ชีวิตนี้อยู่เพื่อใคร

-

ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ทุกๆ ท่าน ได้เวลาเติมธรรมะกับ “ธรรมะอมยิ้ม” เช่นเคย

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านคงสบายดีกันอยู่นะโยม ใครยังสบายดีขอเสียงหน่อย (ฮิ้วๆ )

พระขอเสียงต้องสาธุ สาธุแปลว่าดีแล้ว

เห็นใครทำดี เราก็สาธุ เห็นเพื่อนตั้งใจทำงานเราก็สาธุ

เห็นสามีภรรยาขยันทำงาน เราก็สาธุ

โยมทั้งหลาย หลายคนยังงงกับชีวิตว่า ชีวิตคืออะไร เกิดมาทำไม แล้วเราจะอยู่ไปเพื่ออะไร  

บางคนบอกว่า ชีวิตนี้ต้องสู้ เพราะกู้มาเยอะ ไม่ว่าบ้าน รถ เครื่องใช้ไฟฟ้า ล้วนกู้มาซื้อแทบทั้งนั้น

มีโยมคนหนึ่งบอกว่า ชีวิตคือความวุ่นวาย ไม่มีวันไหนเลยที่จะสงบสุข วุ่นวายตั้งแต่ตื่นขึ้น ขนาดนอนหลับความวุ่นวายยังมาหลอกหลอนในความฝันอีก

นี่ขนาดเพียงสองคน มุมมองชีวิตก็ต่างกันแล้ว มันก็จริงนะโยม ชีวิตของคนเราในสังคมปัจจุบันหาความสุขยากมากขึ้น จะไปไหนมาไหนก็ไม่สะดวกเหมือนเคย เป็นสังคมที่หาความจริงใจไม่ได้ เป็นสังคมใส่หน้ากากเข้าหากัน

เขาป้องกันโรคโควิดครับ หลวงพี่

อ๋อเหรอ… อาตมานึกว่า เขาใส่หน้ากากเข้าหากัน

โยมทั้งหลาย เราลองมาศึกษาธรรมะ มาปฏิบัติธรรมดูนะโยม

ในพุทธศาสนาสอนว่า ชีวิตไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา เราอย่าไปยึดมั่นจับจองว่าเป็นของของตน

ชีวิตนี้ประกอบด้วยธาตุ  ดิน น้ำ  ลม  ไฟ มันเป็นสิ่งที่เปราะบางเหมือนหม้อดิน  โดนอะไรกระแทกนิดหน่อยก็แตกแล้ว ดังนั้นเราต้องทำใจให้ถึงธรรม เพื่อจะได้ลดความยึดมั่นถือมั่น คติทางโลกกับทางธรรมค่อนข้างต่างกันนะโยม ทางธรรมยิ่งลด ยิ่งมีความสุข  ลดความโลภ ความโกรธ ความหลง ลดความยึดมั่นถือมั่น ยิ่งลด ยิ่งสุข แต่ทางโลกมองว่า ยิ่งมีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เรามีความสุขมากเท่านั้น

มันไม่เสมอไปนะโยม ถ้ามีมาก แต่เราไม่พอใจสิ่งที่ตนมี ยินดีในสิ่งที่ตนได้ ก็จะทำให้เราต้องดิ้นรนหามาให้มากกว่านี้อีกหลายร้อยเท่า

โยมทั้งหลาย ทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำฉันใด ความโลภของคนก็ฉันนั้น

โยม แล้วเราเกิดมาทำไม

เกิดมาเพื่อใช้กรรมค่ะ หลวงพี่

แล้วเราจะหมดกรรมตอนไหนล่ะโยม

ตอนตายค่ะ หลวงพี่

แล้วโยมอยากหมดกรรมไหม

ยะ ยังค่ะ หลวงพี่  หนูขออยู่ใช้กรรมไปอีกสักพักแล้วกัน

แหม อาตมานึกว่าโยมอยากจะหมดกรรมตอนนี้  จะได้จัดให้เลย ฮาๆ

โยมแน่ใจหรือว่า ตายแล้วจะหมดกรรม ถ้ายังมีคน ยังมีสัตว์ แสดงว่าเรายังเวียนว่ายตายเกิด เพื่อมาใช้กรรมในชาติถัดไปอีก

โยม เราต้องเกิดมาทำหน้าที่ เกิดมาทำความดี เพื่อที่จะไปให้ถึงการไม่เวียนว่ายตายเกิด

เมื่อถึงตอนนั้นเราก็จะตัดกรรมทุกอย่างโดยสิ้นเชิง

 

 

แล้วเราจะอยู่ไปเพื่ออะไร

อยู่ไปเพื่อใช้กรรมครับ หลวงพี่

เอาอีกแล้ว อยู่ไปเพื่อใช้กรรมอีกแล้ว

เมื่อเรารู้ว่ากรรมคือตัวกำหนดชีวิต การที่จะหลุดพ้นจากกรรมได้คือ ทำให้ตนเองหมดกรรม คือการเข้าสู่สภาวะของนิพพาน  แล้วโยมพร้อมหรือยัง ถ้าพร้อมก็ลงมือปฏิบัติได้เลย เริ่มจากปรับใจ ให้ลดความโลภ ความโกรธ ความหลง ลดความยึดมั่นถือมั่น ฝึกเป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้รับ ฝึกการให้อภัยมากกว่าการผูกอาฆาต ฝึกปฏิบัติธรรมเพื่อปรับสภาพร่างกายและจิตใจให้น้อมเข้าสู่กระแสธรรม เมื่อทำแบบนี้เป็นนิจชีวิตก็จะเริ่มเห็นแสงแห่งความสุข

เพื่อให้เข้าใจชัดขึ้น มาฟังเรื่องนี้ดูนะโยม พุทธศาสนิกชนสามราย สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม เนื่องเพราะปัญหาที่แก้ไม่ตก จึงได้ไปขอคำชี้แนะจากอาจารย์เซนอู๋เต๋อ เมื่อได้พบก็เอ่ยถามอาจารย์เซนว่า

“มีหนทางใดที่จะทำให้พวกเรามีความสุขในชีวิต?”

อาจารย์เซนย้อนกลับว่า “พวกท่านแต่ละคนมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?”

          คนแรกตอบว่า “ข้ามีชีวิตอยู่ เพราะไม่อยากตาย”

          คนต่อมาตอบว่า “ข้ามีชีวิตอยู่เพื่อมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ยามแก่เฒ่าแวดล้อมไปด้วยลูกหลาน คงเป็นความสุขยิ่งนัก”

          คนสุดท้ายตอบว่า “ข้ามีชีวิตอยู่เพื่อเป็นที่พึ่งให้แก่คนในครอบครัว ตอนนี้ทุกคนต้องพึ่งพาข้า ดังนั้นข้าจึงไม่อาจตาย”
เมื่อได้ฟังเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ของทั้งสาม อาจารย์เซนอู่เต๋อได้แต่กล่าวว่า

“หากเป็นเช่นนั้น พวกท่านคงไม่อาจมีความสุขตลอดกาล เนื่องเพราะพวกท่าน คนหนึ่งมีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัวความตาย คนหนึ่งเฝ้ารอให้ถึงยามแก่เฒ่า  อีกคนหนึ่งถูกบีบคั้นด้วยภาระอันหนักอึ้ง จนต่างก็หลงลืมหลักการและความหมายที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่  เช่นนี้จะมีความสุขได้อย่างไร”

จากนั้นอาจารย์เซนจึงเอ่ยถามเหล่าพุทธศาสนิกชนต่อไปว่า

“ในความเห็นของทุกท่าน ‘ความสุข’ คืออะไร?”
คนแรกตอบว่า “ย่อมเป็นทรัพย์สินเงินทองบันดาลความสุข”
คนต่อมาตอบว่า “ความรักจึงนำมาซึ่งความสุข”
คนสุดท้ายตอบว่า “ชื่อเสียงเกียรติยศต่างหากคือความสุข”

อาจารย์เซนแย้งว่า  “นั่นกลับมิใช่   ซ้ำร้ายหากพวกท่านสะสมสิ่งเหล่านี้มากเกินไปรังแต่จะยิ่งเพิ่มความทุกข์”

พุทธศาสนิกชนทั้งสามมองหน้ากันด้วยความงุนงง

อาจารย์เซนจึงกล่าวต่อไปว่า “หากพวกท่านมีทรัพย์สินเงินทอง ความรัก หรือลาภยศสรรเสริญแล้ว ความกังวลว่าจะเสียมันไป ความโศกเศร้าเมื่อสูญเสียไปแล้ว รวมทั้งความปรารถนาอยากได้อยากมีมากกว่าเดิม จะกลายเป็นบ่วงที่คอยพันธนาการพวกท่านเอาไว้ และเพิ่มพูนความทุกข์  แต่หากพวกท่านต้องการความสุข ก็ต้องปรับเปลี่ยนความคิดดังกล่าว”

“อันว่าทรัพย์สินเงินทองเมื่อมีมาก จงบริจาคทำบุญทำทานจึงจะเป็นสุข ความรักนั้นต้องรู้จักการเสียสละและการให้จึงจะมีความสุข ส่วนเกียรติยศชื่อเสียงจงนำมาใช้เพื่ออำนวยประโยชน์สุขให้ส่วนรวม เช่นนี้จึงเป็นความสุขโดยแท้”

เจริญพร


คอลัมน์: ธรรมะอมยิ้ม

เรื่อง: พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต

ภาพ: ขวัญญาณี ศิรธนอนันต์

All Creative Team

Writer

ร่วมสร้างสังคมอุดมปัญญา

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!