ด้วยความสำเร็จของเด็กไทยหลายคนที่โกอินเตอร์จนโด่งดังเป็นศิลปินระดับโลก และอีกหลายคนที่แม้ไม่ได้ไปเดบิวต์ต่างประเทศ แต่ก็เป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จในไทย กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กรุ่นใหม่มีฝันที่อยากเจริญรอยตาม แน่นอนว่ากว่าจะไปถึงเป้าหมายย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องฝึกฝนอย่างทุ่มสุดตัว ต้องน้ำตาร่วงครั้งแล้วครั้งเล่า สัมผัสความรู้สึกเจ็บใจ ผิดหวัง และสมหวังตั้งแต่อายุยังน้อย เส้นทางกว่าจะเป็นดาวนั้นจึงเป็นเรื่องเล่าที่สร้างแรงบันดาลใจและเรียนรู้ชีวิตได้เป็นอย่างดี ช่อง One 31 จึงเกิดโพรเจกต์ละคร ลัดฟ้าล่าฝัน Across the Sky ถ่ายทอดเรื่องราวการตามล่าฝันของเด็กวัยรุ่น ซึ่งมีทั้งสุข-ทุกข์ และแน่นอนว่าคงไม่มีใครสวมบทบาทได้ดีกว่ากลุ่มเด็กที่ต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคโดยตรง เรื่องนี้จึงรวมเอานักแสดงกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่เคยผ่านเวทีประกวด Laz Icon, The Star Idol และ The Golden Song ดาวรุ่งสายร้องเพลงสากลและลูกทุ่ง สายเต้นและสายการแสดง ไว้ด้วยกัน อีกทั้งบอสใหญ่ ‘บอย’ ถกลเกียรติ วีรวรรณ ยังลงมือกำกับการแสดงเอง
นักแสดงนำของละครเรื่องนี้ ได้แก่ ‘บอส’ บูลเศรษฐ์ ภูสินโชควงศา จากเวทีประกวด Laz Icon ‘เอินเอิน’ ฟาติมา เดชะวลีกุล จากเวทีประกวด The Star Idol และ ‘ไดร์ม่อน’ ณรกร ณิชกุลธนโชติ ผู้ชนะจากเวที Laz Icon สมาชิกวง LAZ1 Young Blood ทั้งสามคนที่พร้อมมุ่งหน้าคว้าฝัน
‘บอส’ บูลเศรษฐ์ ภูสินโชควงศา
เราเริ่มต้นสนทนากับพระเอก หน้าใหม่เอี่ยมในบรรดานักแสดงนำสามคนของเรื่อง เพราะนี่คือผลงานชิ้นแรกในวงการบันเทิงหลังจากจบการประกวดเวที Laz Icon
“ผมในวัยเด็กเป็นเด็กไฮเปอร์ ตอนประถมครูมักโทร.มาฟ้องแม่ น้องอยู่ไม่นิ่งค่ะ น้องชอบเดินทั่วห้องเรียน ไม่เกเร แต่แสบตามประสาเด็กผู้ชาย ยกตัวอย่าง มีหนหนึ่งผมไม่ได้ตั้งใจ แค่จะหยอกเพื่อนเล่นๆ แต่เพื่อนไปชนร่องประตู ผมเลยโดนเรียกเข้าห้องปกครอง ผมก็สำนึกผิด เราไม่มีเจตนาทำร้ายร่างกายจริงๆ แค่เล่นกันแรงแล้วพลาด หลังจากนั้นผมเลยโดนมองเป็นตัวแสบของโรงเรียน” ทว่าบอสในวัย 18 ปี ก็สลัดคราบเด็กแสบ เติบโตและจริงจังกับชีวิตมากขึ้น
ทั้งที่เจ้าตัวไม่เคยใฝ่ฝันว่าจะเป็นศิลปิน แต่คุณแม่กลับเห็นแววและคอยผลักดันเขา “ผมไม่เคยคิดอยากเป็นศิลปินเลยครับ แต่ถามว่ามีความใฝ่ฝันอะไร ก็ไม่มีเป็นพิเศษ รู้แค่ว่าไม่ชอบนั่งเรียนนิ่งๆ ชอบทำกิจกรรม ชอบช่วยแม่ทำงาน แม่ผมทำหลายอาชีพ ทั้งขายส้มตำ ขายกาแฟ ขายอาหาร ซึ่งผมมักไปช่วย ไม่เคยเรียนร้องเพลงหรือเรียนเต้นที่ไหนเลย ไม่เคยประกวดด้วย ส่วนมากเป็นน้องสาว ผมก็แค่โดนบังคับขึ้นไปร้องเพลงด้วย รายการ Laz Icon เริ่มจากมีคนแนะนำแม่ว่ามีรายการนี้นะ แม่ก็ผลักดันอยากให้ไปสมัคร เพราะตลอดมาแม่มักบอกว่าบอสชอบร้องเพลงนะ แต่บอสขี้อายเลยไม่รู้ตัว ผมก็สมัครไป ไม่คิดว่าตัวเองจะติด
“พอเข้าไปอยู่ในรายการ เหมือนเราอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้เก่งขึ้น แรกเริ่มผมอาจไม่ชอบ แต่พอลงมือทำ และมีเพื่อนๆ ร่วมเส้นทางไปด้วยกัน ก็สนุกและชอบเต้น จนอยากพัฒนาให้เก่งขึ้นเร็วๆ ผมเลยทุ่มเทเวลาซ้อม จนการเต้นคือทักษะที่มั่นใจที่สุดครับ”
ทว่าบอสก็ไม่บรรลุการเป็นหนึ่งในผู้ชนะและเดบิวต์ในนามวง Laz1 เขาเล่าให้เราฟังถึงวินาทีที่ต้องลงจากเวทีและสิ่งที่ทำหลังจากนั้น “ผมไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะเป็น Laz1 เลยนะครับ เพราะมีคนที่คู่ควรกว่าผม เราเพิ่งฝึกฝนจึงรู้สึกว่าไม่พร้อมเป็นผู้ชนะ แค่ตั้งใจเรียนรู้จากรายการนี้ให้คุ้มค่า ทำสิ่งที่ทำให้ดีที่สุด แม้จะเตรียมใจไว้ แต่วันที่ตกรอบจริงๆ ก็เกิดความรู้สึกอย่างไม่คาดคิด ที่จริงผมเป็นคนร้องไห้ยาก และไม่คิดว่าจะเสียน้ำตา แต่วันนั้นไม่ใช่น้ำตาแห่งความเสียใจที่แพ้ แต่เสียใจที่ต้องจากเพื่อนๆ พี่ๆ ตอนประกาศชื่อผมยังโอเคนะ แต่พอมองไปเจอพี่อู๋ พี่ออฟโรด ก็กลั้นไม่ไหว ยิ่งตอนเบรกรายการแล้วเพื่อนวิ่งมากอด เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
“หลังจากจบรายการผมก็ยังซ้อมร้องซ้อมเต้นต่อ ผมไม่อยากทิ้ง เราสัญญากับเพื่อนๆ แฟนๆ กรรมการว่าจะไม่หยุดพัฒนา อยากให้เขาได้เห็นเราที่เก่งขึ้น ถามว่ามีแผนในใจไหมว่าจะเอายังไงต่อ เราปักธงจะเก่งให้ได้ แต่ไม่มีแผนอื่นนอกเหนือจากนี้ แค่เตรียมตัวเองให้พร้อมกับทุกโอกาสที่จะเข้ามา”
โอกาสก็ไม่ปล่อยให้หนุ่มบอสต้องคอยนาน เขาได้เข้าร่วมโพรเจกต์ละครลัดฟ้าล่าฝัน รับบท ‘สกาย’ ตัวเอกของเรื่อง “ก่อนถึงวันแคสต์มีประชุมกันผ่านซูม ผมคาดว่าคงมีคนประชุมไม่กี่คน ปรากฏเปิดเข้าไปเจอคนที่จะเข้าร่วมแคสติงจำนวน 70-80 คน ตกใจมาก ผมต้องเจอใครบ้างเนี่ย ตอนที่แคสต์บทบาทสกายก็เกิดความรู้สึกว่า อยากพาเขาไปถึงฝั่งฝันจังเลย ถ้าเราได้รับเลือกในบทนี้ก็อยากทำให้สำเร็จ พอประกาศผลว่าผมได้รับเลือก 3 วินาทีแรกดีใจมาก แต่หลังจากนั้น เฮ้ย แล้วจะทำยังไงดี มีแต่คนเก่งๆ ทางนั้นก็แชมป์ The Golden song ทางนี้ก็แชมป์ The Star Idol แชมป์ Laz Icon แล้วเราหน้าใหม่มาก ทั้งกดดัน ทั้งกลัว โทร.หาครูสอนเต้นเลยครับ เราพยายามจะทำอะไรก็ได้เพื่อให้เก่งขึ้นในเวลาสั้นๆ ซึ่งก็เร่งรัดเกินไป
“ละครเรื่องนี้พูดถึงกลุ่มคนมีฝันที่อยากเป็นศิลปินเหมือนกัน แต่ละแคแรกเตอร์ก็มีอุปสรรคแตกต่างกัน ของผมเป็นอุปสรรคด้านครอบครัว เหมือนชีวิตจริงที่แต่ละคนต้องเจออุปสรรคของตัวเอง ทว่าจะจัดการและก้าวผ่านยังไง ผมรับบท ‘สกาย’ ตัวละครตัวนี้เป็นคนที่มุ่งมั่นกับความฝันมากๆ เขาอยากเป็นศิลปินเหมือนพ่อ และพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เป็น พร้อมชนทุกปัญหา เป็นสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากบทนี้ เพราะตัวผมขี้อาย ไม่ค่อยมั่นใจ ส่วนด้านที่เหมือนคือมุ่งมั่นกับความฝัน
“จุดเด่นของละครเรื่องนี้ คือมีซีนเพอร์ฟอร์แมนซ์ ต้องร้อง เต้น แสดง พร้อมกัน แล้วเราต้องแสดงให้ลื่นไหล นี่ยังไม่นับเรื่องบล็อกกิง เรื่องกล้องที่ต้องรับหน้า คิวแรกผมสติแตกเลยครับ ไม่รู้จะโฟกัสอะไรก่อนหลัง ต้องเตรียมตัวซ้อมอย่างหนักแบบถึงกองถ่ายต้องจำท่าได้แล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้ทุกครั้ง บางทีเราถ่ายทำติดต่อกันจนไม่มีเวลาซ้อม ก็จะมีการฟรีสไตล์เกิดขึ้นบ้าง (หัวเราะ)”
อีกความประทับใจของหนุ่มบอสคือการได้ร่วมงานกับพี่ ‘บอย’ ถกลเกียรติ “พี่บอยใส่ใจทุกอย่าง ทำงานละเอียดมาก และจริงจังกับคนดู ถ้าซีนไหนไม่ได้ พี่บอยก็คอยเค้นจนกว่าจะได้ ไม่ปล่อยผ่าน ทำทุกซีนให้เต็มที่พี่บอยยังสอนพวกผมทั้งเรื่องงานและการใช้ชีวิต เขาพูดกับผมเสมอว่าสิ่งสำคัญคือการให้ ไม่ต้องหวังผล แค่เราให้ด้วยใจจริง แล้ววันหนึ่งจะเห็นผลเอง” นอกจากนั้นหนุ่มบอสยังประทับใจมิตรภาพในกองถ่าย ที่เพื่อนๆ นักแสดงต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ใครเก่งด้านไหนก็ช่วยแนะนำ ช่วยสอนเพื่อนที่อ่อนกว่า ไม่อยู่อย่างตัวใครตัวมัน
“ผมอยากเป็นเสาหลักของครอบครัว” นี่คือความใฝ่ฝันสูงสุด ณ เวลานี้ของบอส “ทุกวันนี้ผมทำได้แค่แบ่งเบาภาระ แต่ยังไม่สามารถดูแลได้ทั้งหมด ผมก็อยากทำให้ได้ในวันหนึ่งข้างหน้า ตั้งแต่เด็กผมเห็นแม่ทำงานตลอด แล้วเรายังไปป่วนเขา จนโดนดุบ่อย ผมไม่เข้าใจว่าเขาเครียดจากงานอยู่ พอโตขึ้นและคิดได้ก็อยากตอบแทน อยากให้แม่สบาย” นอกจากครอบครัวที่เป็นเป้าหมายหลักแล้ว บอสยังฝันอยากพัฒนาฝีมือจนคนดูยอมรับในความสามารถ ไม่อยากเป็นแค่นักแสดงที่โดนครหาว่าดีแค่หน้าตา อยากเป็นตัวจริงของวงการ ไม่ต้องการแค่กระแสฉาบฉวย
‘เอินเอิน’ ฟาติมา เดชะวลีกุล
เอินเอิน จากเวทีประกวด The Star Idol แม้จะเป็นนางเอกหน้าใหม่ แต่ก็เคยผ่านการแสดงซีรีส์ ผลงานลัดฟ้าล่าฝันจึงเป็นการแสดงเรื่องที่สอง ปัจจุบันเอินเอินอายุ 18 ปี ศึกษาชั้นปีที่ 3 วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล สาวน้อยคนนี้มาพร้อมเรื่องราวสุดว้าว ทั้งการเคยไปเรียนที่อินเดีย และความสามารถพิเศษด้านกีตาร์คลาสสิก ที่ได้ไปแข่งเวทีระดับโลก
“หนูไม่ได้อยากไปเรียนอินเดียเลย แต่พี่ชายไปแล้วเห็นว่าน่าจะดีกับน้อง น้องอีกสามคนเลยต้องไปตาม” เอินเอินเล่าเริ่มต้นเล่าความรู้สึกการเรียนต่างประเทศครั้งแรก “เรียนจบ ป.6 ก็ไปเลย ที่นั่นเป็นโรงเรียนประจำ ห้ามพูดภาษาไทย พี่น้องเจอกันได้อาทิตย์ละครั้ง แบ่งชาย-หญิง เราคุยได้แค่เพื่อนผู้หญิงเท่านั้น แต่ต่อให้เป็นพี่สาวก็แค่ทักทายกันตอนกินข้าว ส่วนพี่ชายเจอได้วันอาทิตย์เย็นเท่านั้น กฎระเบียบค่อนข้างเคร่งครัด ไม่อนุญาตให้พกโทรศัพท์มือถือ ตอนหนูไปพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ที่นั่นเรียนเป็นภาษาอังกฤษ ถ้าเป็นเด็กเรียนเมืองนอกคนอื่นคงใช้ google translate แต่หนูต้องพกดิกชันนารีเป็นเล่ม กับสมุดจดอีกหนึ่งเล่ม พกไปทุกหนทุกแห่ง เหมือนยุค 90s มีเพื่อนอินเดียที่ใจดีมาก เราถามศัพท์ไป เขาก็อธิบายให้ หนูจดลงสมุดแล้วท่องทุกเย็น แต่ก็จะมีคนที่เห็นเราคุยไม่รู้เรื่องแล้วไม่คุยด้วย ช่างเขา เรียนที่นั่นต้องพยายามมากหน่อย อยู่ไทยหนูสอบได้ที่ 3 อยู่นั่นที่โหล่ แต่ก็เป็นแรงผลักดันให้พัฒนาตัวเอง
“กว่าจะสื่อสารพอได้ก็ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน ส่วนการเรียนก็ต้องผ่านไป 2-3 เทอมกว่าจะรู้เรื่องเนื้อหาทั้งหมด หนูเรียนที่อินเดียประมาณปีครึ่ง แล้วไปต่อที่นิวซีแลนด์ เหมือนจะสื่อสารง่ายขึ้นใช่ไหมคะ เพราะได้ภาษาอังกฤษแล้ว ปรากฏว่าเราพูดสำเนียงอินเดีย ฝรั่งงง ก็ต้องปรับสำเนียง ตอนที่ไปนิวซีแลนด์ตั้งใจจะเรียนต่อ Year 8-9 พอสอบวัดระดับเขาให้ขึ้นไปเรียน Year 10 กับรุ่นพี่เลย หนูไม่ได้เรียนเก่งนะ แต่การเรียนที่อินเดียเข้มข้นมาก พอไม่มีสิ่งบันเทิง ไม่มีโซเชียลมีเดีย เราก็อ่านหนังสืออย่างเดียว ความรู้เลยแน่น เป็นเหตุให้หนูเรียนเร็ว อายุ 18 ก็เรียนมหา’ลัย ปี 3 แล้ว อยู่นิวซีแลนด์ครึ่งปีก็ต้องกลับไทยเพราะสถานการณ์โควิด-19 และสอบเข้ามหา’ลัยที่ไทยเลยค่ะ”
ถามถึงความสามารถพิเศษด้านกีตาร์คลาสสิกของเธอ เริ่มต้นได้อย่างไร “ตอนแรกหนูอยากเรียนอูคูเลเล่ แต่ครูบอกว่าถ้าเรียนกีตาร์คลาสสิกจะเล่นได้ทุกอย่าง ทั้งกีตาร์โปร่ง กีตาร์ไฟฟ้า แม้แต่อูคูเลเล่ แล้วก็ได้เรียนอ่านโน้ตเพลงด้วย เลยตัดสินใจเรียนกีตาร์คลาสสิก จริงๆ หนูก็ไม่ได้ชอบนะ กีตาร์คลาสสิกต้องฝึกซ้อมเยอะ ไม่ใช่บอกให้เล่นแล้วจะเล่นได้เลย มันมีแบบแผนของนิ้วในแต่ละเพลงที่ต้องทำให้ถูก ช่วงที่เตรียมตัวแข่งขันหนูฝึกซ้อมวันละ 8 ชั่วโมง มีครั้งหนึ่ง พอแข่งเสร็จแล้วก็จะมีโชว์ กีตาร์โปร่งที่โชว์ก่อนหนูคนเชียร์มาก กีตาร์ไฟฟ้าคนดูก็ชื่นชอบ แต่พอถึงคิวหนูเล่นกีตาร์คลาสสิก คนไม่สนใจ เล่นโทรศัพท์กัน เราได้ยินเสียงคนดูคุยกัน หนูเสียความรู้สึกจนไม่อยากเล่นแล้ว เราผิดหวังที่ซ้อมมาหนักแต่คนไม่ฟัง ก็ห่างหายการเล่นไป จนไปเรียนอินเดีย มีครูที่เล่นกีตาร์คลาสสิกแนวเรา เขาก็ปั้นให้เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งสร้างชื่อ ก็ได้ไปแข่งจนถึงเวทีนานาชาติ คะแนนเป็นที่ 3 ของโลก หนูไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีพรสวรรค์ หนูกลับคิดว่าทุกคนก็ทำได้ถ้าฝึกฝน กีตาร์คลาสสิกเหมือนการท่องจำ จบจากอินเดียก็ไม่ได้เล่นแล้วค่ะ”
เอินเอินฝันอยากเป็นศิลปินตั้งแต่ 5-6 ขวบ แต่เพราะอยู่อุบลราชธานี โอกาสจะเข้าถึงการประกวดจึงมีไม่มากนัก ถึงอย่างนั้นเธอก็เคยผ่านเวทีประกวด The Voice Kid มาก่อน แต่ก็ตกรอบไป เวที The Star Idol จึงเป็นเวทีใหญ่ที่เกือบถึงเส้นชัย ทว่าเอินอินก็ต้องตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย พร้อมกับอาการบาดเจ็บระหว่างแข่งขัน “ตอนที่ลงจากเวทีก็เคว้งนะคะ เราจะทำอะไรต่อดี แล้วก็เสียดายอุตส่าห์เข้ารอบลึกขนาดนี้ แต่แม่บอกว่าถึงเอินเอินผ่านเข้ารอบก็ทำโชว์ไม่ได้อยู่ดี เพราะเข่าพลิก เส้นเอ็นลูกสะบ้าขาด ประกาศผลเสร็จอาทิตย์ต่อมาก็ลำไส้อักเสบด้วย ถ้าสมมติเข้ารอบไปอีกต้องร้องสองเพลงเลย แม่บอกว่าเอินเอินลงเวทีแบบนี้สวยแล้ว”
แม้จะไม่ได้เป็นแชมป์ The Star Idol แต่เอินเอินก็มีผลงานให้ติดตามทันที ทั้งซีรีส์ My Sassy Princess เจ้าหญิง 2022 และซิงเกิลเดี่ยว วันนี้ใส่สีอะไร จนมาผลงานละครลัดฟ้าล่าฝัน
“ที่จริงหนูมาไม่ทันแคสต์ด้วยนะคะ หนูติดสอบเลยมาสาย พี่บอยออกจากห้องแล้ว แต่หนูไปขอโอกาสให้ได้ร้อง พี่เขาก็บอกเห็นความสามารถอยู่แล้วจากเวที The Star Idol หนูเลยโพล่งไปว่า แต่หนูร้องเพลงละครเวทีมานะคะ คือหนูเรียนเอกขับร้องละครเพลง พี่บอยเลยให้โอกาสหนูได้แคสต์ ดีนะที่หนูพูดประโยคนั้นออกไป ไม่อย่างนั้นอาจไม่ได้อยู่ในโพรเจกต์นี้
“บทบาทที่หนูได้รับคือ ‘ของขวัญ’ เป็นตัวละครที่ต่างจากหนูเลย ตอนแรกคิดว่าคล้ายกัน น่าจะไม่ยาก ตอนนั้นเรายังไม่เข้าถึงตัวละคร จนได้ไปเรียนการแสดง ครูถามว่า ถ้าเปรียบเอินเอินเป็นสี เอินเอินสีอะไร สีชมพูค่ะ หนูตอบไป แล้วของขวัญล่ะ ชมพูมั้งคะ ผิด ของขวัญเขาเป็นคนนิ่ง มีแพชชันสูง ไม่แข่งกับใคร แข่งกับตัวเอง และมีภาระคือครอบครัวเขาล้มละลาย เขาจึงเป็นผู้หญิงที่ต้องยืนด้วยลำแข้งตัวเอง ซัปพอร์ตครอบครัว สมมติแม่ซื้อตุ๊กตาให้ เอินเอินคงดี๊ด๊า แต่ของขวัญจะปฏิเสธ ไม่มีเวลาสำหรับสิ่งนี้หรอก แค่เล่น 5 นาทีก็เสียดายเวลาแล้ว ถ้าครูติการร้องเพลง เขาจะกระวนกระวายใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ สีของตัวละครนี้จึงค่อนไปทางน้ำเงินเลยค่ะ”
การสวมบทของขวัญ ทำให้เอินเอินได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้น รวมทั้งการทำงานกับผู้กำกับคนสำคัญของประเทศ ‘บอย’ ถกลเกียติ “พี่บอยสอนให้เรานึกถึงใจคน อย่างตอนที่ของขวัญต้องโกรธฉลาม หนูอาจคิดไม่ลึกซึ้ง ก็แค่รู้สึกถึงอารมณ์โกรธ แต่พี่บอยจะให้เรานึกถึงสิ่งดีๆ ที่ฉลามเคยทำให้ ไม่ใช่คิดแต่ตัวเองฝ่ายเดียว พอเขาสอนหนูก็ปรับเปลี่ยนการเล่น และหนูจดจำคำสอนนี้ เวลาโกรธใคร ลองย้อนนึกถึงเรื่องราวระหว่างเราด้วย”
เราถามว่าความมุ่งมั่นที่ทำให้เธอไม่ยอมแพ้นั้นมาจากไหน “คงเป็นความสุขมั้งคะ หนูชอบดูผลงานตัวเอง ดูคลิปวิดีโอตัวเอง ดูรูปภาพตัวเอง ดูได้ทั้งวันไม่เบื่อ เป็นความรู้สึกว่าเราทำสำเร็จ เราทำได้ และหนูโชคดีที่มีพ่อแม่สนับสนุน มีเพื่อนที่คอยช่วยเหลือ มีแฟนคลับที่ติดตาม หนูจึงอยากทำทุกงานให้ออกมาดีค่ะ” ส่วนความฝันที่หวังไว้ เอินเอินบอกอย่างเขินๆ ว่า อยากมีซิงเกิลที่เป็นเพลงเต้นสไตล์ T-Pop บ้าง
‘ไดร์ม่อน’ ณรกร ณิชกุลธนโชติ
ไดร์ม่อนมาจากการประกวดเวทีเดียวกับบอส นั่นคือ Laz Icon ทว่าเขาคือหนึ่งในผู้ชนะ และได้เดบิวต์เป็นบอยแบนด์นาม LAZ1 ออลฯ เคยมีโอกาสสนทนากับหนุ่มๆ ทั้งห้าแล้ว ขณะนั้นไดร์ม่อนอายุ 16 ปี มาวันนี้เราเจอเขาอีกครั้งในวัย 17 ย่าง 18 ปี ที่โตขึ้น และคุ้นชินกับการทำงานในวงการบันเทิงมากขึ้น เราเลยไถ่ถามถึงวง LAZ1 ซึ่งครบกำหนดเวลาหนึ่งปีที่ทำกิจกรรมร่วมกัน และทุกคนต้องแยกย้ายไปตามเส้นทางของตน
“อย่างที่ทุกคนรู้ว่าพี่ๆ ในวง LAZ1 เป็นคนคุยเก่ง ตอบคำถามให้สัมภาษณ์เก่ง พอผมทำงานคนเดียวก็ต้องปรับตัว” ไดร์ม่อนเล่าถึงบรรยากาศการสัมภาษณ์ที่ปราศจากพี่ๆ ซึ่งคอยช่วยตอบคำถาม เพราะน้องเล็กของวงยังไม่ถนัดและติดประหม่าอยู่เสมอ “ผมต้องพูดให้เก่งขึ้น นำสิ่งที่เห็นจากพี่ๆ มาใช้ ตอนนี้ก็ไม่ตื่นเต้นเท่าเมื่อก่อนที่เวลาใครมาสัมภาษณ์ก็จะตอบตะกุกตะกักครับ”
จะมีโอกาสได้เห็นหนุ่มๆ มารวมตัวไหม เราตั้งคำถามต่อ “ผมไม่ทราบครับ มีปัจจัยหลายอย่าง แต่ผมยังไปมาหาสู่พี่ๆ อยู่เลย พี่ๆ ก็มีโพรเจกต์ของแต่ละคน”
หนึ่งปีกับ LAZ1 คือประสบการณ์อันมีค่าสำหรับเขา “สิ่งที่ผมได้มากที่สุดคือความสุข เราได้แสดงบนเวทีกับพี่ๆ ได้พัฒนาทักษะให้เก่งขึ้น แล้วเรายังได้สร้างความสุขให้แฟนคลับ ผมว่าช่วงเวลาที่เราห้าคนอยู่ด้วยกันพิเศษจริงๆ เราเหมือนครอบครัวเดียวกัน มีอะไรก็ปรึกษากัน นอกจากความสุขแล้วผมก็ได้ครอบครัวอีกครอบครัวครับ
“ช่วงเวลาใกล้สิ้นสุดความเป็น LAZ1 ใจหายแบบบอกไม่ถูก เราอยู่ด้วยกันมาหนึ่งปีแล้ว และเราก็อยากอยู่ด้วยกันไปอีกนานๆ เพราะเราทั้งหมดมีความฝันเดียวกัน ก็แอบน้อยใจ ทำไมเป็นอย่างนี้นะ ผมก็คุยกับพี่ๆ ว่าถ้าเกิดจากกันจริงๆ จะคิดถึงกันไหม และก็อดใจหายนะพอคิดว่า ภาพหรือคลิปเราห้าคนในนาม LAZ1 กำลังแสดงบนเวทีจะค่อยๆ ลดน้อยลง ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่ด้วยเงื่อนไขก็ต้องยอมรับ”
ไดร์ม่อนเข้าร่วมการแคสติงละครลัดฟ้าล่าฝันเช่นเดียวกับนักแสดงคนอื่น ทว่าบทบาทที่เขาเตรียมไว้คือบท ‘สกาย’ “ผมแคสต์บทสกายวันแรก เตรียมใจไปพร้อมเลย หวังสูงเพราะทำการบ้านมาอย่างดี พอวันที่สองเขาก็ให้ลองสวมบท ‘ฉลาม’ อึ้งไปเหมือนกัน จะทำได้ไหม เราเตรียมแต่บทสกายมา ผมก็ลองดูสักตั้ง ฉุกคิดว่านักแสดงต้องเล่นได้ทุกบทสิ ปรากฏว่าก็ได้บทฉลาม
“ตัวละครฉลามอาจเป็นด้านมืดของผม คือฉลามเป็นคนสุขุม นิ่งๆ อารมณ์ร้อนง่าย ใครมากวนหน่อยเขาหัวร้อนใส่แล้ว ถ้าเปรียบเทียบเป็นสัตว์ก็คือแมงกะพรุน มองแล้วสวย แต่พอยื่นมือไปสัมผัสเราก็จะบาดเจ็บ เป็นสัตว์ที่ดูได้แต่ห้ามโดน ฉลามต่างจากตัวผมตรงที่ผมไม่หน้าตึง กัดกรามตลอดเวลาขนาดนั้น ส่วนด้านที่เหมือนกัน เราทั้งคู่ทำตามความฝันเพื่อแม่ สิ่งที่ท้าทายที่สุดสำหรับผมคือซีนดราม่า ผมก็รู้สึกนะแต่แค่ไม่ร้องไห้ อย่างน้อยก็มีน้ำตาคลอแหละ ปลอบใจตัวเอง (หัวเราะ)”
ไดร์ม่อนก็ได้แง่คิดจากพี่บอยด้วยเช่นกัน “พี่บอยสอนว่าถ้าร้องเพลงแบบไม่รู้สึกถึงสิ่งที่ร้อง ก็เป็นการร้องทั่วไป แต่ถ้าเราเข้าใจคำที่สื่อสาร ร้องด้วยอินเนอร์ มันจะส่งถึงคนฟังได้มากกว่า เป็นคำที่ผมจดจำไว้ตลอด”
สิ่งที่ประทับใจในโพรเจกต์ลัดฟ้าล่าฝันสำหรับเขา คือการทดแทนวัยเรียนที่หายไป “เรื่องนี้เหมือนผมได้ไปโรงเรียน กลับไปใช้ชีวิตวัยเรียนที่หายไปอีกครั้ง ได้เจอเพื่อน แชร์ประสบการณ์ แต่ละคนก็มีทักษะที่โดดเด่นแตกต่างกัน เลยได้แลกเปลี่ยนความรู้ทั้งดนตรีและการแสดง สนุกดีครับ”
ความฝันที่อยากเป็นศิลปิน ทำงานในวงการบันเทิง วันนี้สำเร็จแล้ว ความฝันถัดไปของหนุ่มคนนี้ เจ้าตัวยังเขินที่จะแย้มพราย แต่ใบ้ว่าเป็นด้านการแสดง เราถามเขาถึงงานด้านดนตรีว่า ยังอยากเป็นบอยแบนด์หรือเป็นศิลปินเดี่ยว “ที่จริงผมอยากทำเพลง ไม่จำกัดเลยว่าจะเดี่ยวหรือกลุ่ม จะเบื้องหน้าหรือเบื้องหลัง ขอแค่ได้ทำเพลงก็ชอบหมดครับ”
คอลัมน์: เรื่องจากปก4