นอกจาก “เสือเฒ่าเจ้าเล่ห์” ซึ่งเป็นบุคลิกภาพของชูชกที่กล่าวถึงในฉบับที่แล้วแล้ว ยังมีสำนวนไทยอีกมากที่มาจากตัวละครในวรรณคดีที่น่าสนใจ เช่น “อ้ายมะม่วงหมาเลีย” “ยิ้มเหมือนหลอกหยอกเหมือนขู่” ฯลฯ
อ้ายมะม่วงหมาเลีย
มะม่วงที่หมาเลียน่าจะเป็นมะม่วงสุกซึ่งมีดนื้อสีเหลืองหรือสีเหลืองอมส้ม มีเนื้อนิ่มหวานฉ่ำ หมาบางตัวเห็นก็จะดึงทึ้งเอาเปลือกออก แล้วเลียจนผิวของเนื้อมะม่วงเลื่อมลื่น
สำนวน “อ้ายมะม่วงหมาเลีย” มาจากวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนซึ่งมีตัวละครสำคัญตัวหนึ่งคือ “ขุนช้าง” ลักษณะเด่นชัดที่สุดของขุนช้างอยู่ที่มีศีรษะล้านเลี่ยนเงาเป็นมันออกสีเหลืองเรื่อๆ ซึ่งเป็นปมด้อยของเศรษฐีขุนช้างที่มักถูกพูดถึงอย่างดูแคลน เช่น ตอนที่นางศรีประจันแม่ของนางพิมพิลาไลยพูดถึงขุนช้างว่า “ขุนช้างมันชั่วแต่กระบาล ถึงหัวล้านหัวเหลืองเครื่องในดี” หรือตอนที่ขุนช้างมาหานางศรีประจันที่บ้านเพื่อเจรจาถึงเรื่องการแต่งงานกับนางพิม แม่จึงร้องเรียกลูกสาวให้ออกมาพบพูดคุยด้วย ทำให้นางพิมซึ่งแอบฟังอยู่ในห้องโกรธถึงขีดสุด เปิดหน้าต่างแล้วด่าอ้ายผลบ่าวซึ่งหัวล้านเหมือนกันกระทบขุนช้างด้วยคำพูดที่บาดหูว่า
อ้ายเจ้าชู้ลอมปอมกระหม่อมบาง
ลอยชายลากหางเที่ยวเกี้ยวหมา
ชิชะแป้งจันทน์น้ำมันทา
หย่งหน้าสองแคมเหมือนหางเปีย
หมามันจะเกิดชิงหมาเกิด
มึงไปตายเสียเถิดอ้ายห้าเบี้ย
หน้าตาเช่นนี้จะมีเมีย
อ้ายมะม่วงหมาเลียไม่เจียมใจ
“อ้ายมะม่วงหมาเลีย” เป็นสำนวนเปรียบที่ใช้บริภาษคนที่มีศีรษะล้านซึ่งมีลักษณะสีสันเหมือนมะม่วงที่ถูกหมาเลีย ดังนั้นในที่นี้ มะม่วงหมาเลียคือหัวล้าน ซึ่งหมายถึงขุนช้างนั่นเอง เป็นความเปรียบที่หยามเหยียดอย่างยิ่ง เพราะนำสิ่งที่ถูกสัตว์เดรัจฉานเลียมาเปรียบกับศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะสูงสุดของคน คนไทยบางคนถ้าใครมาสัมผัสจับต้องศีรษะจะไม่พอใจถือว่าไม่ให้เกียรติกัน เช่น ขณะที่นิดและจิ๋วพูดถึงหนุ่มใหญ่ศีรษะล้านในที่ทำงานที่ชอบทำตาเจ้าชู้กรุ้มกริ่มกับสาวๆ ครู่หนึ่งต่อมานิดเห็นหนุ่มคนดังกล่าวกำลังเดินตรงมาที่เธอทั้งสองนั่งอยู่ จึงกระซิบเบาๆ กับจิ๋วว่า “อ้ายมะม่วงหมาเลียมาแล้ว ถ้ามาทำเป็นตีสนิทละก็อย่าคุยด้วยนานนะ เดี๋ยวเขาจะได้ใจ แล้วสำคัญตัวผิดคิดว่าเสน่ห์แรง”
ยิ้มเหมือนหลอกหยอกเหมือนขู่
ผู้ชายคนใดเวลายิ้มหรือพูดหยอกเย้า แทนที่จะสื่อถึงมิตรไมตรีให้ผู้ได้พบเห็นหรือได้ยินได้ฟังมีความสุข แต่กลับทำให้รู้สึกว่าน่ากลัว แสดงว่าผู้ชายคนนั้นจะต้องขี้ริ้วขี้เหร่มาก “จรกา” ตัวละครในวรรณคดีเรื่องอิเหนาฉบับพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยก็มีบุคลิกภาพดังกล่าว แม้จะไม่ใช่ตัวละครที่มีบทบาทมากนักแต่ก็เป็นภาพจำของผู้ที่ได้อ่านหรือได้ดูละครเรื่องนี้ ความอัปลักษณ์ของจรกานั้นปรากฏอยู่ในสารที่อิเหนาใช้เล็บเขียนข้อความลงบนกลีบดอกลำเจียก (ดอกปะหนัน) แล้วฝากนางค่อมทาสีนำไปให้นางบุษบาตอนหนึ่งว่า
เสียงแหบแสบสั่นเป็นพ้นไป
รูปร่างช่างกระไรเหมือนยักษ์มาร
เมื่อยิ้มเหมือนหลอกหยอกเหมือนขู่
ไม่ควรคู่เคียงพักตร์สมัครสมาน
และจบสารด้วยคมคารมเหน็บแนมนางว่า
แม้นแผ่นดินสิ้นชายที่พึงเชย
อย่ามีคู่เสียเลยจะดีกว่า
พี่พลอยร้อนใจแทนทุกเวลา
หรือวาสนาน้องจะต้องกัน
“ยิ้มเหมือนหลอก หยอกเหมือนขู่” ถูกนำมาใช้เป็นสำนวนเปรียบกับผู้ชายที่มีหน้าตาซุ่มเสียงไม่น่ายลยิน ไม่น่าชิดใกล้ เช่นเมื่อแม่เซ้าซี้ถามนฤมลว่าจะเปลี่ยนใจรับหมั้นกำจรชายหนุ่มนิสัยดีและเป็นทายาทเศรษฐีนีเพื่อนของแม่หรือไม่ เธอตอบว่า “ไม่ไหวหรอกแม่ พี่เขายิ้มเหมือนหลอกหยอกเหมือนขู่ น่ากลัวจะตาย ถ้าไม่มีคนที่ถูกใจจริงๆ หนูขออยู่เป็นโสดก็แล้วกัน”
คอลัมน์: คมคำสำนวนไทย
เรื่อง: ยุพร แสงทักษิณ
ภาพ: ขวัญญาณี ศิรธนอนันต์