนที่มีทั้งดีชั่วร้าย หรือการเรียนรู้แบบไม่ตีกรอบขาวกับดำ รู้จักโลกอย่างที่มันเป็นไปจริงๆ
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราพยายามหล่อหลอมให้สื่อในสังคมว่า “ควรมีแต่” แบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการพยายาม propaganda หรือโฆษณาชวนเชื่อ ผ่านโลกด้านเดียวที่มีคำอธิบายและมีกรรมสนอง ซึ่งมีผลเสียตามมาด้วย
ถ้าสังคมผลิตแต่หนัง “ทำดีได้ดี” อย่างเดียว
ทำดีได้ดีชักจูงให้เราอยากทำดี แต่การรู้ว่าทำดีอาจไม่ได้ดีเสมอไป ก็ทำให้เราเข้าใจชีวิตจริงซึ่งบางครั้งเราต้องเจอความผิดหวังหลังทำดี แล้วสู้กันต่อไป
แต่หากไม่เรียนรู้ตรงนี้ และตลอดชีวิตถูกหล่อหลอมให้มีแต่กรอบ “ทำดีต้องได้ดี” พอชีวิตจริงกลับไม่ได้ดี หลายชีวิตเลยแตกสลายคล้ายไม่เหลืออะไรให้ยึดเหนี่ยว
ในทางกลับกัน หากสังคมมีแต่หนัง “ทำชั่วแล้วจบแบบกรรมตามสนอง”
ข้อดีคือชักจูงให้คนดูกลัวการทำชั่ว เรา(คนดู)เองได้ประโยชน์จากหนังแบบนี้คือมีความหวังว่าสุดท้ายกรรมจะตามสนองคนชั่ว แต่ในความเป็นจริง “กรรม” ไม่ได้ส่งผลร้ายอย่างที่เราคาดหวังเสมอไป และเมื่อเจอเช่นนั้นหลายคนก็ท้อแท้ต่อความอยุติธรรม
การมีหนังที่ทิ้งท้ายว่าคนชั่วไม่ได้ดีหรือทำผิดลอยนวล จึงมีส่วนช่วยให้คนดูได้รู้ว่าโลกก็เป็นเช่นนี้ เพื่อรับมือคนแบบนั้น และยิ่งเป็นแรงผลักดันให้เราอยากสร้างสังคมที่ยุติธรรมมากขึ้น
พื้นที่ในการสร้างหนังและทัศนคติของสังคมจึงเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาศิลปะภาพยนตร์ และภาพยนตร์ก็จะย้อนกลับมามีส่วนพัฒนาประชากรนอกจากแค่ให้ความบันเทิง
พื้นที่นั้นควรเปิดกว้างและหลากหลาย ใส่ใจในความเป็นมนุษย์ที่มีมิติหลากหลาย มากกว่าพื้นที่สังคมซึ่งเน้นผลิตสื่อแบบตีกรอบศีลธรรมหรือเน้นแต่การชักจูง แล้วมองมนุษย์แบบคับแคบ เพียงแค่สีขาวกับดำ
คอลัมน์: มองโลกผ่านจอ เรื่อง: “ผมอยู่ข้างหลังคุณ” (www.facebook.com/ibehindyou, i_behind_you@yahoo.com)