ย่างเข้าเดือนเมษายน คงต้องนึกถึงเทศกาลสงกรานต์ ประเพณีคู่ประเทศไทย ทว่าสองปีที่ผ่านมาเราต้องงดจัดงาน เพราะการระบาดของโควิด-19 ภาพการล็อกดาวน์บ้านเมืองเข้ามาแทนที่การสาดน้ำ คำอวยพรปีใหม่ไทยพ่วงด้วยการอธิษฐานขอให้รอดปลอดภัยจากเชื้อโรคดังกล่าว และเชื่อว่าทุกคนปรารถนาอย่างสุดใจให้เจ้าเชื้อนี้หยุดคุกคามมนุษยชาติสักที เมษายนปี’ 65 ดูเหมือนโควิด-19 ก็ยังไม่จากเราไปไหนง่ายๆ สิ่งที่เราพอจะทำได้คือป้องกันตัวเองอย่างดีที่สุด และปรับตัวปรับใจ รับมือสถานการณ์เบื้องหน้าอย่างมีสติ เฉกเช่นแนวคิดของคนบนปกออลฯ ฉบับนี้ ‘หมอริท’ นพ.เรืองฤทธิ์ ศิริพานิช ซึ่งใช้การ “ค่อยๆ ทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไปเรื่อยๆ อย่างเต็มที่” กับทุกบททดสอบที่เข้ามาท้าทายไม่ว่าในฐานะแพทย์ หรือดาราศิลปิน
หมอริทช่วยโควิด-19
ในช่วงที่สายพันธุ์เดลต้าระบาดหนักนั้น หมอริทเคยเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้ป่วยและจัดตั้งโครงการที่ชื่อ “หมอริทช่วยโควิด-19” ตอนนั้นเป็นช่วงแรกของการรักษาแบบโฮมไอโซเลชั่น หรือรักษาตัวที่บ้าน และโครงการนี้ก็ช่วยส่งยาถึงผู้ป่วยให้ทันท่วงที เราจึงขอย้อนคุยถึงการตัดสินใจทำโครงการในครั้งนั้น
หมอริทช่วยโควิด-19 ถือว่าปิดโปรเจ็กต์ไปแล้วใช่ไหม เราถาม “ใช่ครับ เราส่งข้อมูลย้อนหลังไปแล้ว เช่น ให้สภากาชาด ทางสปสช.ก็สามารถตามที่สภากาชาด” มีโอกาสที่จะเปิดโครงการอีกในอนาคตไหม “พอแล้วครับ (ฮา) ตอนนั้นเหนื่อยมาก ค่อนข้างเกินตัว เราคาดไว้แค่ช่วยเท่าที่ช่วยได้ เช่น ดูแลคนไข้บางส่วนเท่านั้น ไม่คิดว่าคนจะเข้ามาขอให้เราช่วยเยอะขนาดนี้ ก็เลยตามเลย แต่ตอนนี้ให้มันจบเถอะครับ (ฮา)”
ที่ว่าเหนื่อยมากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง เราถามหมอหนุ่ม “เราเป็นโครงการแรกที่ทำระบบส่งยาภายใน 24 ชั่วโมง ตอนนั้นคนไข้ที่เป็นโควิดแล้วอยากรักษาตัวที่บ้าน ส่วนใหญ่ต้องติดต่อทางภาครัฐ สิ่งที่เกิดขึ้นคือการติดขัดเป็นคอขวด คนติดต่อเข้ามาเยอะ แต่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการมีไม่พอ คนไข้บางคนรอนาน 5-7 วัน บางคนรอ 14 วัน หรือบางคนรอจนหายเองก็มี เราจึงเป็นโครงการแรกที่ทำระบบส่งยา 24 ชั่วโมง แต่เรากะจะทำเล็กๆ มีช่องทางติดต่อแค่อินสตาแกรมกับทวิตเตอร์ส่วนตัวเท่านั้น กลายเป็นพอคนไข้รู้ว่าเราส่งยาได้ใน 24 ชั่วโมง ก็ไปรีวิวต่อ ปรากฏคนไข้กรูเข้ามาหาเราหมด เลยเป็นช่องทางหลักของการส่งยาให้ผู้ที่ต้องการรักษาตัวอยู่บ้านไป
“อย่างที่กล่าวเราไม่ได้วางแผนว่าสเกลงานจะใหญ่ขนาดนี้ ทีมงานจึงมีแค่พนักงานในคลินิก หมอ 1 คน เจ้าหน้าที่ประมาณ 10 คน ช่างหน้าช่างผมมารอฉีดโบท็อกซ์ สุดท้ายกลายเป็นหัวหน้าแพ็กยาไปเลย (ฮา)”
อยากให้เล่าถึงสาเหตุที่ผลักดันให้ทำโครงการนี้หน่อย “เราติดตามข่าวแล้วเห็นว่ามีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นตลอด และจำนวนผู้ติดเชื้อก็สูงขึ้นทุกวัน เพื่อนริทที่เป็นหมอส่งข่าวว่าเตียงเต็มแล้ว ทำงานไม่ได้พักเลย แล้วยังมีงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีก เราเห็นสภาพความจริง จึงใคร่ครวญดูว่าพอจะทำอะไรได้บ้าง เลยลุกมาช่วยส่งยาให้คนไข้บางส่วน ทีนี้ยาวเลยครับ (ฮา)”
แม้จะแสนเหนื่อยจากการเป็นอาสาในครั้งนั้น แต่ก็ได้พบพานประสบการณ์ดีๆ ด้วย “ริทประทับใจอาสาทุกคนที่มาช่วยกัน ไม่มีใครได้เงินเลย แต่ทุกคนทุ่มเทกายใจ อย่างแอดมินที่ช่วยตอบข้อความคนไข้ ตีสาม-ตีสี่ยังไม่ยอมนอน บางทีริทเฝ้าเคสยันเช้า เขาก็ยังอยู่ช่วยกันตอบ อันที่จริงริทเป็นคนออกหน้า การที่ริททุ่มเทก็ไม่แปลก แต่คนอื่นๆ เขาเต็มที่ไปกับริทด้วยเนี่ยสิ อย่างการส่งยา เราส่งเป็นสิบๆ บ้าน ใช้เวลาส่งทั้งวัน ต่างจังหวัดก็ไป เขามาช่วยทุกวัน นั่งแพ็กตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึงสองทุ่ม เหมือนเข้างานประจำ ถ้าเขาไม่ช่วยก็ไม่มีคนส่งยา เพราะริททำไม่ทัน ถ้าไม่มีอาสาที่เป็นตัวหลักคอยแจกงาน อาสาที่มาช่วยชั่วคราวก็ทำงานไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง บางคนที่บ้านป่วยก็ยังเสียสละมา บางคนญาติเขาป่วยหนัก พอญาติหาย แล้วเห็นถึงความสำคัญของสิ่งที่เราทำก็มาช่วย มีบางคนที่เสียคนในครอบครัวไป แล้วไม่อยากให้ใครเจอแบบนั้นอีก ก็มาเป็นอาสาสมัครด้วย ทุกคนมาด้วยใจ ไม่มีค่าจ้าง ค่าน้ำมันยังไม่มีให้เลยครับ เพราะริทไม่มีเงินจ่าย โครงการริทไม่มีเงินสนับสนุน เราจึงเห็นถึงน้ำใจคนจริงๆ
“อีกสิ่งที่ริทได้จากโครงการนี้ คือการฝึกทำงานเป็นระบบ หลายอย่างที่เคยคิดว่ายาก ริทไม่น่าทำได้ พอลองทำไปเรื่อยๆ ค่อยๆ เซ็ตระบบไปทีละขั้น ก็ทำได้นี่นา แล้วยังได้ฝึกประสานงานกับคน คุยกับคนเยอะ ใครเก่งตรงไหนช่วยงานตรงนั้น ไปๆ มาๆ หน่วยงานของเราทำงานได้เร็วอย่างไม่รู้ตัว มีประสิทธิภาพทั้งที่ไม่ได้เตรียมการอะไรมาก่อนเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ป่วยที่เราช่วยกับบุคลากรที่มี และเราไม่มีเงินสนับสนุนด้วยอีก”
คิดว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้โครงการของริทดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพขนาดนี้ เราถามหมอเจ้าของโครงการต่อ “ริทคิดว่าเพราะริทเป็นเจ้าของโครงการที่ลงไปทำเองทุกอย่าง ไม่ใช่รู้แค่ทฤษฎีแต่ปฏิบัติไม่ได้ ริทเริ่มตั้งแต่เป็นแอดมินตอบข้อความเอง ตรวจคนไข้ผ่าน telemedicine แพ็กยาเองตั้งแต่แรก เตรียมอุปกรณ์ ทำทุกขั้นตอนจนรู้ว่าระบบตรงไหนติดปัญหา ตรงไหนทำงานยาก พอมีหัวหน้าฝ่ายมาดูแล เราคุยกับเขาทุกวันว่าติดขัดตรงไหน ขั้นตอนไหนไม่จำเป็นก็ตัดออก งานจึงเดินได้เร็ว”
อย่างไรก็ตาม เจ้าของโครงการยืนยันหนักแน่นว่าขอยุติโครงการ ต่อให้มีกระแสเรียกร้องให้กลับมาทำอีก “ไม่ทำครับ (ฮา) เพราะไม่ใช่หน้าที่ ช่วงที่ทำโครงการริทมีแผนเปิดสาขาใหม่ คือสาขาอารีย์ แต่เราไม่มีเวลาตรวจงาน เลยต้องเลื่อนวันเปิด กลายเป็นจ่ายค่าเช่าฟรีๆ ไปหลายเดือน เราเสียเงินเองหมด ยาที่นำไปช่วยผู้ป่วยริทก็ซื้อเอง เพราะบางตัวเบิกไม่ได้ แต่บางชนิดก็รับบริจาคเอา หรือของใช้บางอย่างคนบริจาคไม่พอริทก็ต้องซื้อเอง และริทว่าภาครัฐมีบทเรียนบ้างแล้วว่าระบบช้าตรงไหน ติดขัดปัญหาอะไร พอผ่านเวลาไปเขาน่าจะถอดบทเรียนแล้วรู้ว่าควรแก้ปัญหาตรงไหน รัฐต้องเป็นคนแรกที่รับหน้าที่นี้ ใครเรียกร้องริทยังไง ริทก็จะไม่ทำ (ฮา) จนกว่าจะรู้สึกว่า เอ๊ะ ทำไมยังเหมือนเดิม รู้สึกไม่ไหวแล้ว อาจกลับมา แต่คิดว่าไม่ เพราะคาดหวังว่ารัฐควรทำหน้าที่ได้แล้ว”
มีอะไรอยากสะท้อนดังๆ บ้างไหม เราถาม “คงมีแค่ว่าใครมีหน้าที่อะไรก็รับผิดชอบหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดครับ”
หมอริทกับวงการบันเทิง
หลังจากโด่งดังจากการประกวดรายการ เดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาว ปีที่ 6 ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นรุ่นห้างแตก เพราะไปที่ไหนแฟนคลับก็ตามเชียร์อย่างคับคั่งจนห้างแทบแตก ในช่วงที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ริทขอเลือกโฟกัสกับการเรียนก่อน ลดงานในวงการบันเทิงลง จนเรียนจบแพทย์และศึกษาต่อเฉพาะทางด้านผิวหนัง
“แรกเลยริทอยากเป็นอายุรแพทย์ แต่พอได้เรียนจริงๆ ก็พบอุปสรรคบางอย่าง ตอนนั้นเป็นแพทย์ใช้ทุนแผนกอายุรกรรม แล้วลองทำงานวงการบันเทิงไปด้วย ปรากฏว่าไม่ตอบโจทย์การทำงาน ค่อนข้างแบ่งเวลายาก ต้องอยู่เวรดึก แล้วไม่ใช่เลิกงาน 4 โมงเย็นจะเด้งจากเก้าอี้กลับบ้านได้เลย ถ้าคนไข้มีปัญหาเราก็ต้องอยู่ต่อ ทำให้กระทบกับงานวงการบันเทิง จึงมองหาแผนกที่เวลาลงตัวกว่านี้ แพทย์ผิวหนังน่าจะดีเพราะไม่ต้องอยู่เวร แล้วเราอยู่วงการบันเทิง เรื่องรูปร่างหน้าตาผิวพรรณเป็นสิ่งที่คนวงการบันเทิงใส่ใจดูแล เลยตัดสินใจเปลี่ยนมาสายนี้ละกัน พอเปลี่ยนแล้วก็ชอบนะครับ เดิมทีเวลาริทซื้อครีมมาสักอย่างมักอ่านส่วนผสมก่อนค่อยซื้อ หรือเป็นสิวต้องทำยังไง เราชอบเรื่องความสวยความงามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว”
แม้จะลดงานในวงการบันเทิงลง แต่หน้าตาและชื่อเสียงเรียงนามของริทก็ไม่เคยห่างหายจากใจผู้ชมเลย เราจึงถามคุณหมอว่ามีวิธีจัดการเวลาอย่างไร “แค่ทำไปเรื่อยๆ (ฮา) ใช้คอนเซ็ปต์ทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไปเรื่อยๆ วันไหนมีเรียนก็เรียน วันไหนเล่นก็เล่น วันไหนทำงานก็ทำงานแค่นั้น แค่จัดคิวให้ดี ริทเลือกงานด้วย เลือกเฉพาะที่ทำแล้วไม่กระทบการเรียน โชคดีด้วยที่มีงานเข้ามาเรื่อยๆ ทุกวันนี้เรียนจบแล้วทำงานก็ยังต้องเลือกงานที่ไม่กระทบงานหลักคือการเป็นหมอ เช่น ไม่รับงานที่ทำให้เวลาเข้าตรวจไม่เพียงพอ หรืองานที่เช้าเกินไปหรือดึกเกินไป จนไม่มีเวลาพักผ่อน รวมทั้งงานซึ่งผิดจรรยาบรรณ เช่น ให้โฆษณาสินค้าเกินจริง ถ้าจะให้ริทเป็นพรีเซนเตอร์สินค้าสักชิ้น ต้องดูก่อนว่าสามารถรับได้ไหม สินค้าที่เจตนาจะใช้หมอมายืนยันเพื่อบอกว่าครีมนี้ดี ยาตัวนี้ดี ไม่รับเลย ถ้าริทจะโฆษณาสินค้าก็ต้องในฐานะดารานักร้อง ไม่ใช้ความเป็นแพทย์”
ต้องเลือกงานที่ไม่กระทบกับการออกตรวจคนไข้ จึงเป็นเหตุให้ไม่ค่อยได้เห็นหมอริทในซีรีส์หรือละครเลย “ใช่ครับ ก่อนนี้เคลียร์คิวเล่นละครให้ช่อง One เพราะเป็นช่วงคาบเกี่ยวจะเรียนต่อ เลยมีช่วงเวลาว่างรับละครได้ และคลินิกยังไม่เปิด ก็รับงานในวงการได้เต็มที่ แต่พอคลินิกเปิดเท่านั้นก็หาเวลายากเลย แต่ล่าสุดมีไปเล่นซีรีส์ กลรักรุ่นพี่ เป็นตัวละครสมทบในเรื่อง ‘น้องวอร์’ วนรัตน์ ชวน อยากให้พี่ริทมาแสดงให้หน่อย ริทเคยทำงานร่วมกับน้องวอร์มาก่อนในโปรเจ็กต์ Boyfriends รู้จักกันพอประมาณ เป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น เรียนจบปีเดียวกัน รับปริญญาปีเดียวกัน พอน้องส่งข้อความมาก็ลองเช็คคิวดู ปรากฏว่าได้ก็ตกลงใจเล่น
“บทบาทในเรื่องเป็นรุ่นพี่ น้องหยิ่นกับน้องวอร์เขาเล่นเป็นคู่รักกัน เราก็เล่นเป็นรุ่นพี่ของเขาทั้งคู่ และเป็นอดีตแฟนของน้องวอร์ ซึ่งจะเข้ามามีบทบาทต่อความสัมพันธ์” ถือเป็นซีรีส์วายเรื่องแรกของหมอริทใช่ไหม “ครั้งแรกครับ แต่ยังไม่ถือว่าเต็มตัว เป็นงานอย่างหนึ่งที่อยากลอง น่าสนุกดี อย่าง กลรักรุ่นพี่ สิ่งที่กังวลของริทคงมีแค่เราอายุมากกว่าคนอื่นเยอะ แต่ต้องเล่นในวัยที่ไล่เลี่ยกับเขา (ฮา)”
เมื่อถามหมอริทว่ายังมีงานในวงการบันเทิงสาขาไหนที่อยากลองทำอีกบ้าง เจ้าตัวกล่าวว่าได้ทำแทบทุกอย่าง จนไม่มีความต้องการด้านใดเป็นพิเศษ แต่งานในวงการที่ทำแล้วมีความสุขที่สุด ต้องยกให้การขึ้นร้องเพลงบนเวทีคอนเสิร์ต แต่เพราะโควิด-19 ระบาดจึงยากที่จะมีโอกาสได้ทำ เราถามต่อว่าหมอริทห่างหายจากการออกซิงเกิลพักใหญ่ แฟนๆ จะมีโอกาสได้ฟังผลงานเพลงใหม่ไหม “จริงๆ มีแผนออกซิงเกิลตั้งแต่ปี 64 แต่โดนเลื่อนหมดเพราะต้องทำงานอาสาช่วยโควิดก่อน เลยเลื่อนมาเป็นปี’ 65 นี้ แต่ถ้าให้ตอบว่าจะออกผลงานช่วงเดือนไหนนั้น เอาเป็นว่าเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละครับ (ฮา)”
แล้วแผนการชีวิตในด้านอื่นๆ ล่ะ มีอะไรบ้าง เราถามหมอ “ถ้าในด้านแพทย์ มีแผนจะอบรม อธิบายง่ายๆ คือเจาะลึกกับเครื่องมือที่ต้องใช้ ไปอบรมที่เมืองนอก เรียนกับผู้ผลิต ตอนนี้รอให้ประเทศเปิด อันที่จริงก็เรียนอยู่เรื่อยๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศ เพราะถ้าเราหยุดศึกษาเพิ่มเติม เราจะล้าหลัง จริงๆ ไม่ได้เป็นคนชอบเรียนนะ แต่จำเป็นต้องเรียน (ฮา)”
ถามถึง turning point หรือจุดเปลี่ยนชีวิตของหมอริทนั้นคือช่วงเวลาไหน เขาตอบว่ามีสองช่วงด้วยกัน หนึ่งคือตอนที่ตัดสินใจสมัครรายการ เดอะสตาร์ และสองคือตอนที่ตัดสินใจกลับไปเรียน “ตอนที่สมัครเดอะสตาร์ ริทมาแบบไม่คาดหวังเลย แต่ก็เข้ารอบไปเรื่อยๆ จน เฮ้ย ยืนสองคนสุดท้ายได้ยังไงวะเนี่ย เป็นช่วงที่ชีวิตพลิกแต่เราไม่ได้คิดอะไรมาก ในขณะที่จุดเปลี่ยนครั้งที่สองคือตอนกลับไปเรียน ริทคิดเยอะ คิดนานหลายเดือน เพราะเป็นช่วงที่งานเยอะ เทียบกับศิลปินในช่วงนั้นคือพีกมาก กระแสดี ไปไหนมีแฟนคลับตามเชียร์ การกลับไปเรียนคือทิ้งทุกอย่าง ถามว่าตัดสินใจถูกไหม คุ้มไหม น่าจะดีที่สุดแล้วกับสิ่งที่เลือก เพราะริทก็ไม่รู้ว่าถ้าเลือกอีกทางจะเป็นยังไง ไม่แน่ริทอาจเป็นแบบพี่เบิร์ด ธงไชยก็ได้ แต่ยังไงเสียเราก็แฮปปี้กับที่เป็นอยู่ตอนนี้ ไม่เสียใจ”
ปีที่ผ่านมาได้ทำหลายสิ่งที่ไม่เคยทำ เกิดความเปลี่ยนแปลงกับตัวเองบ้างไหม เราตั้งคำถาม “โตขึ้นเรื่อยๆ แต่จริงๆ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมาก เพราะริทเป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว ถ้าให้ทำอะไรก็ทำได้หมด ทำทุกอย่างเต็มที่ ไม่ครึ่งๆ กลางๆ ทิ้งขว้าง ยิ่งอยากทำด้วยแล้ว ริทยิ่งทุ่มเท ทำให้ดีไปเลย ถ้าอะไรที่ไม่อยากก็ไม่เริ่มตั้งแต่แรก ถ้าเริ่มแล้วรู้สึกไม่ใช่ทีหลังก็ไม่เป็นไร แต่ริทต้องทำให้ดีที่สุดก่อนค่อยเลิก เพราะฉะนั้นหลายอย่างที่เราทำในปีที่ผ่านมา ริทจึงเต็มที่และทำให้ดีที่สุด”
ช่วงที่ยุ่งๆ จัดสมดุลชีวิตยังไง “เราเป็นคนทำอะไรหลายอย่างมาตลอด ตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว เลยค่อนข้างชินกับชีวิตยุ่งๆ ทำอันนี้เสร็จ ไปทำอันนั้นต่อ อย่างช่วงปีที่ผ่านมาคนอื่นเขาหยุดงานล็อกดาวน์กัน แต่ริททำโครงการช่วยโควิด ก็ไม่ได้หยุดด้วย ทุ่มเทเวลาเพื่องานนี้ แต่ก็มีช่วงได้พักเล่มเกมบ้าง แต่พักแบบออกไปไหนไม่ได้ก็ไม่เอ็นจอยเท่าไหร่ เพราะเวลาว่างของริทชอบเจอเพื่อน กินข้าว มีเวลาให้เพื่อนบ้าง แต่ตอนนี้ยุ่ง ถ้าอยากมาเจอริทต้องมาฉีดหน้าเท่านั้น (ฮา)”
ไม่ว่าจะเป็นงานวงการบันเทิงที่ทำมาแทบทุกสาขา หรืองานในฐานะแพทย์และอาสา มีเรื่องไหนที่หมอภูมิใจที่สุด “ไม่มีเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ ริทภูมิใจเรื่อยๆ เราเป็นคนชิลล์ๆ ด้วย อ้าว! อันนี้ทำได้ด้วยเหรอ เออ ก็ดี (ฮา) ไม่ได้รู้สึกแบบภูมิใจในตัวเองจังเลย ฉันมันเก่ง เราเป็นคนประเมินตัวเองด้วยแหละ อันไหนทำได้ อันไหนไม่อยากทำ แน่นอนมันต้องมีผิดหวังจากสิ่งที่ทำไม่ได้บ้าง แต่เป็นคนรู้จักปล่อยวาง ก็ทำไม่ได้จะให้ทำยังไงล่ะ
“สมมติถ้าริทมีเรื่องเครียด จะหาอย่างอื่นทำก่อน แล้วค่อยกลับมาคิดใหม่ หรือนั่งเฉยๆ ปล่อยอารมณ์ แต่เป็นคนไม่หมกมุ่น เสียเวลา”
ความสุขของหมอริทในวันนี้ในฐานะแพทย์ คือการได้ดูแลคนไข้แล้วเห็นเขามีความสุข ส่วนในฐานะดารา คือการมีผลงานที่คนดูชอบ แค่นี้คือสิ่งที่สร้างความสุขให้หมอริทได้แล้ว และหมอริททิ้งท้ายอีกว่า “ปิ้งย่างก็เป็นความสุขด้วยครับ”
ขอบคุณสถานที่
THE RITZ CLINIC สาขาอารีย์
19 ซอยพหลโยธิน 7 ถนนพหลโยธิน แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400
โทรศัพท์ : 02-003-2656
LINE : @theritzclinic