หลายครั้งที่เราต้องร้องว้าวกับความสามารถของเด็กรุ่นใหม่ซึ่งอายุเพียง 10 – 20 ปี แต่มุ่งมั่นพัฒนาตัวเองเพื่อทำความฝันให้เป็นจริง จนผู้ใหญ่อย่างเราอดชื่นชมความเก่งและความแน่วแน่ของพวกเขาไม่ได้ เด็กหนุ่ม 5 คนนี้เป็นตัวอย่างคนรุ่นใหม่ที่ตั้งเป้าหมายอยากเป็นนักร้อง ไอดอล ศิลปิน พวกเขาฝึกฝนทั้งร้องทั้งเต้น ผ่านเวทีประกวดมากมาย จนทักษะและความพยายามและสามารถของพวกเขาโดดเด่นเตะตาผู้ชม กลายเป็นผู้ชนะรายการเซอร์ไวเวิล LAZ Icon (ลาซ ไอคอน) ไอคอนป๊อป ตัวท็อปเดบิวต์ ซึ่งเฟ้นหาผู้ที่จะเดบิวต์เป็นสมาชิกบอยแบนด์ ต้าห์อู๋ ออฟโรด ไดร์ม่อน เจลเลอร์ และเป็นต่อ คือผู้ชนะที่ได้เป็นบอยแบนด์นามว่า LAZ1 (ลาซวัน) บทสัมภาษณ์นี้จะพาไปรู้จักเรื่องราวการไต่เต้าเพื่อไขว่คว้าดาว อุปสรรคที่เผชิญ และความหวังของเด็กหนุ่มทั้ง 5 คนนี้
แนะนำตัวเองสักนิด
ต้าห์อู๋: สวัสดีครับ ผมต้าห์อู๋ ตอนนี้กำลังศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 อายุ 24 ปี จริงๆ ต้องเรียนจบตั้งแต่สามปีที่แล้ว แต่ผมดร็อปเรียนเพื่อไปแข่งรายการเซอร์ไวเวิลที่ประเทศจีน หนแรกที่ปักกิ่ง ทว่าเจอปิดประเทศเพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 กำลังจะกลับไปเรียน ปรากฏได้โอกาสแข่งรายการที่เซี่ยงไฮ้อีก อยู่ที่นั่นได้ 4 เดือน รายการก็ต้องพับโปรเจ็กต์เนื่องจากโควิด-19 อีกเช่นกัน ก็กลับไทย และมาถ่ายรายการ Laz Icon พร้อมกับเรียนไปด้วย รู้สึกว่าหนักเกินไปที่จะทำสองอย่าง เลยดร็อปไปอีกรอบครับ
ออฟโรด: ผมออฟโรด ตอนนี้อายุ 22 ปี เพิ่งจบปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม สาขาไฟแนนซ์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้เกียรตินิยมอันดับ 2 ขาดไป 0.02 ก็จะได้อันดับ 1 แล้ว เพราะทำงานด้วยเลยไม่สามารถจับปลาสองมือได้ ยอมทิ้งทุนเพื่อมาทำงานนี้ ผมได้ทุนสอบ CFA คล้ายๆ ใบอนุญาตของคนเรียนไฟแนนซ์ ผมสอบรอบแรกได้คะแนนพอประมาณ มีโอกาสสอบรอบสอง แต่ไม่มีเวลาอ่านหนังสือเลยทิ้งไปแล้วทุ่มเทกับงานวงการบันเทิงแทน
ไดร์ม่อน: ไดร์ม่อนครับ อายุ 16 ปี ตอนนี้เรียนม.5 กศน. ออกมาเรียนกศน. เพราะจะได้ทำงานเต็มที่
เจลเลอร์: เจลเลอร์ครับ อายุ 23 ปี ตอนนี้เรียนคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เพิ่งย้ายมาหลังจากเป็น LAZ1 ก่อนหน้านี้เรียนคณะมนุษยศาสตร์ ภาษาเกาหลีครับ
เป็นต่อ: เป็นต่ออายุ 23 ปี กำลังขึ้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยนานาชาติศึกษาเซี่ยงไฮ้ คือเรียนที่เซี่ยงไฮ้เลย แต่ตอนนี้เรียนออนไลน์เพราะกลับจีนไม่ได้ เรียนเกี่ยวกับการสอนภาษาจีน จริงๆ ต้องจบแล้วแต่มีช่วงที่ดร็อปไปเหมือนกัน
เคยผ่านเวทีประกวดหรือฝึกฝนอะไรก่อนเข้ารายการนี้
ออฟโรด: ผมตอบก่อน ศูนย์ครับ ไม่เคยเลย LAZ Icon เป็นเวทีแรก ผมไม่เคยเรียนร้องเพลง ส่วนเต้นเรียกว่าทักษะติดลบเลย ทั้งหมดที่เห็นคือฝึกจากในรายการ ตอนแรกที่เข้ามาโชคดีเขาแบ่งกลุ่มตามเกรด เราได้เจอเพื่อนที่ทักษะไม่ห่างกันมากก็ใจชื้น จนมีคลาสรวม ได้เจอเพื่อนคนอื่น ตอนแรกผมทำตัวไม่ถูกเลย โห รู้สึกนี่ไม่ใช่ที่ของฉัน สเตจแรกเพลง Fire ผมอยู่ทีมเดียวกับพี่อู๋พี่เจล ในทีมมี 5 คน 4 คนเต้นเก่งหมด ผมเต้นไม่ได้เลย ก็ต้องซ้อมเยอะกว่าคนอื่น แต่ลงท้ายภาพรวมก็ออกมาดี เพราะทุกคนช่วยกัน
เป็นต่อ: ตอนม.5 เคยประกวด To Be Number One Idol แต่ไม่ชนะหรือได้รางวัลอะไร จากนั้นไปเรียนต่อเลยไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับวงการนี้ จนเข้าบริษัทแล้วได้เรียนร้องเรียนเต้น และมาประกวดรายการ LAZ Icon
ต้าห์อู๋: ผมไม่เคยเรียนร้องเพลง แค่ร้องเพราะชอบและกลายเป็นสิ่งที่ถนัดเพราะร้องมาโดยตลอด ส่วนเต้นก็ไม่เคยเรียนจริงจัง ได้ฝึกช่วงเตรียมตัวก่อนไปแข่งรายการที่ประเทศจีน และไปฝึกเพิ่มอีกที่นั่น ช่วงนั้นทักษะพัฒนาแบบก้าวกระโดด เพราะผมโดนให้ไปอยู่คลาสแอดวานซ์เลย แล้วเป็นคนที่อ่อนสุดในนั้น กังวลแต่ก็ท้าทาย ต้องเต้นตามเขาให้ทัน ตอนร่วมรายการที่เซี่ยงไฮ้ได้ฝึกร่วมกับเพื่อนอีก 100 คน มาจากเกาหลี ญี่ปุ่น จีน บางคนฝึกนาน 12 ปี ช่วงนั้นผมเต้นเป็นบ้าเป็นหลัง วันหนึ่งไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมง การเจอเพื่อนเก่งยิ่งกระตุ้นให้พัฒนาตัวเอง แล้วก็มาฝึกเพิ่มเติมในรายการ LAZ Icon
เจลเลอร์: หลักๆ เจลประกวดคัฟเวอร์แดนซ์ หลายเวทีจนจำไม่ได้ ทั้งที่ไทยและเกาหลี มีได้รางวัลชนะเลิศด้วย และเคยไปออกรายการ Stage K ของเกาหลี แต่ละอีพีจะมีศิลปินตัวจริงมานั่งชมการแข่งขันคัฟเวอร์แดนซ์ เจลไปแข่งคัฟเวอร์ศิลปินกลุ่ม EXO แต่พอเราประกวดมาสักระยะเริ่มรู้สึกว่าต้องทำอะไรที่มากกว่าเต้นสิ เราจะเต้นไปตลอดชีวิตไม่ได้ เลยไปออดิชั่นเพื่อเป็นศิลปิน และเคยได้รวมตัวเป็นบอยแบนด์ แต่กระแสไม่ดีก็ยุบไป มารายการนี้เพื่อรีเซ็ตตัวเองอีกครั้ง
ไดร์ม่อน: ย้อนไปตอน ป.6 แม่บังคับให้เรียนเต้น เพราะอยากเสริมบุคลิกภาพ และสามารถนำไปต่อยอดได้ อันที่จริงผมชอบเต้นนะครับ แต่ในจังหวัดของผมเด็กผู้ชายที่เรียนเต้นมักถูกมองแปลกๆ ผมไม่ชอบและรู้สึกอาย ตอน ม.1 เลยเลิกเรียน มาเรียนกีตาร์และร้องเพลงเป็นหลัก ช่วงประถมประกวดร้องเพลงสากลของโรงเรียน ม.ต้น ประกวดวงดนตรีแข่งในระดับประเทศ และเคยประกวด The Star Idol แต่ผ่านแค่รอบแรก หลังจากนั้นพี่ทีมงานชวนให้ลองแข่งเวที LAZ Icon ต่อ เราก็ลองมาหาประสบการณ์
ความท้าทายของรายการ LAZ Icon คืออะไร
ออฟโรด: เวลาที่มีน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไม่มีทักษะมาก่อนอย่างผม ต้องใช้เวลาเรียนรู้มากกว่าคนอื่น แต่สิ่งซึ่งผมถือว่าเป็นข้อดีของรายการนี้คือผู้เข้าแข่งขันทั้ง 35 คน เป็นอันหนึ่งอันเดียว คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
เป็นต่อ: LAZ Icon เป็นรายการเซอร์ไวเวิลแรกในชีวิตของต่อ เราฝึกร้องฝึกเต้นมาแล้วก็จริง แต่เราไม่เคยนำมาใช้บนเวที และยิ่งเจอแสงไฟ เจอกล้อง ต้องมองหรือพูดยังไง ก็ต้องปรับตัว
ต้าห์อู๋: ผมไม่ค่อยมีความกดดัน เพราะการร้องการเต้นก็เป็นสิ่งที่ถนัดอยู่แล้ว และไม่ได้จดจ่อว่าต้องแข่งขันกับใคร โฟกัสที่การทำโชว์ออกมาให้ดี ไม่ใช่แค่เอาตัวเองรอด ภาพรวมต้องดีด้วย จึงแข่งขันด้วยความรู้สึกสนุก
เจลเลอร์: เวทีที่เจลแข่งมาตลอดคือคัฟเวอร์แดนซ์ เราสวมบทบาทเป็นคนอื่นเพื่อไปแข่ง แต่รายการนี้เราต้องเป็นตัวเอง เราต้องร้องเพลงและแสดงความสามารถที่พึงมีให้ผู้ชมเห็น เจลไม่เก่งขนาดนั้นจึงค่อนข้างกดดัน แต่เราก็งัดสิ่งที่ถนัดคือการเต้นมาเป็นตัวชูโรง
ไดร์ม่อน: สำหรับผมยากตรงที่ต้องฝึกตามที่เขากำหนดหรือต้องการ แล้วมีแต่คนเก่ง ทักษะเราสู้พี่ๆ ไม่ได้หรอก จึงไม่ได้หวังจะชนะ คิดแค่มาหาประสบการณ์
โชว์ไหนที่ยังอยู่ในความทรงจำ
ต้าห์อู๋: ของผมเป็นเพลง ถ้าเธอรักฉันจริง เป็นโชว์ที่ยากที่สุด คือผมเป็นทีมสุดท้ายที่ได้เลือกเพื่อนร่วมทีม เท่ากับว่าทีมอื่นเลือกไปก่อนและเราไม่ได้เลือก รวมทั้งเพลงที่ใช้โชว์ก็ไม่ได้เลือก น้องในทีมเก่งแต่ประสบการณ์น้อย และมีสไตล์ที่แตกต่าง โชคดีที่น้องๆ พยายามปรับตัว ถ้าพูดถึงทักษะเรื่องเต้นเราแทบจะสู้กับทีมอื่นยาก แต่ดีที่เด่นเรื่องการร้องและความแตกต่างของสไตล์ ภาพรวมจึงออกมาดูดี
ออฟโรด: โชว์ที่ผมชอบคือเพลง Perhaps Love ผมไม่ค่อยฟังเพลงเกาหลี แถมต้องมาร้องด้วยยิ่งยาก แต่ชอบคอนเซ็ปต์ของโชว์สไตล์คุณชาย เราเป็นตุ๊กตาไขลานอยู่ในพิพิธภัณฑ์ พอถึงเวลาเปิดเพลงปุ๊บ ตุ๊กตาก็จะหมุน ขยับตัว น่ารัก ย้อนดูกี่รอบก็รู้สึกอบอุ่น
เป็นต่อ: ต่อชอบ คั่นกู เป็นโชว์แรกในรายการ ทุกคนใหม่หมด แต่เราจูนกันติด ทำโชว์ด้วยกันแล้วสบายใจ อีกโชว์ที่ยากมากคือ Love Shot เป็นเพลงเกาหลีซึ่งต่อไม่ค่อยฟัง เพราะเราฟังเพลงจีนเสียมากกว่า แล้วปกติภาพของต่อออกแนวสดใส น่ารัก ต่อคุยกับเพื่อนในทีมว่าเราลองเปลี่ยนสไตล์ดีไหม ลองเซ็กซี่บ้างเลยเลือกเพลงนี้ เลือกไปแล้วยังมานั่งเครียดว่าเลือกทำไมเนี่ย บ่นกันอยู่หลายวัน แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำให้ดี ระหว่างซ้อมก็มีอุปสรรคมากมาย เรายังไม่กล้าโชว์ความเซ็กซี่ แต่คนรอบข้างเชื่อว่าเราทำได้ จึงค่อยๆ ปลดล็อกทีละขั้นๆ เรียกว่าโชว์ Love Shot ส่งผลถึงทุกวันนี้ เพราะตอนนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองเซ็กซี่อยู่พอสมควร (หัวเราะ)
เจลเลอร์: ของเจลคือ วัดปะหล่ะ ทีมเราดีมาก ถูกเรียกว่าทีมอเวนเจอร์ เพราะรวมคนเก่งแต่ละด้านไว้ ชอบการทำงานกับทีมนี้ อีกโชว์ที่ชอบคือ So What เป็นการเต้นที่เจลถนัดจึงทำออกมาเป็นที่พอใจครับ
ไดร์ม่อน: ผมชอบ คุณและคุณเท่านั้น เป็นโชว์แรกของรายการนี้ เราเต็มไปด้วยความเขินอาย ตื่นเต้น ประทับใจ อีกเพลงที่ชอบคือ รู้งี้เป็นแฟนกันตั้งนานแล้ว ได้ทำงานกับเพื่อนแก๊งโคโดโมะ อายุ 16-19 ปี รวมตัวกันแล้วสนุกดี ส่วนโชว์ที่ยากยกให้ คุกเข่า ซึ่งเป็นเพลงของพี่โอม ค็อกเทล ร้องร่วมกับพี่เติร์ด ทิลลี่เบิร์ด ค่อนข้างกดดัน เราตั้งความหวังอยากทำออกมาให้ดี
ก่อนจะสัมผัสรสชาติแห่งชัยชนะ อยากให้เล่าถึงประสบการณ์เป็นผู้แพ้
ไดร์ม่อน: ของผมน่าจะเป็นเวที The Star Idol ผมเป็นคนเสียงต่ำ พอร้องเสียงสูงปรี๊ดก็เพี้ยนกลางเวทีเลยตกรอบ ตอนนั้นเสียงกำลังแตกหนุ่มด้วย ก็กลับมาฝึกซ้อมให้มาก เข้าใจสรีระตัวเองให้ดีขึ้น ถามว่าเสียใจไหม ตอนนั้นไม่เท่าไหร่ เพราะรู้ตัวว่าตกรอบแน่ ประจวบกับมีรายการ LAZ Icon ต่อด้วย จึงไม่ได้โฟกัสที่ความล้มเหลวของเวทีก่อนหน้า
เจลเลอร์: ถ้าแพ้เจลจะไม่คิดมาก แพ้ก็แค่แพ้ กลับมาฝึกฝนตัวเองให้ดีขึ้น อาจไม่ต้องซ้อมหนักกว่าเดิม แค่ละเอียดขึ้นเท่านั้นเอง แต่มีครั้งหนึ่งเรียกว่านอยด์สุดๆ ผมกำลังได้ไปแข่งขันรายการที่ประเทศจีน เตรียมทุกอย่างแล้ว รายชื่อเราก็อยู่ในรายการแล้ว เหลือแค่เดินทางไปถ่ายทำ ปรากฏวีซ่าไม่ผ่าน ไปไม่ได้ ผมเซ็ง หมดไฟเป็นเดือนเลย ไม่อยากร้องเพลงอีกแล้ว สัญญากับค่ายเก่าก็ปล่อยไว้อย่างนั้น แต่ลงท้ายก็พยายามดึงตัวเองให้ลุกขึ้นมา เจลไม่ชอบบรรยากาศอึมครึมจึงไม่อยากสร้างบรรยากาศแบบนั้นแก่ผู้อื่นที่เข้าใกล้เรา เลยพยายามรีเซ็ตตัวเองใหม่
เป็นต่อ: ตอนที่เรียนมัธยมต่อได้ไปแข่งหลายอย่าง แข่งร้องเพลงจีน แข่งโน่นนี่ แต่ไม่ค่อยชนะกับเขา (หัวเราะ) เคยมีประกาศผลผิดด้วยนะ ประกาศว่าเราชนะแต่ลงท้ายเปลี่ยนเป็นอีกคน ถามว่าเสียใจไหม ก็ไม่จมดิ่งมาก เพราะต่อเป็นคนไม่ทะเยอทะยาน แต่มีฉุกคิดว่า ถ้าเราไปยืนแทนผู้ชนะตรงนั้นได้ก็คงดี และมีความรู้สึกในใจเล็กๆ ว่า เราไม่เป็นที่ยอมรับ แต่ด้วยความที่ต่อไม่คาดหวังสูงเพราะกลัวตัวเองจะผิดหวัง ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร จึงสู้ต่อ พัฒนาต่อ เป็นต่อต้องสู้ต่อ (หัวเราะ)
ต้าห์อู๋: ผมมีทัศนคติว่าทุกครั้งที่พลาดหรือแพ้อย่างน้อยเราก็ได้ทำสิ่งที่รัก และผมค่อนข้างมูฟออนเร็ว ตอนที่ไปถึงจีนแล้วไม่ได้ถ่ายทำ ถามว่าเสียใจไหม เสียใจ แต่ไม่มานั่งร้องไห้ฟูมฟาย คิดเพียงว่าชีวิตต้องทำอะไรต่อจากนี้ เอาทุกอย่างมาเป็นบทเรียนแล้วมองไปข้างหน้า เตรียมตัวเองให้พร้อมกับโอกาสใหม่ แม้จะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม การที่ผมพลาดโอกาสมาหลายๆ ครั้ง ทำให้ผมแข็งแกร่งกว่าเดิมอย่างรวดเร็ว และผมเป็นคนชอบเอาชนะ คือไม่ยอมแพ้กับทุกเรื่อง ถ้ามีใครมาสบประมาท หรือโอ้อวดความเก่งให้เราฟัง หรือท้าทายเรา ผมจะนั่งเงียบๆ แล้วคิดในใจว่าต้องเอาชนะเขาให้ได้ เจอกันอีกทีผมไปไกลถึงโน่นแล้ว และด้วยนิสัยนี้ผมจึงพยายามเอาชนะแม้แต่ตัวเองในทุกวัน ต้องทำให้ดีกว่าเมื่อวาน เพราะถ้าเราอยู่เฉยๆ หรือเดินช้าๆ อาจมีคนแซงเราเข้าสักวัน ด้วยความคิดชอบเอาชนะนี้จึงผลักให้เราวิ่งไปข้างหน้าอยู่ตลอด
เมื่อเป็นผู้ชนะรายการ LAZ Icon แล้ว รสชาติของชัยชนะนี้เป็นอย่างไร
ออฟโรด: ถามว่าดีใจไหม ณ วันนั้นดีใจ แต่ความรู้สึกต่อมาคือแล้วต้องทำไรต่อวะ พวกเราต้องเดบิวต์เป็นศิลปินทันที แล้วผมทักษะอ่อนกว่าคนอื่น จะทำยังไงให้พัฒนาตัวเองได้ทัน เป็นแรงกดดันคนละแบบกับในรายการ แล้วผมจะไม่ยอมให้ภาพออกไปไม่ดี ยังไงก็ต้องทำให้สำเร็จ จนบางครั้งเพื่อนต้องคอยเตือนให้ลดความกดดันลงบ้าง จึงเป็นชัยชนะที่แฝงความรู้สึกซับซ้อน ทั้งดีใจและหนักใจกับสิ่งที่ต้องเผชิญ
เป็นต่อ: รสชาติชัยชนะนี้คิดว่าเป็นรสนัว (หัวเราะ) เราถูกเลือกให้ติด 1 ใน 5 จากการโหวต ก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นที่ยอมรับ คนมองเห็นและยอมรับศักยภาพของต่อ และพอเข้ามาทำงานก็สนุกมาก ทุกงานคือประสบการณ์ใหม่ แม้บางครั้งจะเจอรสเผ็ดที่มาจากความเหนื่อยบ้าง เจ็บบ้าง แต่ลงท้ายเราก็อยากกินต่อ เพราะมันอร่อย
ต้าห์อู๋: ตั้งแต่ชนะผมก็ได้ทำงานที่ชอบ ทั้งการอยู่บนเวที การร้องเพลง การเอนเตอร์เทน แต่ละวันแม้จะเหนื่อยทว่ามีความสุข ดีใจที่คนยอมรับในความสามารถของผม ผมไม่ใช่คนหน้าตาดี ถ้าเทียบกับมาตรฐานสังคมแล้ว ผมไม่อยู่ในเกณฑ์นั้น และเคยถูกปฏิบัติต่างจากคนหน้าตาดี ผมคิดมาตลอดว่าสักวันหนึ่งจะใช้ความสามารถเอาชนะการเลือกปฏิบัตินี้ สักวันหนึ่งคนที่เคยปฏิบัติไม่ดีกับเราเพราะหน้าตาจะต้องเปลี่ยนท่าที แล้วการได้เป็น LAZ1 ก็พิสูจน์ว่าความสามารถพาผมให้มายืนอยู่ตรงนี้ได้สำเร็จ ดีใจมากกว่าการชมว่าหล่อหรือน่ารักคือการชมว่าผมร้องเพลงดี
เจลเลอร์: แรกเริ่มที่แข่งเจลไม่จริงจัง แต่พอแข่งไปสักพักก็ทุ่มเทมากขึ้น และแบกความรู้สึกหลายอย่างไว้ตลอดการแข่ง เจลคิดเสมอว่าการแข่งขันนี้คือโอกาสสุดท้ายของเรา เพราะอายุ 23 ปี สำหรับการเป็นไอดอลค่อนข้างเยอะแล้ว ถ้ายังไม่สำเร็จอีกก็คงพอ การติด 1 ใน 5 นี้เหมือนการไขกุญแจประตูที่ขังเราไว้ได้สำเร็จ เจลแทบไม่เคยผ่านออดิชั่นที่เฟ้นหาศิลปินเลย แล้วพอเห็นกราฟความนิยมของเจลที่เพิ่มขึ้นๆ ทุกสัปดาห์ รู้สึกหายเหนื่อย เหมือนไขกุญแจแล้วเปิดเจอห้องนอนสบาย โล่ง ขอบคุณตัวเองที่สู้จนถึงที่สุด ขอบคุณทุกอย่างที่เกิดขึ้นในรายการแล้วเป็นประสบการณ์ให้เราได้เรียนรู้
อะไรคือสิ่งที่ผลักดันให้ไม่หยุดตามฝันแม้เจอกับอุปสรรค
ออฟโรด: แฟนคลับครับ
เจลเลอร์: คำตอบของเจลคือความผิดพลาด เจลไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก และเจลรู้ว่ามีคนที่ดูเราอยู่ทั้งครอบครัวและแฟนคลับ เป็นเหตุผลให้เจลยังไม่หยุด
ไดร์ม่อน: ผมอยากเข้าวงการเร็ว คิดว่าถ้าไม่รีบทำตอนที่ยังมีไฟ หรือรอโตกว่านี้ความคิดของผมอาจเปลี่ยน อาจไม่อยากทำงานตรงนี้แล้ว และผมอยู่กับแม่สองคน แม่สนับสนุนทุกอย่าง คอยขับรถรับส่งตลอด ถ้าได้เป็นศิลปิน ได้เป็นนักร้องสำเร็จ ชีวิตก็คงสบายขึ้น
ต้าห์อู๋: ตัวเองครับ ต้องขอบคุณตัวเองเป็นอันดับแรกที่สู้มาจนถึงตอนนี้ เพราะถ้ายอมแพ้ไปตั้งแต่ 3 ปี 5 ปี ที่แล้วคงไม่ได้มานั่งตรงนี้ นอกจากตัวเองยังมีครอบครัวที่สนับสนุนกันตลอด เลยมีแรงลุกขึ้นมาทำสิ่งที่ชอบ จนพาตัวเองถึงจุดนี้
เป็นต่อ: ต่อคิดว่าเป็นความชอบ เป็น passion ต่อเป็นคนไม่ค่อยทะเยอทะยาน ไฟไม่แรงเท่าคนอื่น แต่สิ่งที่ผลักให้เรามาได้จนถึงวันนี้คือความชอบล้วนๆ ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ก็ตาม แค่อยากขึ้นไปร้องเพลง ไปแสดงบนเวที
เอกลักษณ์ของวง LAZ1
ต้าห์อู๋: พวกเรามาจากรายการแข่งขันเซอร์ไวเวิล แฟนๆ เห็นพวกเราตั้งแต่ยังเป็น nobody นิสัยหรือตัวตนของเราที่เคยเห็นยังไงก็ยังเป็นอย่างนั้น ไม่ผ่านการสร้างหรือวางแคแรกเตอร์ให้เป็น ด้วยความที่เราห้าคนเป็นตัวของตัวเองจึงมีความหลากหลายในวงของเรา อย่างที่ต่อบอกเป็นรสนัว มีทั้งเผ็ด เปรี้ยว เค็ม หวาน อีกด้านที่เราโดดเด่นคือการร้อง ทุกคนร้องเพลงดี ไดร์ม่อนมีน้ำเสียงเป็นเอกลักษณ์ สามารถเป็นนักร้องหลักที่ดีในอนาคต เป็นต่อเด่นเรื่องการร้องเหมือนกัน ออฟโรดที่เพิ่งเทรนก็มีเนื้อเสียงที่แข็งแรง แม้แต่เจลเลอร์ที่ถนัดเต้นก็ยังร้องเพลงเพราะ
เจลเลอร์: เรายังเป็นคณะตลกอีกด้วย ง่วงๆ คือดีแล้ว ไม่อย่างนั้นพูดไม่หยุด
ความประทับใจที่มีต่อสมาชิกในวง
ต้าห์อู๋: เป็นต่อเป็นคนที่เปลี่ยนลุคได้หลายแบบ เท่ก็ได้ หรือสวยก็แซ่บสะบัด แคแรกเตอร์ชัด เรียนก็เก่ง ภาษาจีนดีถึงขั้น native speaker หรือเจ้าของภาษา ภาษาอังกฤษก็ได้ ไทยก็ใช่ย่อย แล้วตอนนี้ยังเรียนภาษาที่สี่คือญี่ปุ่นอีก นอกจากนั้นในด้านนิสัย เป็นคนอ่านสถานการณ์ออกเร็ว มองเห็นภาพรวม เข้าใจโลก ฉลาดใช้ชีวิต ลอยตัวเหนือดราม่า และเป็นคนจัดการชีวิตตัวเองเก่ง ขยัน สามารถเรียนและทำหลายๆ อย่างพร้อมกันได้ดี
เป็นต่อ: พี่เจลเป็นคนเก่ง เรื่องเต้นไม่มีอะไรต้องอธิบายมาก ยังแรปและร้องได้ด้วย เป็นไอดอลที่ครบเครื่องคนหนึ่ง ในส่วนของนิสัย พี่เจลเป็นคนใจเย็นกว่าสี่คนในวงที่ค่อนข้างดุเดือด ตอนซ้อมอาจมีปะทะกันบ้าง แต่พี่เจลจะเป็นน้ำเย็นที่สาดเข้ามา คอยไกล่เกลี่ย เป็นพี่ที่พึ่งพาได้ และยังเป็นป๋าที่ชอบออกเงินให้ก่อน (หัวเราะ)
เจลเลอร์: ต้าห์อู๋มีความเป็นผู้นำ แก้ปัญหาเก่ง คนอื่นหาทางออกไม่ได้ แต่เขาทำได้ เป็นคนไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ สู้ชีวิตมาก โชคชะตาชอบกลั่นแกล้ง ไม่เข้าข้าง แต่เขาก็สู้ และผ่านไปได้ด้วยความแข็งแกร่งของเขา ถ้าเป็นเราบางทียอมแพ้ไปแล้ว ฉลาดด้วย หลายอย่างในตัวอู๋สามารถนำมาปรับใช้ได้ บางอย่างเจลจำจากอู๋ แต่บางอย่างก็ไม่เอาดีกว่า (หัวเราะ)
ไดร์ม่อน: ส่วนพี่ออฟโรดนั้นเป็นคนมีความพยายามครับ ซีเรียส จริงจังกับทุกสิ่งที่ทำ อดทน ถ้าซ้อมกันแล้วพี่ออฟโรดทำไม่ได้ เขาจะเก็บไว้เป็นการบ้าน ไปฝึกจนได้ และพี่เขาเป็นคนมีเหตุผลมาก คิด วิเคราะห์ วันไหนที่ผมอยากได้ความเห็นที่เป็นตรรกะจะคุยกับพี่เขา เขาความรู้เยอะ ถามอะไรรู้หมดเลย ใช้ชีวิตแบบวางแผน จะตื่นกี่โมง กินข้าวตอนไหน แล้วนอนตอนกี่โมง
ออฟโรด: ไดร์ม่อนรักในสิ่งที่ทำ รักการร้องเพลง รักการโชว์บนเวที นิสัยเหมือนจะชิลล์ๆ ไม่สนใจอะไร แต่จริงๆ เขาฟังอยู่นะ และยังกลับไปทำการบ้าน ไปคิดต่อด้วย มีความคิดเป็นผู้ใหญ่พอตัวเลย เป็นคนที่แคร์คนอื่น เก็บรายละเอียด และคอยช่วยเหลือคนอื่น เป็นน้องที่จริงใจครับ
อนาคตที่วาดภาพไว้ของแต่ละคน
เจลเลอร์: สำหรับ LAZ1 เจลอยากมีคอนเสิร์ตแบบไอดอลที่เราชื่นชอบบ้าง ส่วนอนาคตที่ไกลกว่านั้นยังไม่แน่ใจว่าจะทำอะไรดี
ไดร์ม่อน: ความฝันของผมจริงๆ คืออยากเป็นโปรดิวเซอร์ ทำเพลงให้ตัวเองและคนอื่น ผมมองว่าการทำงานวงการบันเทิงของผมจะช่วยสร้างสายสัมพันธ์กับคนทำงาน กับดารานักร้องคนอื่นๆ ในอนาคตอาจช่วยเพิ่มโอกาสให้ความฝันนี้เป็นจริง หรือทำงานง่ายขึ้น
ออฟโรด: ผมอยากมุ่งด้านการแสดง ผมเริ่มต้นจากการแสดง และชอบศาสตร์นี้ รู้สึกว่าการเป็นนักแสดงนั้นคุ้ม มีโอกาสลองทำอะไรใหม่ๆ เป็นได้หลากหลายอาชีพ และการลองอะไรใหม่ๆ ถือเป็นการค้นหาตัวเองด้วย ได้รู้ว่าชอบหรือไม่ชอบ ถนัดหรือไม่ถนัดอะไร ในอนาคตอยากเป็นนักแสดงที่เก่งขึ้น มีผลงานน่าจดจำ ส่วนวิชาที่เรียนมานั้น ถึงจะไม่ได้ประกอบอาชีพนั้นโดยตรง แต่สามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตได้ เรามีความรู้พื้นฐานสำหรับการเลือกผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ รู้ว่าอันไหนเสี่ยง อันไหนควรซื้อหรือขายตอนไหนครับ
เป็นต่อ: จริงๆ ก่อนหน้านี้ที่บริษัทเคยเรียกต่อไปคุยแล้วถามว่าอยากมุ่งไปทางไหน นักแสดงหรือนักร้อง ถ้าถามใจตอนนี้ยังรักการร้องและเต้นบนเวทีอยู่ แต่ถ้ามีงานแสดงก็อยากทำ คิดว่าสามารถทำควบคู่กันไปได้
ต้าห์อู๋: ผมคงเตรียมตัวให้พร้อมรับโอกาสต่างๆ ผมไม่สามารถวางแผนได้ว่าจะมีอะไรเข้ามาบ้าง ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของผู้ใหญ่ แต่ก็พร้อมรับโอกาสเสมอ ลุยเต็มที่กับวันนี้และวันข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นด้านการแสดง พิธีกร หรือร้องเพลง