อันที่จริงคนเขาอยากให้เราดี แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้
จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน
(พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ)
เรื่องนี้โยมว่าจริงไหม ละเอาไว้ก่อนนะโยม ขอเจริญพรทุกท่าน พระมหาสมปองมาแล้ว ฉบับนี้อาจจะแปลกไปนิด เพราะเริ่มด้วยคำถาม กับบทประพันธ์ของพลตรี หลวงวิจิตรวาทการ
มันก็เป็นความจริงของโลกนะโยม รัก เกลียด ชม ด่า สรรเสริญ นินทา
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว บางคนเห็นคนอื่นได้ดีเป็นไม่ได้ หมั่นไส้ ทั้งๆ ที่บางครั้งไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่หมั่นไส้แบบไม่มีเหตุผล ที่จริงคนเรามีความอิจฉาริษยากันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นโยมหรือพระก็มีเหมือนกัน ตราบใดที่ยังไม่สิ้นกิเลสตัณหา ตัณหาในทางดีก็มีนะโยม เช่นอยากให้ครอบครัวมีความสุข อยากให้ความรักมั่นคง อยากให้ลูกเป็นคนดี อยากให้งานเจริญก้าวหน้า แบบนี้ก็เป็นตัณหาฝ่ายดี ที่กระตุ้นให้เราพัฒนาตนเอง
แต่ตัณหาฝ่ายชั่วนี่สิ จะคอยสกัดกั้นความเจริญก้าวหน้า ทำให้เรามีความอยากในทางที่ผิด ทำให้ชีวิตมืดมิด เมื่อมีมากก็ทุกข์ใจ เกิดอิจฉาริษยา เห็นคนอื่นได้ดีเป็นไม่ได้ และคนแบบนี้จะมีนิสัยอย่างหนึ่ง ชอบรู้เรื่องชาวบ้าน มีใครเข้าข่ายนี้ไหมโยม
โยมทั้งหลาย บางคนชอบเพ่งเล็งคนอื่น จับผิดแต่คนอื่น จนลืมว่าหน้าที่ของตนเองคืออะไร เรามาดูสิว่าเราทำหน้าที่ตนเองดีหรือยัง
ถ้าใจของเรามีธรรมะ เมื่อเรามองเห็นคนอื่นได้ดี มีความสุข เราก็ต้องยินดีกับเขาด้วย เห็นคนอื่นเจริญก้าวหน้า รุ่งเรืองในหน้าที่การงาน เราก็ดีใจกับเขาด้วย และให้ย้อนมองตัวเองว่า คนอื่นเขาเจริญก้าวหน้าได้ เขาทำให้ชีวิตมีความสุขได้ เราก็ทำได้เหมือนกัน เอาความอิจฉาริษยาในทางลบ มาทำให้เป็นบวก มาเป็นแรงกระตุ้นให้เราเจริญก้าวหน้าเหมือนกับเขา
หรือถ้าเราจะโกรธจะเกลียด ก็ท่องให้ขึ้นใจว่า ไม่มีใครควรค่าแก่การเกลียด โกรธเขาเหมือนจุดไฟเผาใจตนเอง ก่อนที่คนอื่นจะร้อน เราร้อนก่อนเป็นเท่าตัว
โยมทั้งหลาย การให้อภัยไม่อาจเปลี่ยนแปลงอดีตได้
แต่การให้อภัยนั้น อาจเปลี่ยนอนาคตได้
เพราะคนที่เคยหลงผิด ทำผิด เมื่อได้รับการให้อภัยด้วยใจที่เมตตาปรารถนาดีเป็นที่ตั้ง ก็อาจทำให้ชีวิตที่เหลืออยู่ของใครคนนั้นพบแสงสว่างในทางดำเนินชีวิตได้
เราเกิดมาในโลกนี้ก็เป็นทุกข์อยู่แล้ว แล้วเราจะเพิ่มทุกข์ด้วยความอิจฉาริษยากันไปทำไม เราพลอยยินดีและมีสุขกับเขาด้วย จะดีกว่าไหม
ที่อาตมาให้ทำแบบนี้ เพราะว่าชีวิตนี้มันสั้น เราอย่าเสียเวลากับการจับผิดคนอื่น อย่าเสียเวลากับความอิจฉาริษยา เพราะทุกคนล้วนกำลังเดินหน้าไปสู่ความตายกันทั้งนั้น อยู่ที่ว่าใครจะถึงก่อน หรือหลัง
ความตายนี้เป็นกลาง เป็นธรรมที่สุด เพราะจนก็ตาย รวยก็ตาย สวยก็ตาย หล่อก็ตาย ขี้เหร่ก็ตาย ป่วยก็ตาย สุขภาพดีก็ตาย ไม่มีใครไม่ตาย
ยิ่งตอนนี้ประเทศของเรากำลังแย่ เรายิ่งต้องช่วยกันแก้ อย่ามั่วแต่จับผิดคนอื่น เอาเวลาที่เราไปนินทาหรือจับผิดคนอื่น มาช่วยกันแก้ปัญหาดีกว่า อาตมาเองก็โดนเยอะ แต่ไม่เป็นไร เราก็ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ช่วยเหลือโยมที่เดือดร้อนให้ได้มากที่สุด แค่นี้ไม่ปังยังไงไหว โยมว่าจริงไหม
ในสถานการณ์แบบนี้ สิ่งที่เห็นจนคุ้นตาคือ แอลกอฮอล์ล้างมือกับหน้ากากอนามัย เวลาไปไหนมาไหนต้องมีไว้ ฉีดทุกที่ ล้างทุกครั้ง เหมือนผู้โดยสารคนหนึ่งขึ้นแท็กซี่ แล้วก็หยิบแอลกอฮอล์มาฉีด พลางกล่าวแก่คนขับว่า ขอโทษนะคะพี่ กลิ่นอาจจะฉุนนิดหนึ่ง แต่เพื่อความปลอดภัยค่ะ คนขับก็ตอบอย่างสุภาพว่า อ๋อ ไม่เป็นไรครับ จมูกผมไม่ได้กลิ่นมาหลายวันแล้ว
โยมทุกท่าน พระพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ตั้งอยู่เป็นธรรมดา และดับไปเป็นธรรมดา พูดง่ายๆ คือทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ทุกอย่างหมุนเวียนตามกฎของธรรมชาติ เราไม่สามารถบังคับกฎของธรรมชาติได้ แต่เราสามารถเรียนรู้ให้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงได้
เราจะมาเรียนรู้ความเปลี่ยนแปลงเพื่อยอมรับและทำใจให้รู้เท่าทัน
เราจะมาเรียนรู้ความพลัดพรากความเสียใจเพื่อเข้าใจถึงการปล่อยวาง
เราจะมาเรียนรู้ความคิดต่างเพื่อความเข้าใจและรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น
เราจะมาเรียนรู้ความเหินห่าง เพื่อรู้ถึงคุณค่าของเวลา และการรอคอย
โลกสอนมนุษย์ว่า ทุกสิ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลง แต่คนเราส่วนใหญ่กลับสอนให้ผูกพัน มีแต่พุทธเจ้าเท่านั้นที่สอนความจริง สอนให้เข้าใจโลก สอนให้รู้เท่าทัน เจริญพร
คอลัมน์: ธรรมะอมยิ้ม
เรื่อง: พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต
ภาพ: ขวัญญาณี ศิรธนอนันต์