Little Women – เราต่างเป็นดอกไม้ที่ต้องสู้เพื่อผลิบาน
Little Women ฉบับปี 2019 เป็นผลงานที่แสดงพัฒนาการของผู้หญิงเก่งหลายคนในวงการภาพยนตร์ เช่น
- ผู้กำกับ เกรต้า เกอร์วิค – หลังจากประสบความสำเร็จกับ Lady Bird เธอเลือกจับงานชิ้นใหม่ที่ผู้คนคาดหวังในฐานะวรรณกรรมชื่อดังและเคยเป็นหนังมาก่อนแล้วเมื่อปี 1994 ซึ่งเวอร์ชั่นนั้นทำได้ดีพอสมควร
แต่เกรต้าก็สามารถสร้างความร่วมสมัยด้วยวิธีการเล่าเรื่อง ไม่ทำให้หนังดูเชย คำพูดหรือบุคลิกตัวละครอาจดูเหมือนคนยุคปัจจุบันแต่ก็กลมกลืนแบบไม่รู้สึกขัดตา มีลูกเล่นเล่าตัดสลับไปมาระหว่างสองช่วงเวลา บางช่วงอาจชวนให้สับสนบ้างแต่ในหลายฉากก็มีประสิทธิภาพด้านการขับอารมณ์ (เช่น ตอนเล่าเรื่องเบธป่วยหนักบนเตียง) หรือวิธีการล้อเล่นระหว่าง “เรื่องในนิยายของโจ” กับ “ชีวิตจริงของโจ” ในตอนท้ายก็สนุกสนาน
ผลลัพธ์คือ Little Women เป็นหนังที่รื่นรมย์กลมกล่อมโดยไม่ชวนเบื่อหน่ายแม้จะเป็นเรื่องเก่าที่เคยเล่ามาแล้ว
- เซอร์ชา โรนัน – นับตั้งแต่เป็นนักแสดงเด็กที่เด่นจนถูกจับตามองใน Atonement เธอก็มีพัฒนาการด้านการแสดงเรื่อยมา เข้าชิงรางวัลก็หลายหน เรื่องนี้เธอรับบท โจ มาร์ช ซึ่งเป็นบทเดียวกับที่ วิโนน่า ไรเดอร์เล่นในเวอร์ชั่นเก่า และเซอร์ชาก็ทำได้ดีมากๆ มีหลายฉากที่น่าจะชนะใจคนดู (รวมถึงกรรมการในเวทีชิงรางวัลต่างๆ) อาทิเช่น ฉากในห้องใต้หลังคาที่เธอระบายความอัดอั้นตันใจกับแม่ถึงความเหนื่อยที่ผู้หญิงถูกกำหนดว่าควรจะเป็นอย่างไรและทุกข์ใจกับความโดดเดี่ยว
บุคลิกของเสรีชนซึ่งขัดกับขนบของผู้หญิงในยุคนั้นถูกถ่ายทอดผ่านการแสดงที่มีชีวิตชีวาและเปี่ยมพลังของเซอร์ชา
- ฟลอเรนซ์ พิวจ์ – นี่คือนักแสดงหญิงดาวรุ่งที่เจิดจรัสมากในช่วง 1-2 ปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นบทหญิงสาวที่ค่อยๆ สติแตกหลังจากเข้าลัทธิประหลาดในหนัง Midsommar หรือบทนักมวยปล้ำหญิงที่สู้ตามความฝันใน Fighting with My Family ซึ่งเธอสามารถตีความตัวละครที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงได้ดี นี่ยังไม่นับว่ามีหนังฟอร์มยักษ์ในจักรวาลมาร์เวลรอให้เธอดังเป็นพลุแตกอย่าง Black Widow ที่จะเข้าฉายปีหน้า
ใน Little Women เธอรับบทเป็นเอมี่-น้องสาวคู่รักคู่ปรับกับโจ มีความอิจฉาประสาพี่น้อง โดยเอมี่มักรู้สึกเป็นรองทั้งเรื่องความเก่งและความรัก เธอเป็นหญิงสาวผู้มีความทะเยอทะยานแล้วก็ถูกครอบด้วยกรอบความคิดของป้าที่พยายามบอกเธอให้มีเป้าหมายแต่งงานกับผู้ชายรวยๆ
ฟลอเรนซ์เล่นได้โดดเด่นเหมือนประกายไฟที่ทำให้หนังกระฉับกระเฉงทุกครั้งที่เธอปรากฏ เด่นชนิดบางซีนกลบเพื่อนร่วมจอให้ตายสนิทไปเลย
===
เหตุการณ์เล็กๆ แต่สำคัญในหนัง Little Women เวอร์ชั่นนี้คือฉากวันคริสต์มาสเมื่อ 7 ปีก่อน ซึ่งเราจะเห็นความฝันของสี่ดรุณีที่ประกาศออกมาชัดเจน เม็กเปรยว่าความจนเป็นเรื่องน่ากลัว เธออยากรวยกว่านี้จะได้มีคนรับใช้และไม่ต้องทำงานเอง, โจชัดเจนมาตลอดว่าอยากเป็นนักเขียนชื่อดัง, เอมี่อยากเป็นจิตรกรที่ปารีสและมีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก, เบธแค่อยากให้ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าแล้วเธอเล่นเปียโนให้คนในบ้านฟัง
เจ็ดปีต่อมา เราก็จะเห็นว่าไม่มีใครสมหวัง แต่ละคนต่างสู้กับปัญหาของตัวเองโดยเฉพาะ
เม็กได้แต่งงานก็จริง แต่คู่ชีวิตของเธอกลับไม่ใช่เศรษฐี ชีวิตครอบครัวของเม็กที่มีลูกสองคนนั้นยากจนถึงขั้นแค่จะตัดเสื้อสักตัวก็ยังต้องคิดหนัก และเธอก็รู้สึกด้อยเสมอเมื่อต้องเข้างานสังคมที่เพื่อนๆ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพง, โจอาจมีงานเขียนได้ตีพิมพ์บ้างแต่ก็ยังถูกกดค่าจ้าง และไม่มีอำนาจที่จะกำหนดงานเขียนตัวเองอย่างอิสระได้มากนัก, เอมี่ได้ไปปารีสแต่เธอก็ไม่ประสบความสำเร็จอย่างฝัน เธอตกหลุมรักลอรี่ในขณะที่ลอรี่ก็ไม่อาจตัดใจจากโจ ส่วนเบธนั้นสู้กับอาการป่วยอยู่แต่ในบ้าน แถมครอบครัวก็ไม่สามารถอยู่พร้อมหน้าอย่างที่เธอเคยฝันไว้
สี่ดรุณีมีแนวคิดที่ต่างกัน เติบโตในยุคสมัยซึ่ง “ผู้หญิง” ยังไม่ได้มีสิทธิที่เท่าเทียมชาย ซ้ำร้ายยังถูกทำให้เชื่อตั้งแต่เป็นเด็กผู้หญิงว่าเมื่อโตมา พวกเธอต้องพึ่งพาผู้ชายผ่านการแต่งงาน
===
“ถ้าผู้หญิงเป็นตัวเอกในนิยาย ตอนจบต้องได้แต่งงานหรือไม่ก็ต้องตายไปเลย” คือข้อเสนอแกมบังคับของบรรณาธิการที่บอกโจ มาร์ชตอนไปเสนองานเขียน คนส่วนใหญ่ในยุคนั้นยึดติดกับภาพจำผู้หญิงในแบบเหมือนๆ กัน (stereotype)
เป็นแบบเดียวกับที่เอมี่เปรยกับลอรี่ว่า
“ฉันตั้งใจแต่งงานกับคนรวยมาตลอด ทำไมต้องอายที่จะคิดแบบนี้ด้วย ในฐานะผู้หญิง เป็นไปไม่ได้ที่จะยืนหยัดหาเงินเลี้ยงชีพกับครอบครัวด้วยตัวเอง ต่อให้ฉันรวยมาก่อน ถ้าแต่งงานทรัพย์สมบัติก็จะตกเป็นของสามีอยู่ดี ถ้ามีลูกก็จะเป็นลูกเขาไม่ใช่ลูกฉัน ลูกเป็นสมบัติของพ่อ ดังนั้นอย่าบอกว่าการแต่งงานไม่ใช่ข้อเสนอทางเศรษฐกิจ(economic proposition) เพราะมันเป็นแบบนั้นจริงๆ”
แนวคิดของบรรณาธิการหรือของเอมี่ไม่ใช่แค่ความเชื่อ แต่สังคมที่เห็นและเป็นอยู่ในสมัยนั้น ผู้หญิงด้อยโอกาสกว่าผู้ชาย ยังไม่มีการต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีเหมือนปัจจุบัน และผู้หญิงยังต้องพึ่งพาผู้ชายจึงจะมีที่ยืนมั่นคงในสังคม
โจ มาร์ช จึงดูผิดแผกจากผู้หญิงหลายคนที่ไม่ต้องการแต่งงาน โจเชื่อว่าเธอจะสามารถหาเงินโดยไม่ต้องพึ่งผู้ชาย แล้วเธอก็ลงมือทำจริงๆ เช่น ตัดผมไปขายแลกเงินมาช่วยน้องสาว (การตัดผมยาวทิ้ง=ทำลายภาพจำของความเป็นหญิง) หรือมุ่งมั่นเขียนนิยายจนมีอำนาจต่อรองมากขึ้นในที่สุด
ถึงโจจะเป็นตัวเอก Little Women ก็ไม่ได้ให้ข้อสรุปว่าแนวคิด “ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องแต่งงานแต่สามารถพึ่งลำแข้งตัวเอง” ของโจนั้นเหนือกว่าพี่น้องคนอื่น
เม็กอาจจะเชื่อแนวคิดเรื่องแต่งงาน แต่เธอก็ไม่ได้เลือกแต่งงานกับคนรวย เธอแต่งงานกับคนที่เธอรัก และเธอก็เตือนสติโจว่า “แค่ฝันของพี่ไม่เหมือนเธอ ก็ไม่ได้แปลว่าไม่สำคัญ พี่อยากมีบ้าน มีครอบครัว และพี่พร้อมจะสู้เพื่อฝันแม้มันจะลำบาก”
หรือตราบใดที่สังคมยังไม่ช่วยกันผลักดันความเท่าเทียมของชาย-หญิงให้เกิดขึ้น แนวคิดว่าควรแต่งกับคนรวยดังที่เอมี่คิดกับที่ป้าพร่ำสอนก็คือ ugly truth ซึ่งต้องยอมรับว่ามันมีส่วนจริง ถึงกระนั้นเอมี่ที่ทำตัวเป็นเด็กดีเชื่อฟังป้ามาตลอดก็ไม่ได้ถือว่าความรวยของผู้ชายเป็นปัจจัยชี้ขาดในเรื่องของหัวใจ
Little Women จึงเป็นการต่อสู้เพื่อความฝันที่แตกต่างของหญิงสาวแต่ละคน ในยุคสมัยที่พวกเธอยังต้องดิ้นรนเพื่อเป็นดอกไม้ที่จะผลิบานในสภาพสังคมที่ไม่เอื้อต่อการเป็นตัวของตัวเอง
คอลัมน์: มองโลกผ่านจอ / เรื่อง: “ผมอยู่ข้างหลังคุณ”
(www.facebook.com/ibehindyou, i_behind_you@yahoo.com)