เหตุผลที่ทำให้เราจับตามอง ‘มิว’ ศุภศิษฏ์ จนชักชวนมาสนทนาด้วยนั้น ไม่ใช่เพราะเขาประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียง แต่เพราะมิวแสดงให้เห็นถึงความพยายามก้าวไปข้างหน้า พัฒนาตัวเอง และเติบโตขึ้นตลอดเวลา
ในด้านการศึกษา มิวเรียนจบคณะวิศวกรรมศาสตร์ตั้งแต่ระดับปริญญาตรี โท และเอก สำหรับปริญญาเอกนั้นเขาจบจากภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในด้านหน้าที่การงาน มิวก่อตั้งบริษัทของตัวเองซึ่งมีหน้าที่ดูแลงานของเขาในฐานะศิลปิน แทนการเซ็นสัญญาสังกัดค่ายใดค่ายหนึ่ง นอกเหนือจากงานแสดง เขายังท้าทายตัวเองด้วยการออกซิงเกิลเพลง และมีอัลบัมเต็มในชื่อ 365 ซึ่งแฟนคลับสนับสนุนอย่างดี จนหลายเพลงของเขาติดอันดับบิลล์บอร์ดชาร์ต (Billboard Chart) นับเป็นปรากฏการณ์ที่ผลงานของศิลปินไทยสามารถติดชาร์ตสากลได้ ในขณะที่เราคิดว่าเขาคงมุ่งสู่การทำเพลงเป็นหลักแล้ว มิวก็เซอร์ไพรส์เราด้วยการพลิกบทบาทเป็นผู้จัดซีรีส์ ในวัยเพียง 30 ต้นๆ การก้าวไปข้างหน้าอยู่เสมอของเขา ทำให้เราอยากรู้และเอาใจช่วยว่า ‘มิว’ ศุภศิษฏ์ จะเติบโตไปถึงจุดไหนกัน
เราเริ่มต้นสนทนาด้วยการถามไถ่ถึงบทบาทผู้จัดซีรีส์ป้ายแดง “ซีรีส์เรื่องนี้มีชื่อว่า The Ocean Eyes เป็นการร่วมทุนระหว่างไทย จีน กับสหรัฐอเมริกา ผมอยากนำเสนอประเด็นสิ่งแวดล้อม เลยนึกถึงทะเลซึ่งกินพื้นที่ 3 ใน 4 ของโลก และอยากให้ความสำคัญแก่ปัญหาทางท้องทะเลอีกครั้ง หลังจากที่โลกมุ่งสนใจเรื่องโควิด-19 กันพักใหญ่ ส่วนตัวผมชอบทะเลอยู่แล้ว จำได้ว่าตอนเด็กๆ เคยไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่โอซากา ประเทศญี่ปุ่น แล้วประทับใจมากๆ ตอนนั้นผมไปแข่งขันรักบี้ที่นั่น แล้วผมเป็นคนติดบ้านมากๆ ขี้กลัวเวลาต้องไปอยู่ต่างที่ เลยร้องไห้ทุกวันอยากกลับไปหาพ่อแม่ จนครอบครัวอุปถัมภ์ (host family) พาผมไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ช่วงเวลานั้นผมรู้สึกว่าเกิด magic moment บางอย่าง ทำให้เราผ่อนคลาย รู้สึกแฮปปี้ คงจะดีถ้าซีรีส์เรื่องแรกที่ทำนำเสนอเกี่ยวกับทะเล
“โพรเจกต์นี้เป็นสิ่งที่ใฝ่ฝันจะทำและเตรียมตัวตั้งแต่ 3 ปีก่อน ที่เริ่มเร็วเพราะเผื่อเวลาสำหรับทำบท พอคอนเซปต์ลงตัวจึงนำไปเสนอทางต่างประเทศ ไม่คิดว่าจะตอบรับและได้ทำทันที จริงๆ จะถ่ายทำตั้งแต่ปีที่แล้วแต่ติดสถานการณ์โควิด-19 เลยเลื่อนมาปีนี้ ในฐานะผู้จัดผมเข้าร่วมประชุมทุกอย่าง ตั้งแต่คิดเนื้อหา เลือกคนที่จะมาทำงานร่วมกับเรา เนื้อเรื่องจะมีกี่ตอน ตัวละครเป็นยังไง ใครจะรับบท และพิเศษมากๆ คือได้ Rick McCallum ผู้อำนวยการสร้าง Star Wars มาเป็น executive producer ให้ รวมทั้งยังมีทีมงานต่างชาติด้วย เป็นเรื่องแรกของเราจึงอยากร่วมงานกับผู้มีประสบการณ์ที่คอยชี้แนะได้”
บทบาทในเรื่องเกี่ยวกับสัตวแพทย์ทางทะเล 4 คน เป็นซีรีส์เรื่องแรกของเอเชียที่นำเสนอเกี่ยวกับอาชีพนี้ และเขารับบทเป็นหนึ่งในนั้น ตัวละครทั้งสี่เข้าทำงานในสถาบันที่ชื่อ The Ocean Eyes ต่างคนต่างมีปัญหาชีวิตของตัวเอง ซีรีส์เล่าถึงปัญหาและการคลี่คลายของแต่ละตัวละคร ควบคู่กับเรื่องสัตว์น้ำและสิ่งแวดล้อมทางทะเล เราถามผู้จัดป้ายแดงซึ่งโด่งดังจากซีรีส์วายมาก่อนว่าเรื่องนี้ยังคงแนววายอยู่หรือไม่ ผู้จัดหนุ่มปฏิเสธและเล่าต่อว่า ซีรีส์เรื่องนี้ไม่เน้นเรื่องรักโรแมนติก แต่เน้นที่การค้นหาตัวตน แนว coming of age ของวัยทำงาน
เราถามมิวถึงอุปสรรคหรือส่วนที่ยากที่สุดของการทำงานเป็นผู้จัดซีรีส์ “อธิบายไม่หมดเพราะยากทุกส่วน เริ่มตั้งแต่เนื้อเรื่องที่พูดถึงสัตวแพทย์ทางทะเล ก็มีสัตว์มาเกี่ยวข้อง มีเด็ก มี CG สิ่งที่ฝ่ายโพรดักชันอยากหลีกเลี่ยงเรารวมไว้ในเรื่องนี้หมดเลย (หัวเราะ) ก่อนหน้านี้ผมรับผิดชอบเฉพาะการแสดง เราก็โฟกัสแค่บทบาทที่รับ แต่พอเป็นผู้จัดปุ๊บ ไม่ใช่ถ่ายเสร็จแล้วไปพักทบทวนบทนะ แต่ทุกช่วงเวลาที่อยู่ในกองถ่ายเราทำงานตลอด ต้องคอยเช็กรายละเอียดทั้งหมด ค่อนข้างงานหนักครับ”
แม้จะยากลำบากอย่างไรแต่ความตั้งใจจริงที่อยากส่งสารนี้แด่คนทั่วโลก เป็นแรงผลักดันให้แก่ผู้จัดหนุ่ม “ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่าจะฉายลงแพลตฟอร์มไหน แต่ผมอยากให้คนทั่วโลกได้ดูเรื่องนี้ ได้สัมผัสสิ่งที่เราอยากเล่า ผมรู้สึกว่าการระบาดของโควิด-19 ทำให้เราขาดการติดต่อสัมพันธ์กัน ไม่ว่าจะเป็นเรากับตัวเอง เพื่อนฝูง หรือครอบครัว จึงอยากนำความรู้สึก connection หรือเชื่อมถึงกันนั้นกลับมา ไม่ใช่แค่ระหว่างคนเท่านั้น แต่เป็นสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเลย จึงอยากฝากซีรีส์เรื่องนี้ช่วยติดตามชมด้วยครับ”
เราคุยกับมิวบทบาทนักร้อง เพราะเป็นการฉีกภาพจำแรกที่มีต่อเขาในฐานะนักแสดง “เริ่มมาจากช่วงหยุดโควิด-19 นี่แหละครับ ตอนนั้นเราทบทวนตัวเองว่ามีอะไรที่อยากทำแล้วยังไม่ได้ทำบ้าง คำตอบที่ได้คือการเป็นนักร้อง ผมชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็ก ชอบฮัมเพลงไปเรื่อย ซิงเกิลแรกของผมได้พี่ๆ สตูดิโอช่วยคิดว่าจะทำออกมาแบบไหนดี ด้วยความที่เป็นครั้งแรกก็ถกกันเยอะพอสมควร เป็นแนวเพลงแบบไหน แต่งให้ใคร ใช้ทีมใดกำกับ MV แล้วจะเล่าเรื่องแบบไหน จนสรุปเป็นเพลง Season of You ที่เราอยากขอบคุณแฟนคลับที่ติดตามและอยู่ด้วยกันมาตลอด อยากให้อยู่ด้วยกันต่อไปอีก”
จากซิงเกิลสู่อัลบัมเต็ม เราคิดไม่ถึงว่ามิวจะจริงจังกับงานเพลงขนาดนี้ “พอเริ่มก็ต้องไปให้สุดครับ เต็มที่กับงาน และอยากขยับขยายให้เพลงของเรามีความสากลยิ่งขึ้น เพื่อให้แฟนๆ ต่างชาติได้ฟังกันมากขึ้น”
และเป็นไปไม่ได้เลยที่การก้าวเดินไปข้างหน้าของมิวจะไม่เจออุปสรรคขวากหนาม เมื่องานเพลงเจอกระแสดราม่า เขามีวิธีรับมือปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร “ผมมองว่ากระแสดราม่าเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นศิลปินหรือไม่ก็ตาม ทุกอาชีพย่อมต้องเคยเจอปัญหา เจอดราม่า เจอเรื่อง toxic ยิ่งโลกปัจจุบันที่มีโซเชียลมีเดียด้วย ยิ่งง่ายที่คนจะพิมพ์อะไรก็ได้ วิธีรับมือของผม อันดับแรกคือตั้งสติ ดูให้ออกว่าเจตนาเขาคืออะไร จากนั้นสำรวจตัวเองว่าเรากำลังรู้สึกอย่างไร โกรธ เศร้า หรือเสียใจ แน่นอนว่าไม่รู้สึกอะไรเลยคงเป็นไปไม่ได้ แต่จะจัดการความรู้สึกนั้นอย่างไร ถ้าใช้ความคิดจัดการตัวเองได้ก็จบ แต่ถ้าไม่ ก็อาจโทร.ไประบายกับเพื่อน หาที่ปรึกษา แล้วถ้ายังสลัดทิ้งจากหัวไม่ได้สักทีก็ใช้วิธีเปลี่ยนสารเคมีในสมองด้วยการออกกำลัง เช่น ออกไปวิ่ง พอสารเคมีในร่างกายเราเปลี่ยน ความรู้สึกเสียใจ โกรธ เศร้า เหล่านั้นก็บรรเทาหายไป ใช้กลไกธรรมชาติของร่างกายเข้าช่วย สุดท้ายคือพยายามโยนทิ้งให้มากที่สุด เอาเวลาที่เครียดหรือเสียความรู้สึกไปสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ แล้วเดินหน้าต่อดีกว่า”
ชายหนุ่มผู้ใฝ่หาความก้าวหน้าคนนี้ได้วางแผนระยะยาวไว้แล้ว “ส่วนตัวผมเป็นคนวางแผนชีวิตไว้ยาวๆ จะพิมพ์คุยกับผู้จัดการตลอดว่าปีนี้จะทำอะไร มุ่งทางไหน วางไว้แล้วอย่างน้อย 3 ปีล่วงหน้า ผมมองไกลถึงเป้าหมายสูงสุดของการทำงานวงการบันเทิง พูดไปคนอาจหมั่นไส้ แต่ผมฝันอยากเป็นคนไทยที่ได้รับรางวัลออสการ์ เล่นหนังฮอลลีวูด เร็วๆ นี้ก็อยากโกอินเตอร์ โฟกัสการทำงานในตลาดต่างประเทศ” แล้วถ้าไม่เป็นตามแผนที่วางไว้ มิวรับมือความไม่คาดฝันอย่างไร เราถาม “เราเผื่อใจว่าต้องมีผิดหวังบ้าง ยืดหยุ่นบ้าง ผมว่าเอาเวลาโวยวายหงุดหงิดไปแก้ปัญหาดีกว่า ทว่าจริงๆ แล้วส่วนตัวเป็นคนรักความสมบูรณ์แบบ (perfectionist) แต่พอเราโตขึ้นก็จัดการความรู้สึกได้ดีขึ้น ลดความยึดติดการเพอร์เฟกต์แล้วปรับปรุงพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น เก่งขึ้น ผมเป็นคนชอบเรียนเลยไม่เครียด สนุก และรู้สึกว่าเข้ากับตัวเอง”
มิวในวัย 30 ซึ่งกำลังเดินหน้าเต็มกำลัง มองตัวเองที่ผ่านมาเป็นแบบไหน “ช่วงอายุ 20 เป็นช่วงชีวิตที่ค่อนข้างคอนทราสต์หรือขัดแย้งกันมาก ครึ่งแรกช่วง 25-27 ปียังไม่ค่อยมีงาน ค่อนข้างอยู่กับตัวเองซะเยอะ ส่วนสามปีหลัง 28-30 ปีงานหนักมากๆ แต่เป็นความหนักที่พึงพอใจ เรารู้ตัวว่าชอบทำงาน สิ่งที่เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดคือการทำงาน การดูแลตัวเอง และใช้ชีวิต พอเราทำงานเยอะก็ได้เห็นโลกกว้างขึ้น พบเจอผู้คนมากมาย เรียนรู้สิ่งใหม่เพิ่มขึ้น การใช้ชีวิตต่อจากนี้อยากจะเน้น work life balace หรือการจัดสมดุลชีวิต อาจเลือกรับงานมากขึ้นโดยมุ่งเน้นงานต่างประเทศอย่างที่กล่าว และอาจต้องอยู่ต่างประเทศนานขึ้น”
ความยากของการทำงานวงการบันเทิงในมุมมองของมิวคืออะไร “การอยู่ในวงการบันเทิง ทุกวันนี้การเข้ามาในวงการอาจไม่ยากแล้วสำหรับใครหลายคน แต่การจะอยู่ต่อไปเรื่อยๆ มีผลงานอย่างต่อเนื่อง รักษาฐานแฟนคลับไว้นั้นยากจริงๆ ยิ่งยุคสมัยของโซเชียลมีเดียทำให้ทุกอย่างรวดเร็ว คอนเทนต์ผุดขึ้นทุกนาที จึงง่ายมากที่จะหลุดโฟกัส ขนาดตัวเรายังเป็นเลย ตอนนี้ปลื้มคนนี้ พอมีผลงานอะไรฮิตๆ มาใหม่ก็เปลี่ยนไปปลื้มอีกคน สิ่งที่ยากในความคิดผมจึงเป็นการอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ให้ได้” เราถามนักแสดงหนุ่มว่า ทำอย่างไรจึงจะอยู่ในวงการได้อย่างยั่งยืน “สร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง เป็นการรักษาและตอบแทนแฟนๆ ที่ติดตามได้ดีที่สุดแล้วครับ”
กว่าจะโด่งดัง คิวทอง และมีแฟนคลับมากมายขนาดนี้ นักแสดงหนุ่มผ่านช่วงเวลาที่ไม่มีงาน ผ่านการเล่นบทเล็กบทน้อยไต่เต้าจนเป็นนักแสดงนำและมีชื่อเสียง คนที่เป็นแรงผลักดันให้เขาไม่ยอมแพ้ไปเสียก่อนระหว่างทางนั้น ก็คือตัวของเขาเอง “ถ้าจะกล่าวขอบคุณสิ่งใดที่คอยเป็นกำลังใจ เป็นเหตุผล ให้ผมสู้มาตลอดก็คือตัวเอง ถ้าผมไม่ยึดมั่นในความปรารถนา ไม่ยึดมั่นในสิ่งที่หัวใจเรียกร้อง ผมไปทำอย่างอื่นไม่อยู่ตรงนี้แล้ว ขอบคุณตัวเองที่ยังคงยืนหยัดสู้ ผมอยากให้คนอ่านขอบคุณตัวเองมากๆ ด้วยเหมือนกัน เพราะชีวิตทุกวันนี้ไม่ง่ายเลย ใครจะคิดว่าต้องมาเจอโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตกันหลายปีขนาดนี้ ทุกคนอดทนสู้กันมาคือเก่งมากจริงๆ นอกจากตัวเองแล้ว ก็มีแฟนๆ เพื่อน ครอบครัว ทีมงานสตูดิโอของผม ที่คอยเคียงค้างดูแลกันจนทำให้ผมมาถึงตรงนี้ได้ครับ”
เราถามนักแสดงหนุ่มถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำงานในวงการบันเทิง ซึ่งมิวถอดบทเรียนออกมา 3 ข้อ ดังนี้
อย่างแรก สติสำคัญมากจริงๆ ต้องจับให้ได้ว่าเรากำลังรู้สึกอะไรอยู่ แล้วความรู้สึกนั้นส่งผลดีต่อตัวเรารึเปล่า ถ้าไม่ ต้องหาทางกำจัดออกไปโดยเร็วที่สุด เพราะหากปล่อยให้มันครอบงำ หรือจมกับความรู้สึกแย่ๆ นานๆ โอกาสที่จะเจอสิ่งดีๆ โอกาสที่จะมีความสุข ก็น้อยลง พูดง่ายแต่ทำไม่ง่ายเลย แต่ก็อยากให้ทุกคนลองฝึกดู บางครั้งเราไม่รู้ตัวนั่งไถทวิตเตอร์ไล่อ่านคอมเมนต์ เวลาผ่านไปสองชั่วโมงแล้ว เสียดายเวลา ไปนอนดีกว่า
ข้อสองคือต้องมีสมดุลชีวิต work life balance ต่อให้คุณทำงานเก่งแค่ไหน แต่ถ้าจัดสมดุลไม่ได้ วันหนึ่งก็จะเข้าสู่ภาวะ burn out บางทีเราคิดว่าไหวแต่ร่างกายไม่ไหว เห็นเพื่อนนักแสดงหลายคนคุยกันว่าไม่อยากทำแล้ว เหนื่อยจัง ผมจึงคิดว่าการมีสมดุลชีวิตเป็นเรื่องสำคัญ เวลาพักก็ต้องพัก หาวันว่างเติมแรงบันดาลใจให้ชีวิตบ้าง
ข้อสามคือความพร้อมไม่มีอยู่จริง ถ้าเรามัวแต่รอวันที่พร้อมก็ไม่ได้เริ่มสักที และอาจพลาดโอกาสดีๆ ไปเยอะ ต้องกล้าเสี่ยง กล้าเปลี่ยนแปลงบ้าง ถ้าเป็นเรื่องการลงทุนคงต้องศึกษาให้ดี แต่ถ้าเป็นเรื่องของโอกาส ผมอยากให้ลองชนดูสักตั้งก่อน หลายครั้งผมรู้สึกว่าสิ่งที่ลองทำไปนั้นยังไม่ดี แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ทำ อย่างน้อยครั้งหน้าผมก็รู้แล้วว่าควรแก้ไขอย่างไรให้ดีกว่าเดิม”
ส่วนช่วงเวลาเหนื่อยหรือท้อ มิวเลือกเยียวยาตัวเองด้วยการนอนหลับ “การหลับคือวิธีที่เยียวยาได้ดีที่สุดครับ ผมให้ความสำคัญกับการนอนหลับสนิทมาก หนึ่งชั่วโมงก่อนเข้านอนผมไม่เล่นโซเชียลมีเดียเลย และอ่านหนังสือแทน ทำจิตใจให้โล่ง โฟกัสที่หนังสือ ไม่คิดเรื่องงาน นอกจากนั้นการยืดคลายกล้ามเนื้อ (stretching) ยังช่วยให้ระบบเลือดไหลเวียนดี ส่งผลต่อการนอนหลับ ก่อนเข้านอนพยายามคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน บิดขี้เกียจเยอะๆ ให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายที่สุด ผมเคยเรียนการแสดง เขาสอนให้ถอนหายใจดังๆ ซึ่งช่วยระบายความเครียดที่สั่งสมไว้ทั้งวันได้”
ความสุขของนักแสดงหนุ่มในวันนี้ คือการซาบซึ้งกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ รอบตัว “แค่มองท้องฟ้าเห็นว่าสวยดีก็มีความสุข ฟังเพลงที่ชอบ ได้กินของอร่อยก็แฮปปี้ หรือได้ร้องเพลงต่อหน้าแฟนๆ ดีไม่ดีไม่รู้ แค่ได้ปลดปล่อยความรู้สึกไปด้วยกันก็มีความสุข หรือทำงานแล้วผลตอบรับดีก็มีความสุข”
ยังมีสิ่งที่อยากเรียนรู้หรือพัฒนาตัวเองเพิ่มอีกไหม เราถามนักแสดงหนุ่ม “เยอะเลยครับ เพราะมีสิ่งที่ทำไม่เป็นอีกมาก อยากเรียนการแสดง เรียนร้องเพลงให้เก่งกว่านี้ เพราะถ้าเราไปทำงานในระดับอินเตอร์ คนทั้งโลกดูการแสดงของเรา ไม่อยากให้คนดูผิดหวัง นอกจากนั้นมีเรื่องของภาษา ผมไม่เก่งภาษาแต่พยายามจะสื่อสารให้ได้ อยากเรียนภาษาจีน ภาษาเกาหลี ภาษาสเปนก็น่าสนใจครับ”
ถ้าย้อนเวลาไปช่วงก่อนโควิด-19 แพร่ระบาดได้ อยากบอกอะไรแก่ตัวเอง เราถามเขาเป็นคำถามสุดท้าย “บอกว่าอนาคตจะดีแน่นอน สู้ๆ ทำสิ่งที่ทำต่อไปเป็นปกติ เต็มที่เหมือนเดิม แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง แล้วก็ระวังตัวด้วยเพราะเดี๋ยวจะติดโควิด (หัวเราะ) แต่ติดแล้วก็หาย ไม่ต้องกังวล”
06
Mayu Bangkok Hotel
เลขที่ 80/3 ซอย สุขุมวิท 49/2 เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
Tel. 081 268 4624
Line OA : @mayubkk.hotel
Facebook : Mayubkk.hotel
www.mayubkkhotel.com
คอลัมน์: เรื่องจากปก
Mew, You are one big inspiration to your Mewlions ☺️?