Little Women กล้วยไม้ลึกลับกับเงินปริศนาสองพันล้าน

-

Little Women

 กล้วยไม้ลึกลับกับเงินปริศนาสองพันล้าน

เคยเขียนถึงหนัง Little Women ไปแล้วครั้งหนึ่งลงคอลัมน์นี้ เป็นหนังเวอร์ชันปี 2019 ของผู้กำกับ เกรตา เกอร์วิคซึ่งดัดแปลงจากวรรณกรรมคลาสสิกให้มีการเล่าเรื่องที่ร่วมสมัยมากขึ้น แต่ยังคงแก่นของการต่อสู้เพื่อความฝันอันแตกต่างของหญิงสาวแต่ละคนในยุคเมื่อหลายสิบปีก่อน กล่าวคือหากพวกเธอปรารถนาชีวิตที่ดีขึ้น (ประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน มีฐานะดีโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ชาย ฯลฯ) ก็ต้องดิ้นรนในสภาพสังคมที่ไม่เอื้อต่อการเป็นตัวของตัวเองจึงจะถึงฝั่งฝันได้ เพราะ “ความเป็นผู้หญิง” คืออุปสรรคสำคัญในกรอบของผู้คนในยุคนั้น

ปีนี้ทางเกาหลีก็มี Little Women ที่ดัดแปลงมาเป็นซีรีส์โดยผู้กำกับคิมฮีวอน ซึ่งเคยมีผลงานโด่งดังเมื่อปีก่อนอย่าง Vincenzo และเขียนบทโดยจองซอกยอง มือเขียนบทคู่บุญของผู้กำกับพัคชานวุค (ซึ่งปีนี้มากับหนัง Decision to Leave)  การผนึกกำลังของทั้งคู่สลัดภาพเดิมของ Little Women ทุกเวอร์ชันและจากวรรณกรรมต้นฉบับ

Little Women เวอร์ชันนี้คือการต่อสู้กับความจน อำนาจอิทธิพลของคนรวย และกิเลสในใจ โดยจำนวนพี่น้องก็ไม่เท่าเดิม พล็อตเรื่องไม่เหมือนเดิม รวมถึงโทนเรื่องที่เคยเป็นดราม่าก็เพิ่มความลึกลับกึ่งสืบสวน ตัวละครหลักประกอบด้วยพี่น้องสามสาว

โออินจู พี่สาวคนโต ทำงานเป็นพนักงานบริษัทในแผนกการเงิน มีสภาพหมาหัวเน่าหรือคนนอกที่มักถูกดูแคลนจากเพื่อนร่วมบริษัท ซึ่งส่วนใหญ่พื้นเพฐานะดี

โออินกยอง พี่สาวคนกลาง ทำงานเป็นนักข่าว มีนิสัยกัดไม่ปล่อยถ้าสืบข่าวเรื่องใดอยู่

โออินฮเย น้องคนเล็ก มีพรสวรรค์ด้านศิลปะ และฝันอยากไปเรียนต่อเมืองนอก

สามพี่น้องมีพ่อที่ไม่อยู่บ้าน มีแม่ที่ไม่ค่อยใส่ใจ แถมยังแอบขโมยเงินเก็บของลูกๆ แล้วทิ้งลูกทั้งสามไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ ปล่อยให้สามพี่น้องดูแลกันเอง โออินจูกับโออินกยองจึงพยายามทุ่มเทหาเงินส่งเสียน้องให้ไปถึงเป้าหมาย

จุดพลิกผันสำคัญคือการที่โออินจูไปเกี่ยวข้องกับการยักยอกเงินครั้งใหญ่โดยไม่รู้ตัว มีเงินหลักพันล้านวอนที่เธอได้ครอบครองภายหลังคดีฆาตกรรม และเธอต้องตัดสินใจว่าจะจัดการเงินก้อนนี้อย่างไร

ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน สามพี่น้องยังมีเหตุให้ต้องไปเกี่ยวข้องกับพักแจซาง อดีตทนายที่เป็นนักธุรกิจใหญ่ แถมยังเป็นลูกเขยอดีตนายพลคนสำคัญของเกาหลีใต้ เขากำลังจะลงสมัครเป็นนายกเทศมนตรีกรุงโซล

โออินจูไปพัวพันเพราะเงินก้อนโตที่เธอครอบครองมาจากบริษัทของพักแจซางกับภรรยา, โออินกยองไปพัวพันเพราะข่าวที่เธอทำอยู่คือขุดคุ้ยประวัติพักแจซางซึ่งอาจเคยฉ้อฉลและก่อเหตุฆาตกรรม, โออินฮเยไปพัวพันเพราะเธอสนิทกับลูกสาวของพักแจซาง

ความพัวพันดังกล่าวนำไปสู่ตำนานกล้วยไม้สีน้ำเงินซึ่งมีฤทธิ์ต่อจิตประสาทอันลึกลับ, สมาคมลับที่ก่อตั้งขึ้นโดยมีแผนการใหญ่ และคดีฆาตกรรมอีกหลายคดีที่เกิดขึ้นตามมา

Little Women เวอร์ชันนี้จึงกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องของสามพี่น้องที่ดิ้นรนออกจากความจน กระเสือกกระสนผลักดันตัวเองให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิม จากครอบครัวที่แทบไม่เห็นโอกาสของการไขว่คว้าหรือบรรลุจุดหมายที่ตั้งใจไว้

แต่สามพี่น้องมีวิธีคิดต่างกันในการต่อสู้

– พี่คนโต ทำอย่างไรก็ได้ขอให้มีเงินมากพอที่จะช่วยจุนเจือครอบครัว เพราะแบกความรับผิดชอบจากพ่อแม่ที่ถนัดแต่สร้างหนี้ สร้างปัญหา (คล้ายเวอร์ชันต้นฉบับซึ่งเป็นตัวละครที่ไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่น)

– พี่คนรอง ผู้ไม่ยอมรอมชอมกับการทำผิดเพื่อให้ได้เงินมา พร้อมชนหรือเปิดโปงผู้มีอิทธิพล ถึงตัวจะจน ถึงจะมุ่งหวังให้น้องได้ไปเรียนเมืองนอก แต่ก็ไม่อยากให้พี่น้องต้องเป็นของเล่นของคนรวย (คล้ายเวอร์ชันต้นฉบับที่เป็นคนห้าว และพยายามสู้ด้วยลำแข้ง)

– น้องคนเล็ก ไม่อยากใช้เงินพี่ๆ เธอหาทางพาตัวเองไปเรียนต่อเมืองนอกให้ได้ แม้วิธีเหล่านั้นจะไม่ถูกใจพี่ เพราะเหมือนขายวิญญาณ แต่เธอหมายมั่นสร้างชีวิตที่ดีขึ้นด้วยตัวเองโดยไม่พึ่งพาพี่น้องให้ลำบาก (คล้ายเวอร์ชันต้นฉบับที่ป่วยและไม่อยากเป็นภาระพี่ๆ)

ถึงแม้จะจนเหมือนกัน แต่วิธีคิดของสามพี่น้องไม่ว่าจะเป็นเรื่องระดับศีลธรรมหรือวิถีชีวิตก็ต่างกัน เพราะ “การรับรู้ (ต่อความจน) กับประสบการณ์ (เคยจน) ที่ต่างกัน”

น้องคนเล็กสงสารพี่เสมอมา เห็นพี่เหนื่อยแทนพ่อแม่เพื่อช่วยเธอ เธอทนกล้ำกลืนความรู้สึกผิด ไม่อยากให้พี่ลำบาก จึงยอมทำทุกอย่างที่ไม่ต้องกระทบพี่ พี่คนโตผู้เห็นความลำบาก และเคยเห็นสมาชิกครอบครัวตายเพราะความจน ก็ยอมทำงานทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมาช่วยเหลือ

ส่วนพี่คนกลางไม่ได้มีประสบการณ์ตรงกับความจนเท่าคนอื่น (วัยเด็กก็ไปอยู่กับย่าเป็นบางช่วง และจำความตายในบ้านเนื่องจากความจนไม่ได้) เธอจึงไม่ยอมรอมชอมกับการเสียศักดิ์ศรีหรือทำผิดกฎหมาย เพราะ “พอทนได้กับความจนมากกว่าคนอื่น”

ความจนจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินทองที่เป็นตัวชี้วัด “วิธีคิดและระดับศีลธรรม” ของคนแต่ละคนเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับประสบการณ์ตรงซึ่งเป็น “การรับรู้” จากการใช้ชีวิตที่ได้รับผลกระทบของความจน (ความเจ็บป่วย ความลำบากของพ่อแม่ ฯลฯ) ซึ่งส่งผลกระทบให้คนมีวิถีแตกต่างกัน

เช่น บางคนจนมากแต่ไม่ค่อยรับรู้ความลำบาก (เพราะพ่อแม่คอยปะทะปะทังไว้จึงไม่ต้องรับมือความทุกข์นัก) ก็อาจไม่ได้รู้สึกว่าต้องสู้หรือผลักดันตัวเองเท่าคนที่จนน้อยกว่า (ไม่ได้รับการดูแลจากพ่อแม่หรือสังคม) แต่รับรู้ความลำบากมาทั้งชีวิต

และไม่ใช่แค่การต่อสู้ของคนจน แต่ซีรีส์ยังพูดถึง “ความได้เปรียบของคนรวย” ผ่านครอบครัวพักแจซาน

คนรวยๆ นิสัยดีมีมากมายที่ช่วยเหลือคนยากจน เปิดมูลนิธิให้คนด้อยโอกาส บริจาคทำทาน ฯลฯ เขาทำเพราะอยากช่วยเหลือคนด้อยโอกาสกว่า อยากสร้างสังคมให้ดีขึ้น (อาจคิดถึงตัวเองนิดหน่อย) ซึ่งเป็นเจตนาที่ดี

แต่คนรวยหลายคนก็มีวิธีคิดในการทำดีแบบ CSR หรือที่จริงทำเพื่อตัวเอง

เช่น พัคแจซานและภรรยา ซึ่งนอกจากจะโหนอำนาจที่พูดไม่ได้ (พ่อภรรยาผู้อยู่ในภาวะโคม่า) มาฟอกขาวให้ตัวเองดูดี อ้างคำพูดของนายพลต่างๆ นานา แต่ไม่มีใครรู้ว่าจริงเท็จแค่ไหนเวลาปราศรัย

ทั้งคู่ยังใช้คนจนเป็นเครื่องมือเพื่อ “สร้างความมั่งคั่งอย่างมั่นคงและไต่เต้าฐานะ” หรือเรียกได้ว่าโหนคนจน

การช่วยเหลือคนจนของพวกเขา ต้องมีกล้องของสื่อถ่ายทำตลอดเวลา ปากพูดเป็นเชิงว่าปิดทองหลังพระ แต่แทบทุกครั้งคือต้องเป็นข่าวหรือมีสื่อมาเผยแพร่การทำดี เป็นตัวอย่างของการใช้คนจน (กว่า) เป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์ แลกกับการสร้างภาพลักษณ์ตัวเอง สร้างแต้มต่อทางการเมือง สร้างหนี้บุญคุณ ฯลฯ

นั่นจึงไม่ใช่การช่วยเหลือแบบมองคนเป็นคนที่เท่าเทียมกัน (ถึงฐานะเงินทองไม่เท่าเทียมกัน แต่เราสามารถมองคนให้เป็นคนเท่าเทียมกันได้) ทว่าเมื่อถึงตอนท้ายๆ ของซีรีส์ เราจะเห็นทัศนคติของสองผัวเมียคู่นี้ชัดเจนขึ้นว่า พวกเขาเห็นคนจนที่ตนช่วยเหลือเป็นเพียงเบี้ยในเกมชีวิต และแย่ยิ่งกว่านั้นคือเป็นของเล่นเพื่อความบันเทิง เป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่งซึ่งพวกเขาทำเพื่อให้ตัวเองอิ่มเอมเปรมใจ


คอลัมน์: มองโลกผ่านจอ

เรื่อง: “ผมอยู่ข้างหลังคุณ”

All Creative Team

Writer

ร่วมสร้างสังคมอุดมปัญญา

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!