การเลี้ยงหมานั้นถ้าดูผิวเผินแล้วก็จะเห็นว่าเป็นเรื่องง่าย ใครก็เลี้ยงได้ แต่แท้จริงแล้วหากเจ้าของบางคนเลี้ยงไม่เป็น (โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมาบางพันธุ์) อาจนำไปสู่โศกนาฏกรรมได้ดังที่เราทราบกันอยู่เนืองๆ
เบื้องต้น ก่อนเลี้ยงหมา แมว หรือสัตว์เลี้ยงอื่นๆ นั้น ต้องรับผิดชอบชีวิตของมันตลอด 10-12 ปีข้างหน้า ยอมรับภาระผูกพัน ไม่ว่าจะเป็นความไม่สะดวก (ต้องดูแลจนเกิดความไม่คล่องตัว) ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดู และเวลา
ประเด็นที่สอง ต้องรู้วัตถุประสงค์ในการเลี้ยงหมาว่าจะเอามาเฝ้าบ้าน คุ้มครองทรัพย์สิน เป็นสัตว์เลี้ยง เป็นเพื่อน เป็นสิ่งเชิดชูในสังคม แสดงความมีอำนาจ ฯลฯ จึงจะเลือกพันธุ์หมาได้อย่างเหมาะสม
ประเด็นที่สาม ต้องรู้จักธรรมชาติของหมาว่ามันเป็นสัตว์ที่ชอบข่ม และท้าทายตำแหน่งในฝูงอยู่เสมอ กล่าวคือ มันเป็นสัตว์ที่มีธรรมชาติของการอยู่รวมเป็นกลุ่มหรือฝูงโดยมีหัวหน้าฝูง (alpha dog) เป็นผู้ดูแลควบคุมฝูงให้ปลอดภัย การอยู่รอดเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับหมา ดังนั้นมันจึงอยู่กันเป็นฝูงโดยแต่ละตัวมีตำแหน่งลดหลั่นกัน ตัวใหญ่สุดที่แข็งแรงและมีอำนาจเป็นหัวหน้าฝูง แต่ละตัวรู้ตำแหน่งของมันว่าอยู่ตรงไหน มันต้องเอาใจ หรือประจบประแจงหัวหน้าเพื่อการอยู่รอด เพราะหากถูกขับออกไปจากฝูงแล้วมันก็ตาย เนื่องจากอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่ได้
ครั้นหมาเข้ามาอยู่ในบ้านคนเมื่อประมาณ 50,000 ปีก่อน มันเห็นว่าทุกคนในบ้านเป็นหมาเหมือนมัน โดยมี “หัวหน้าบ้าน” เป็นจ่าฝูง มันจึงซูฮกเฉพาะคนคนนั้น ไม่แยแสเด็กลูกน้องที่ให้อาหาร หากมันรู้ตำแหน่งที่แน่นอนของมันในบ้าน (ฝูง) ก็อยู่ด้วยกันได้ แต่ก็ไม่วายพยายามข่มตัวอื่นเพื่อเลื่อนตำแหน่งในฝูงอยู่เสมอตามธรรมชาติของมันเพื่อการอยู่รอด
หากบ้านนั้น “หัวหน้าบ้าน” เป็นผู้นำชัดเจน และแสดงให้มันเห็นว่าเป็น “นาย” อย่างแท้จริง (คุ้มครองดูแลมันจากการก้าวร้าวของฝูงอื่นได้) และมันเป็นสมาชิกที่มีตำแหน่งต่ำกว่าคนทั้งหมดในบ้าน ปัญหาการกัด การขู่ การกลัวหมากัดของคนในบ้านก็ไม่เกิดขึ้น แต่หาก “นาย” ทำตัวเป็น “ลูกน้อง” ของมัน (เอาไปนอน กอดจูบ ลูบไล้ รักเหมือนกับคน ป้อนอาหาร ยอมมันทุกอย่าง ไม่ว่าจะคำราม ขู่ หรือกัดใคร) มันก็จะสับสน ไม่คิดว่า “นาย” เป็นจ่าฝูง หากเป็นเพื่อนระดับเดียวกันหรือต่ำกว่ามันในฝูง การขู่ท้าทายก็เกิดขึ้น การกัดทำร้ายเกิดขึ้นเพราะมันขู่เข็ญได้ด้วยเห็นเป็นเพื่อนหรือ “ลูกน้อง” มัน หากสุนัขมีขนาดเล็กก็ไม่เป็นไร หากตัวใหญ่และดุร้ายตามสัญชาตญาณดั้งเดิมของพันธุ์ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
โดยธรรมชาติหมาเป็นสัตว์ที่ต้องการความมั่นคง ดังนั้นมันจึงเรียกร้องการยอมรับอยู่เสมอจากสมาชิกในฝูงที่มีฐานะสูงกว่า โดยเฉพาะจาก “จ่าฝูง” เพื่อการอยู่รอดของมัน ความซื่อสัตย์ที่มันมีให้เจ้าของมาจากความต้องการอยู่รอดและความมั่นคง มันไม่รู้จักคำว่า “บุญคุณ” เพราะเป็นนามธรรมเกินไปจนมันไม่อาจเข้าใจได้ (อย่าว่าแต่หมาเลย มนุษย์บางคนยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ) ทุกครั้งที่เราสัมผัสและชื่นชมมันด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน มันมีความสุขเพราะแสดงถึงการอยู่รอดและความมั่นคงในชีวิตของมันนั่นเอง
ตั้งแต่วันแรกที่เอาหมามาอยู่บ้าน ต้องแสดงให้มันรู้ว่าทุกคนในบ้านมีฐานะเหนือมันและใครเป็นหัวหน้าฝูง ความรัก ความอ่อนโยน การดูแลอย่างดี ตลอดจนความเมตตานั้นต้องมีในการเลี้ยงดูเพื่อสร้างสภาพจิตที่ดีให้แก่หมา แต่ก็ต้องแฝงไว้ด้วยความเด็ดขาด ต้องดุเมื่อมันทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เช่น กัด ขู่คำราม วิ่งไล่ ออกนอกบ้าน ฯลฯ วิธีการ “ข่ม” ที่ดีก็คือการกดคอมันจนลงไปนอนแนบพื้นและพูดดังๆ สั้นๆ พยางค์เดียว (ปกติใช้คำว่า “ไม่”) ด้วยน้ำเสียงจริงจังเพื่อปรามมันเวลาทำสิ่งที่เราไม่ต้องการให้มันทำ
ฟังดูอาจโหดร้ายกับหมาที่รัก แต่พึงระลึกว่าทุกสิ่งในโลกต้องมีวินัยจึงจะอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข สุนัขนั้นไม่อาจใช้เหตุผลได้แบบมนุษย์เพราะมันมีวิธีคิดแตกต่างจากมนุษย์ เราสื่อสารกับหมาผ่านภาษาที่ดังเข้มดุและอ่อนโยนโดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านการกระทำ ดังนั้นการข่มให้รู้ว่าใครเป็น “นาย” จึงสำคัญอย่างยิ่ง เพราะอาจเป็นอันตรายแก่ตัวมันเองหรือผู้อื่น หากห้ามหรือสั่งกันไม่ได้เพราะไม่มี “นาย” ที่แท้จริงที่มันจะเชื่อฟัง ร้ายที่สุดคือการที่มันเข้าใจว่ามันเป็น “นาย” เพราะจะนำไปสู่สารพัดปัญหาอันเนื่องมาจากการที่ไม่อาจควบคุมมันได้
การเลี้ยงหมานั้นคล้ายกับสิ่งอื่นๆ ในชีวิต คือต้องทำควบคู่กันไปทั้ง “หัวใจ” และ “สมอง” หากใช้ “หัวใจ” อย่างเดียวตามใจหมาโดยไม่คำนึงถึงด้าน “สมอง” ในการควบคุมธรรมชาติของมันแล้ว การเลี้ยงหมาก็จะล้มเหลว ขาดความสุขทั้งสองฝ่าย และอาจเป็นภัยแก่ตัวหมาเอง รวมถึงเจ้าของและผู้อื่นด้วย
คอลัมน์: สารบำรุงสมอง
เรื่อง: รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ
ภาพ: www.freepik.com