โมบายล์ BNK48 สุดทางเดิม เริ่มทางใหม่

-

ลองจินตนาการว่าเรากำลังอยู่ในเกมโชว์หนึ่ง กติกาคือต้องเดาคำตอบของกลุ่มสำรวจว่าจะนึกถึงอะไร หากหัวข้อคือ “BNK48” เชื่อว่าคำตอบ 1 ใน 3 อันดับแรกต้องมีคำว่า “คุกกี้เสี่ยงทาย” เพลงแจ้งเกิดซึ่งทำให้คนไทยได้รู้จักวงไอดอลหญิงกลุ่มนี้ และเป็นเพลงเปิดตัวเด็กสาวผมยาวประบ่า หน้าม้า แก้มยุ้ย เต้นอยู่ตรงกลางกลุ่มที่ชื่อว่า โมบายล์ BNK48

 

ออลฯ เจอโมบายล์เมื่อปี 2019 โดยการนัดหมายถ่ายรูปเธอขึ้นปกร่วมกับสาวๆ ที่แสดงในภาพยนตร์ ไทบ้าน x BNK48 ซึ่งเป็นการแสดงภาพยนตร์และมีซิงเกิลเดี่ยวครั้งแรกเมื่อเธอ ถัดจากนั้นเกือบสองปี เราเจอโมบายล์อีกครั้งกับการกลับมารับตำแหน่งเซ็นเตอร์ในเพลง ดีอะ original song แรกของ BNK48 และในปี 2022 ซึ่งเป็นครั้งที่ 3 คราวนี้เธอมาพร้อมตำแหน่งผู้ชนะอันดับหนึ่งของงาน General Election หรือการเลือกตั้งของวง BNK48 และได้เป็นเซ็นเตอร์ในเพลงที่แต่งขึ้นใหม่เพื่องานนี้โดยเฉพาะ ปีแห่งการก้าวสู่จุดสูงสุดนี้ยังเป็นปีสุดท้ายของชีวิตการเป็นไอดอลและสมาชิกวง BNK48 ของเธออีกด้วย

หากย้อนดูเส้นทางชีวิตการเป็นไอดอลของโมบายล์ ถ้าเป็นภาพยนตร์ก็เรียกว่าครบรส จากเด็กสาวอายุเกือบน้อยที่สุดของวงที่เป็นเพียง under girl มองดูพี่ๆ ติดเซ็มบัตสึ ค่อยๆ ฉายแสงของตัวเอง จนประสบความสำเร็จยืนอยู่ในจุดที่เพื่อนไอดอลหรือรุ่นน้องต่างใฝ่ฝัน เราจึงอยากสนทนาถึงประสบการณ์ การเติบโต สิ่งที่หลอมรวมเป็นตัวเธอในฐานะไอดอล ก่อนจะเขียนแผนที่ชีวิตครั้งใหม่

 

พวกเราคือ Bangkok fourty eight

“หนูเป็นเด็กกล้าแสดงออก”  โมบายล์เริ่มบทสนทนาด้วยประโยคนี้ เมื่อเราถามถึงชีวิตก่อนจะเป็น ‘โมบายล์ BNK48’ “ความกล้าแสดงออกของหนูไม่ใช่ในทำนองกล้าพูดกล้าคุยกับผู้ใหญ่หรือคนแปลกหน้า เป็นแนวกล้าร้อง-เต้น ถ้าบอกให้ทำก็ไม่อิดออด ทำได้เลย ด้วยความที่ดูโทรทัศน์บ่อยเลยอยากเป็นดารา แล้วหนูชอบญี่ปุ่น เพื่อนในห้องเรียน 98% ชอบเกาหลี หนูอยู่ใน 2% ที่ชอบญี่ปุ่น นั่งรถไฟฟ้าไปงานคอสเพลย์เองตั้งแต่ ป.5 ตัดชุดหรือพรีออร์เดอร์ไม่เป็น ก็ซื้อมือสองเอาในกลุ่ม ใส่เสร็จขายต่อ เอาเงินไปซื้อชุดใหม่ แล้วก็เต้นคัฟเวอร์แดนซ์ ติดตามวงการ J-Pop จึงเห็นประกาศรับสมัคร BNK48 หนูสนใจอยู่แล้วเลยลองสมัคร หนูประกวดบ่อยเหมือนกัน แต่ไม่จริงจัง ไม่ได้เรียนเต้นเรียนร้องจากสถาบัน พ่อแม่พาไปเองจึงไม่หวังมาก แม่ยังไม่คาดคิดด้วยซ้ำว่าลูกจะผ่าน (หัวเราะ)

“พอเข้ามาเป็นเมมเบอร์ก็อายุเกือบจะเด็กสุด มีซัทจังที่อ่อนกว่าหนู ตอนแรกก็เกาะกลุ่มเพื่อนรุ่นเดียวกัน จนช่วงซิงเกิลแรก หนูไม่ติดเซ็มบัตสึ เป็นอันเดอร์เกิร์ล อยู่หอว่างๆ เลยได้สนิทกับพี่เป้ที่อยู่หอเหมือนกัน จากนั้นสนิทกับพี่น้ำหนึ่ง พี่เนย จนสนิทกับกลุ่มโตสุดของวงหรือเรียกว่าชราไลน์ ไม่คิดเลยว่าหนูจะเข้ากับพวกพี่ๆ ที่โต กว่า 5-6 ปีได้ จนเป็นเพื่อนสนิทกันขนาดนี้ หนูโตมากับวงจริงๆ เด็กอายุ 13-14 ปี ได้เรียนร้อง เรียนเต้นครั้งแรก ได้ใช้ชีวิตอยู่หอ รับผิดชอบตัวเอง เรียนรู้ทักษะชีวิตและการอยู่ร่วมกันกับเพื่อนๆ แม้แต่การพูด การสัมภาษณ์ การแสดงออก ก็เรียนรู้จากวง BNK48 ทั้งหมด”

โมบายล์มองภาพตัวเองเป็นเหมือน “ลาวา” ที่ไม่ใช่ในแง่ความร้อนแรง แต่เป็นการไหลไปเรื่อยๆ “หนูเข้าได้กับทุกสถานการณ์ เข้ากับคนง่าย เฟรนด์ลี่ ตลก เฮฮา มีกิจกรรมอะไรก็ชอบเข้าร่วม แต่ที่ไม่เปรียบเป็นน้ำเพราะไม่ได้ไหลแบบถึงไหนถึงกัน พอโตขึ้นก็มีความกลัว คิดเยอะ จึงเป็นลาวาที่มีความหนืดด้วย แต่ถ้าเป็นสิ่งใหม่ที่หนูอยากทำ แม้จะประหม่า แต่พอได้ลองทำก็สนุก ตัวอย่าง เซิร์ฟสเกต หรือสเกตบอร์ด กลัวนะ แต่พร้อมลุย หรือการทำผม หนูเป็นคนที่เปลี่ยนทรงผมบ่อยมาก วันนี้คิดว่าอยากเปลี่ยนทรงแล้ว ก็นัดช่างเลย ไม่กลัวว่าทำแล้วจะไม่รอด (หัวเราะ) เป็นเด็กที่ตื่นตัวต่อสภาพแวดล้อม แล้วชอบฝึกฝนทักษะใหม่ๆ”

 

 

มันจะหัวก้อยต้องเสี่ยงกัน

            Turning point หรือจุดเปลี่ยนของโมบายล์คงเป็นอื่นไม่ได้นอกจากการเป็นเซ็นเตอร์ ในเพลงที่แฟนๆ ให้สมญาว่าเป็นเพลงชาติของ BNK48 นั่นคือ คุกกี้เสี่ยงทาย จากความสำเร็จมหาศาลส่งผลให้ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว มีสายตาจับจ้องมากขึ้น จากเด็กสาวธรรมดาที่ไม่เคยสัมผัสชื่อเสียง ต้องรีบปรับตัวเพื่อรับมือชีวิตที่แปรผันชั่วข้ามคืน

“ตอนวงเราเปิดตัวก็มีแฟนคลับจำนวนหนึ่ง สำหรับหนูคือเยอะแล้ว ไม่คิดว่าเราต้องโด่งดังให้มากกว่านี้ จนอยู่ดีๆ เพลงก็ดังเปรี้ยงขึ้นมา ตอนนั้นมีงานทุกวันนาน 2-3 ปี สนุกนะได้ทำงานกับเพื่อนๆ หนูอายุแค่ 15 ปี เราเด็กมาก แค่ร้องเต้นให้ดีเพื่อติดเข้าไปเป็นเซ็มบัตสึและทำหน้าที่เซ็นเตอร์อย่างสมฐานะก็สุดความสามารถแล้ว ไม่ได้เตรียมใจเจอทั้งชื่อเสียงพร้อมดราม่าที่ถาโถมเข้ามา หนูเข้าใจการตั้งแง่ของแฟนๆ นะ เพราะวง AKB48 เขาใช้เซ็นเตอร์คนเดิมยืนพื้น แล้วค่อยเปลี่ยนคน แต่คุกกี้เสี่ยงทาย เพิ่งเป็นซิงเกิลลำดับ 2 ของ BNK48 แฟนๆ ไม่คาดคิดว่าจะเปลี่ยนเซ็นเตอร์เร็วขนาดนี้ และคงไม่คาดคิดว่าจะเป็นหนู แสดงว่าน้องคนนี้ต้องแน่มาก แต่กลายเป็นว่าหนูพูดไม่รู้เรื่อง เดินสายออกสื่อไม่เป็น พูดฝากผลงานยังไม่ได้เลย แล้วเพิ่งรู้ตัวว่าอ่อนด้านนี้ตอนเข้าวง ทุกวันนี้ดีขึ้นเพราะเรียนรู้จากพี่ๆ ที่สัมภาษณ์เก่ง ซ้อมในห้องน้ำเยอะๆ ทว่า ณ ตอนนั้นเราไม่เก่งถึงขั้นที่แฟนคลับคาดหวัง จึงเริ่มมีกระแสวิจารณ์ต่างๆ นานา และด้วยกระแสเหล่านั้นแหละที่เป็นสาเหตุ เป็นแรงผลักดัน ให้หนูฮึดสู้ พัฒนาตัวเองแบบจริงจัง ฉันต้องทำให้ได้ โชคดีที่ยังเด็กจึงมีพลังบวกเยอะ ไม่เช่นนั้นคงทนแรงต้านไม่ไหว อาจลาออกจากวงแล้วค่ะ (หัวเราะ)”

ถัดจากนั้นโมบายล์ก็ได้เป็นเซ็นเตอร์อีกครั้ง ในเพลงที่แต่งขึ้นใหม่เพื่อ BNK48 โดยเฉพาะ “เพลง ดีอะ เป็นซิงเกิลลำดับที่ 10 ห่างจากคุกกี้เสี่ยงทายมานานพอสมควร เราเจนสนามมากขึ้น ไม่กังวลเท่าเมื่อก่อน ถามว่ากดดันกับความคาดหวังว่าหนูจะสร้างปาฏิหาริย์พาเพลงให้ดังเหมือนคุกกี้เสี่ยงทายอีกครั้งหรือไม่ ไม่กดดัน หนูมองภาพรวมมากขึ้น ไม่คิดว่าฉันต้องแบกรับภาระนี้ไว้คนเดียว หนูทุ่มเทในหน้าที่ แต่เพลงนี้ไม่ได้มีแค่หนู ยังมีเพื่อนๆ ที่ช่วยดันเพลงนี้ไปด้วยกัน  และอีกอย่างที่พัฒนาขึ้นคือการพูด คำที่ใช้อาจไม่สวยหรู เพราะหนูคิดแล้วก็พูดเลย ออกมาจากใจ เป็นตัวเองที่สุด แต่เป็นตัวเองในแบบที่ไม่ทำร้ายใคร”

ไม่มีฝันใดๆ ที่ไม่พร้อมจะไป

            การเป็นเซ็นเตอร์ของโมบายล์ไม่หมดเพียงเท่านี้ ยังมีซิงเกิลที่ 3 ซึ่งความพิเศษคือเธอได้ตำแหน่งเซ็นเตอร์มาจากการชนะอันดับที่ 1 ในงาน General Election ครั้งที่ 3 หรืองานเลือกตั้งของวง BNK48 ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดที่สมาชิกของวงหลายคนใฝ่ฝัน

“ปีนี้มีตัวเต็งหลายคนไม่ลงสมัคร หนูจึงมีลุ้นกับเขาบ้าง แต่ผลสำรวจก่อนวันจริงพี่เนยได้ที่ 1 ตลอด แล้วหนูได้ประมาณที่ 3-4 ทำใจแล้วว่าอันดับวันจริงคงได้ประมาณนี้แหละ ปรากฏว่าพลิกล็อกทุกอย่าง นึกในใจเลยว่าจะตอบแทนแฟนคลับที่ทุ่มโหวตให้ยังไงดีเนี่ย เพลงที่ได้เป็นเซ็นเตอร์ก็แต่งขึ้นใหม่โดยรุ่นพี่ AKB48 โอคาดะ นานะ และ มุรายามะ ยุยริ ช่วยเขียนเนื้อเพลงและออกแบบท่าเต้น จึงต้องไปฝึกซ้อมที่ญี่ปุ่น แล้วถ่ายเอ็มวีที่นั่นเลย พอพูดถึงญี่ปุ่นหนูก็เกิดความกังวลใจเพราะมีประสบการณ์อันตรึงตรา หนูเคยเป็นหนึ่งในสมาชิกที่ได้ร่วมแสดงงานขาว-แดง เป็นงานใหญ่ของญี่ปุ่น แล้วต้องพูดภาษาญี่ปุ่น สคริปต์ยาวมาก ท่องแล้วแต่ก็ตื่นเต้นจนทำให้พูดผิด เลยฝังใจจนทุกวันนี้ ผ่านมา 2 ปี ยังจำสคริปต์นั้นได้อยู่เลย (หัวเราะ) และหนูเคยแลกเปลี่ยนไปเป็นเด็กฝึก AKB48 ฝึกที่ญี่ปุ่นหนึ่งเดือน ไปคนเดียวไม่มีพี่ทีมงานตามดูแล พูดญี่ปุ่นก็ไม่ได้ พูดอังกฤษก็ไม่ได้ เรามีประสบการณ์ฝังใจเยอะ พอมาคราวนี้ต้องไปอีกก็หวั่นใจว่า รอบนี้จะมีเรื่องอะไรรึเปล่านะ และแอบแวบคิดด้วยว่า ถ้าเป็นสมาชิกคนอื่นได้ตำแหน่งนี้แทน เขาอาจทำได้ดีกว่าเรา แต่ในเมื่อโชคชะตาเลือกเราแล้ว ก็ทำให้ดีที่สุดในแบบของเราละกัน”

ซิงเกิล Believers เป็นเพลงที่หลายคนกล่าวตรงกันว่า ‘เป็นเพลงของโมบายล์“หนูฟังแล้วก็คิดเหมือนกันว่า นี่มันเพลงของฉัน (หัวเราะ) ทางญี่ปุ่นส่งคำถามให้หนูตอบ เขาอยากรู้จักตัวตนของหนูเพื่อนำไปแต่งเพลง จึงมีตัวตนของหนูอยู่ในเพลงนี้เยอะ แต่ไม่ใช่ว่าคนอื่นฟังแล้วจะไม่อิน เพราะเนื้อเพลงสื่อถึงทุกคนที่กำลังสู้เพื่อความฝัน

“พอเป็นเพลงที่แต่งขึ้นใหม่ แฟนๆ คาดหวังให้ฟังง่าย ติดหู เข้ากับจริตคนไทย แต่ Believers กลับมีกลิ่นอายญี่ปุ่นจ๋า เหมือนเพลงญี่ปุ่นที่เราเคยแปลกันมาตลอด ทว่าหากมองข้ามความคาดหวังที่จะให้เพลงแมสแล้ว หนูประทับใจเนื้อหาของเพลงนี้มาก ได้พี่รัฐ แทททูคัลเลอร์ เรียบเรียงภาษาไทย ไม่ว่าจะดังหรือไม่ เพลงนี้ก็คือเพลงที่ดี เป็นเพลงสำคัญอีกเพลงของวงเรา แฟนคลับดูเอ็มวีแล้วร้องไห้ เป็นความทรงจำที่ดีระหว่างเรากับแฟนคลับ”

โมบายล์สรุปประสบการณ์การเป็นเซ็นเตอร์ที่ผ่านมาว่า “ครั้งแรกเป็นการเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง ครั้งที่สองรู้จักมองภาพรวม ครั้งที่สามคือปลายทางที่สมบูรณ์สวยงาม”

จากใจผู้สาวคนนี้

            โมบายล์ BNK48 กับ โมบายล์เด็กธรรมดา มีความเหมือนหรือต่างกันยังไง เราถามไอดอลสาว “เหมือนกันค่ะ (หัวเราะ) อาจต่างกันตรงที่คนทั่วไปมักคิดว่าหนูทำงานแต่เด็ก ทำให้ดูโตเกินวัย ดูเข้าใจโลก จริงๆ แล้วหนูหัวอ่อนมากค่ะ เชื่อคนง่ายสุดๆ (หัวเราะ) ใครบอกอะไรเชื่อหมด ไม่เฉลียวใจเลยว่าเขาจะหลอกลวงเรารึเปล่า อันที่จริงภาพที่คนเห็นหนูในจอ ในสื่อ ก็คือตัวตนที่แท้จริงเกือบทั้งหมด อย่างที่เล่าไป ชีวิตหนู 50 % อยู่กับวง BNK48 เป็นไปได้ยากที่จะเก็บตัวตนแท้จริง แล้วออกสื่อด้วยภาพลักษณ์อีกแบบ”  

สิ่งที่ภาคภูมิใจที่สุดในประสบการณ์การเป็นไอดอลของโมบายล์คืออะไร “ภูมิใจที่สุดคงเป็นตัวเองที่สามารถฝ่าฟันสิ่งต่างๆ มาจนถึงวันนี้ได้ แน่นอนว่าหนูไม่ได้สู้ตามลำพัง มีเพื่อนๆ คอยซัพพอร์ต แต่มีหลายครั้งที่ต้องสู้อย่างโดดเดี่ยวเช่นกัน ดังนั้นจึงอยากขอบคุณตัวเอง และภูมิใจในตัวเองที่สู้สุดใจ

“หนูทุ่มเทกับ BNK48 ตั้งแต่วงยังไม่ประสบความสำเร็จเท่านี้ หนูลาออกจากโรงเรียนตั้งแต่ยังไม่ได้เดบิวต์ เพราะว่าหนูแบ่งเวลายากเลยตัดสินใจเรียนระบบข้างนอกละกัน แล้วทุ่มเทชีวิตจิตใจให้วง หนูและเพื่อนๆ ตั้งใจทำงานกันมาก อาจมีบ่นบ้าง ท้อบ้าง เหนื่อยบ้าง แต่พอเวลาทำงานเราก็เต็มที่โว้ย ประทับใจสปิริตของเพื่อนๆ ทุกคนในวง แล้วพอวงประสบความสำเร็จก็ดีใจ เหมือนเป็นรางวัลของความตั้งใจ”

เราขอให้โมบายล์ช่วยแชร์สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเป็น BNK48 สัก 3 ข้อ

“ข้อหนึ่ง การก้าวข้ามขีดจำกัด มีช่วงหนึ่งหนูต้องถ่ายซีรีส์ แต่หนูไม่ถนัดการแสดง พอต้องออกกองทีไรก็เครียด จนเกือบถอดใจถอนตัวแล้ว รู้สึกว่านี่ไม่ใช่ทางของเราเลย กดดันกว่าการเป็นเซ็นเตอร์อีกค่ะ แต่รับงานไปแล้วก็ต้องทำ ลองพยายามดูสักตั้ง ตรงไหนไม่ได้ก็หมั่นฝึกฝน จนถ่ายทำเสร็จสิ้น เป็นอีกครั้งที่ความพยายามสามารถเอาชนะอุปสรรค และขอบคุณตัวเองที่อดทนจนเอาชนะขีดจำกัดมาได้อีกครั้ง

“ข้อสอง คือการรับมือคำวิจารณ์ ตั้งแต่อายุ 15-20 ปี หนูอยู่กับคำวิจารณ์มาตลอด ไม่ใช่แค่หนูแต่สมาชิกคนอื่นในวงก็โดนเหมือนกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นอันเดอร์เกิร์ล หรือตัวท็อปของวง ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ได้ หนูเข้าใจว่าเมื่อมีคนรักย่อมมีคนชังเป็นธรรมดา สิ่งที่เราทำได้คือทำใจให้เข้มแข็ง

“ข้อสาม การเรียนรู้เรื่องคน หนูทำงานตรงนี้ได้เจอคนเยอะ ต้องหัดมองให้ออกว่าใครหวังดี ใครไม่หวังดี บางครั้งเขาก็หวังดีและให้คำแนะนำเราแหละ แต่ใช้คำซึ่งรุนแรงกระทบความรู้สึก หนูจะต้องมองเจตนาเขาให้ออก ดูคนให้เป็นค่ะ”

            ในฐานะรุ่นบุกเบิกของ BNK48 และกำลังจบการศึกษาจากโรงเรียนนี้ในไม่ช้า มีอะไรที่อยากฝากถึงรุ่นน้องบ้าง “ใครที่กังวลว่า BNK48 จะเป็นอย่างไรต่อหากไม่มีรุ่น 1 แล้ว หนูเชื่อมั่นว่าวงยังไปต่อได้ และเติบโตยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน น้องๆ รุ่นใหม่มีศักยภาพมากพอที่จะทำให้วงแข็งแกร่งขึ้น หนูเห็นน้องๆ ซ้อมกันแล้วก็ชื่นชม เขาซ้อมหนักมากทั้งร้องทั้งเต้น และดูมีความสุขกับสิ่งที่ทำ หนูอยากให้เขาเก็บความรู้สึกนี้ไว้ เก็บไฟและพลังชีวิตไว้ เพราะในอนาคตอาจพบเจอสิ่งที่มากระทบจิตใจ และทำให้ตัวเราอ่อนแอลง ทว่าหากเรายึดมั่นความตั้งใจแต่แรกไว้ได้ เราจะผ่านพ้นและเติบโตขึ้น รวมทั้งพาให้วงโตขึ้นด้วย

“สำหรับน้องๆ ที่ลังเลไม่กล้าสมัคร หรือสมัครแล้วยังไม่ผ่านสักที อยากให้สู้เต็มที่ ต่อให้ไม่ได้ก็ยังดีกว่าไม่สู้ เชื่อมั่นในสิ่งที่เรารัก เชื่อมั่นในตัวเอง” นอกจากเตรียมตัวแล้ว ต้องเตรียมใจเจอขวากหนามด้วยไหม เราถาม “เดี๋ยวก็รู้เองค่ะ (หัวเราะ) ไม่พูด เดี๋ยวน้องกลัว (หัวเราะ) อันที่จริงอุปสรรคต่างๆ ไม่ได้เกิดจากภายนอกเลย เกิดจากการกดดันตัวเอง จากการคิดลบของเราเอง เป็นบทเรียนให้เรียนรู้แล้วเติบโต ต่อให้ไม่เป็น BNK48 ก็ต้องเจอ เพียงแต่ถ้าเป็น BNK48 จะได้บทเรียนที่เข้มข้นกว่าหน่อย (หัวเราะ) ไม่น่ากลัวหรอก ขึ้นกับใจของเราล้วนๆ”

เปล่งประกายบนเวทีของเราไม่ว่าอยู่ที่ไหน

                ปี 2565 ที่กำลังจะผ่านไปนี้ เป็นปีแห่งการทบทวนตัวเองของโมบายล์ เป็นปีที่ชีวิตช้าลง ไม่โหมงานหนัก เธอจึงมีเวลาคิดคำนึงช่วงเวลาที่ผ่านมามากขึ้น สำหรับปี 2566 ที่กำลังจะถึงนี้ เป็นปีแห่งการเติบใหญ่ครั้งสำคัญของโมบายล์ เธอวางแผนไว้อย่างไรบ้าง

“หนูอยากพัฒนาทักษะด้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการร้องเพลง หนูชอบร้องเพลงมากๆ ไม่ว่าอยู่ในอารมณ์เบื่อ เหงา เศร้า มีความสุข ก็จะร้องเพลง เป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของหนู ทุกครั้งที่คิดถึงอาชีพในอนาคต เช่น จบการศึกษาจาก BNK48 แล้วทำอะไรต่อ หนูมีคำตอบเดียวทุกครั้งคือเป็นนักร้อง ที่ผ่านมาเรียนร้องเพลงจะเรียนกับเพื่อนเป็นกลุ่ม เพราะวงเรามีสมาชิกเยอะ หนูอยากเรียนเดี่ยว เพื่อแก้ไขจุดอ่อนของเราโดยเฉพาะ ส่วนการเต้น หรือทักษะอื่นๆ ถ้ามีโอกาสก็อยากเสริมด้วย อยากพัฒนาตัวเองให้พร้อมที่สุด เพราะเป้าหมายคืออยากมีซิงเกิลของตัวเอง

“นอกจากนั้นยังมีคุยเล่นๆ กันว่า จบการศึกษาไปก็อยากเช่าบ้านอยู่ด้วยกัน มีพี่เป้ พี่น้ำหนึ่ง ซึ่งบ้านอยู่ต่างจังหวัด ต้องหาที่พักในกรุงเทพฯ ถ้าอย่างนั้นเราเช่าบ้านอยู่ด้วยกันดีกว่าไหม จากนั้นอาจทำงานด้วยกัน เช่น ทำช่องยูทูบ ไปเที่ยวด้วยกัน หรือทำกิจกรรมที่ไม่เคยทำ เพราะตอนพวกเราอยู่พร้อมหน้าจะตลกเฮฮา  อยากให้แฟนๆ เห็นมุมนี้”

ถ้าสมมติว่ามีไทม์มาชีนสามารถย้อนไปคุยกับตัวเองในอดีต อยากบอกอะไรโมบายล์ในตอนนั้นบ้าง “อยากให้ความเชื่อมั่นตัวเอง สิ่งที่ทำอยู่ถึงจะเหนื่อย แต่เป็นผลดีในอนาคตแน่นอน อีก 5-6 ปีคนจะยอมรับ ส่วนถ้าข้ามไปอนาคตได้ อยากให้กำลังใจตัวเอง สู้ให้ถึงที่สุดกับบทใหม่ของชีวิต”

คำถามทิ้งท้ายก่อนจบการสนทนา 3 คำที่สรุปชีวิตการเป็นไอดอลวง BNK48 ­ของโมบายล์คือ “สุด ยอด มาก”


5

ภิญญ์สินี

Writer

กองบรรณาธิการ ศิษย์เก่าเอกปรัชญาและศาสนา ชอบติดตามกระแสสังคม และเทรนด์แฟชั่น สนใจศิลปวัฒนธรรม และสีมงคล ลายนิ้วหัวแม่มือคือลายมัดหวาย

อนุชา ศรีกรการ

Photographer

ช่างภาพที่เกิดวันเดียวกับวันถ่ายภาพโลก เลยทำอย่างอื่นไม่เป็นแล้ว

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!