โครงกระดูกแม่มด สุขฆาตกรรมแห่งความรัก: ฆ่าทั้งรัก ฆ่าเพราะแค้น
“เจน จิ” ผู้เขียนนิยายเรื่อง โครงกระดูกแม่มด สุขฆาตกรรมแห่งความรัก เป็นนักเขียนรุ่นใหม่ที่มีฝีมือจัดเจนทั้งๆ ที่เขียนหนังสือมาไม่กี่เล่ม ผู้เขียนเป็นผู้หญิง เขียนเรื่องผู้หญิง ดังนั้นจึงมีแนวคิดในการวิพากษ์บุรุษแบบสตรีนิยมเสรีอยู่ด้วย แกนเรื่องที่สอดร้อยตัวละครผู้หญิงทั้งหลายในเรื่องเข้าด้วยกันอย่างมีเอกภาพ คือ ความชั่วร้ายของผู้ชาย ทั้งนอกใจ เอาเปรียบ ปอกลอก ทำร้ายร่างกายและจิตใจ อันเป็นโทษสมบัติของมนุษย์เพศชายตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ดังที่ “เจน จิ” ได้ยกวรรณคดีไทยโบราณมาวิพากษ์พฤติกรรมของตัวละครชายเทียบเคียงไปกับพฤติกรรมของตัวละครในนวนิยายของเธอ อันนับว่าเป็นจุดเด่นของกลวิธีนำเสนอและเผยความเป็นนักอักษรศาสตร์ของผู้แต่งที่อ่านวรรณคดีมามากและอ่านอย่างคนรุ่นใหม่ที่ตั้งคำถามพร้อมทั้งแสดงความเห็นแย้ง จากแกนเรื่องนี้ ผู้หญิงทุกคนในนวนิยายเรื่องโครงกระดูกแม่มด สุขฆาตกรรมแห่งความรัก จึงต้องการ “ฆ่า” ผู้ชายที่สร้างความทุกข์แก่พวกเธอ ฆ่าทั้งรัก ฆ่าเพราะแค้น
นวนิยายเรื่องนี้เขียนในแนวลูกผสม ปนกันทั้งแฟนตาซี (fantasy) ทั้งเรื่องลึกลับและอาชญากรรม (mystery & crime) ทั้งนวนิยายชีวิต และมีกลิ่นอายของตะวันออกผสมตะวันตก แล้วยังใช้เทคนิคเล่าเรื่องซ้อนเรื่องเล่าอีกในบางตอน ส่วนเนื้อหาก็เป็นลูกผสมอย่างที่ผู้เขียนกล่าวไว้ในคำนำว่า นอกจากเรื่องฆาตกรรมแล้ว ยังมีเรื่องความรักแสนหวาน คุณค่าของการอ่าน บรรยากาศอบอุ่นของร้านหนังสือ แรงบันดาลใจจากบทกวี วรรณคดีและนวนิยายรุ่นคลาสสิค ฯลฯ ด้วยเหตุนี้นวนิยายเรื่อง โครงกระดูกแม่มด สุขฆาตกรรมแห่งความรัก จึงเปิดเรื่องที่ร้านหนังสือชื่อ โครงกระดูกแม่มด เจ้าของร้านเป็นหญิงวัย 60 ใบหน้าเรียวเล็กคางแหลมจมูกงองุ้ม ผมสีเงินยวง สวมชุดดำ ทาปากแดง เป็นภาพแม่มดในนิยายฝรั่งชัดๆ แม่มดในนิทานมีเวทมนตร์ ส่วนแม่มดในนวนิยายเรื่องนี้มีปัญญาที่ได้มาจากการอ่านมาก ตีความแตก และสามารถสร้างแรงบันดาลใจหรือพูดให้ทันสมัยต้องบอกว่าเธอเป็นอินฟลูเอนเซอร์ (influencer) ที่สามารถชี้แนะทางออกให้แก่คนที่ตกในห้วงทุกข์ แถมในร้านของเธอยังมีโครงกระดูกนั่งอ่านหนังสือ หญิงชราแนะนำว่าโครงกระดูกนั้น คือ ศัลยา ใครอ่านนวนิยายของดอกไม้สด นักเขียนรุ่นบุกเบิกของไทยจะเข้าใจได้ดีว่า เธอคือศัลยา ตัวละครผู้สิ้นชีวิตเพราะพลาดรักจากนวนิยายเรื่อง นี่แหละโลก โครงกระดูกศัลยาจึงเป็นจุดเล็กๆ อีกจุดหนึ่งที่ประกอบเรื่องให้มีเอกภาพ แกมประชดว่าคนที่ยังอ่านหนังสืออยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวรรณคดีและงานคลาสสิค ก็คงมีแต่พวกที่ตายไปแล้ว เพราะคนสมัยใหม่เขาเสพความบันเทิงและข้อมูลความรู้จากแหล่งอื่น
“ทำยังไงจะฆ่าคนได้” เป็นประโยคเปิดเรื่องที่ “ปัง” ชวนให้ติดตาม ประโยคคำถามจากความคับแค้นใจถึงที่สุดนี้หลุดจากปากของ นัน สาวผมแดงต่อหญิงชราเจ้าของร้านหนังสือที่ตอบเธอว่า “อ่านหนังสือ” แล้วเชื้อเชิญให้เธอเข้าไปในร้าน นันจึงทำงานในร้านหนังสือของแม่มดผมสีเงินเพื่อหา “หนังสือของเธอ” ให้พบ หลังจากนั้นก็มีหญิงสาวอีกหลายรายที่โดนพิษของความรักทำร้ายจนบอบช้ำก้าวเข้ามาในร้านหนังสือ ทุกคนได้เลือกหาหนังสือไปอ่านหรือฟังเรื่องราวในหนังสือจากคำบอกเล่าของแม่มด จากนั้นแต่ละคนก็ได้ “แนวคิด” และพบแนวทางในการแก้ไขปัญหาของตัวเอง อย่างเช่น ลำเภา ผู้ถูกสามีบังคับให้อุ้มลูกเร่ขายยาเสพติด และยังทำอุบาทว์ข่มขืนลูกสาววัยสองขวบ อันเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ลำเภาหมดความอดทน และเลิกกลัวอำนาจของสามี เธอจึงฆ่าเขาและทำลายศพอย่างแนบเนียน ตามที่แม่มดบอกว่า “การฆ่าคนไม่ให้ถูกจับ ประเด็นหลักคือทำลายหลักฐาน” ฟาง ผู้หญิงที่ถูกสามีปอกลอกและนอกใจจนสติแตก แต่ด้วยแรงบันดาลใจจากหนังสือที่แม่มดเลือกให้ เธอพบวิธีจัดการกับสามีตัวร้ายโดยทำให้เขาตายทั้งเป็น ดังที่แม่มดบอกว่า “ไม่ฆ่าก็ตายได้ มันขึ้นอยู่กับเทคนิค” จินตะหรา ฆ่าตัวตายหลังสามีบอกเลิกราแล้วไปอยู่กับผู้หญิงคนใหม่ แต่ร่างที่หล่นจากชั้นสามกลับตกลงบนตัวของสามีพอดิบพอดีราวกับคำนวณไว้ เขาตาย แต่เธอรอด ความบังเอิญนี้ทิ้งปริศนาให้ครุ่นคิดว่าเป็นฆาตกรรมโดยเจตนาหรือไม่เจตนา บุษบรรณ กำลังจะเลื่อนตำแหน่งจากเมียน้อยเป็นเมียหลวง เพราะหลังจากมนตรีมีลูกกับเธอ เขาก็บอกเลิกกับจินตะหรา แต่เมื่อมนตรีตาย บุษบรรณก็สูญสิ้นทุกอย่าง เรื่องของบุษบรรณเปิดประเด็นถกเถียงเกี่ยวกับเมียหลวงเมียน้อย ผ่านความคิดเห็นของแม่มด นัน และบุษบรรณ ผู้แต่งชี้ให้เราเห็นว่านางเอกในวรรณคดีไทยเรื่องสำคัญๆ มีสถานะเหมือน “เมียน้อย” เพราะเป็นผู้มาทีหลัง แต่นางเอกเหล่านั้นก็ประสบเคราะห์กรรมต่างๆ กันกว่าชีวิตรักจะเป็นสุข จารีตค่านิยมของสังคมทำให้ “เมียน้อย” กลายเป็นนางร้าย ทีมเชียร์เมียน้อยกับทีมเข้าข้างเมียหลวงจึงปะทะกันไม่รู้จบ ทั้งๆ ที่ตัวการสำคัญคือสามี
ฆาตกรรมสามีเรื่องเด่นอีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องราวของผู้หญิงสี่คน ในฉายา ยักษ์ เงือก ราชินี และเจ้าหญิง บอกเล่าโดยนายตำรวจที่สืบคดีฆาตกรรม ซึ่งภรรยาสี่คนตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าคนใดคนหนึ่งอาจจะสังหารสามีจอมเจ้าชู้ ตำรวจไม่พบแรงจูงใจและวิธีการฆ่า แต่สงสัยว่าแม่มดมีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะผู้หญิงทั้งสี่คนมาที่ร้านหนังสือโครงกระดูกแม่มดเป็นประจำและทุกคนมีหนังสือวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณีอยู่ในมือ สุดท้าย แม่มดเป็นผู้เฉลย “แรงจูงใจ” ที่เป็นต้นเหตุของการคบคิดกันก่อฆาตกรรม ซึ่งก็หนีไม่พ้นว่าพวกเธอเหล่านั้นล้วนเป็นผู้ถูกกระทำ จึงต้องฆ่าทั้งรัก
ตัวละครผู้หญิงทั้งหลายในนวนิยายทั้งที่มีชื่อและไม่มีชื่อ บ่งชี้ว่ามีที่มาจากตัวละครในวรรณคดีมรดกที่รู้จักกันเป็นอย่างดี แสดงให้เห็นความจงใจของผู้เขียนที่จะเชื่อมต่อวรรณคดีโบราณกับโลกปัจจุบัน และให้เห็นว่าปัจจุบันคือภาพสะท้อนของอดีต และเป็นภาพเสนอของอนาคต
ถ้าไม่มีเรื่องฆาตกรรมสามีของแม่มดผมสีเงินและนันสาวผมแดง ตัวละครอีกสองตัวในเรื่อง นวนิยายเรื่องนี้ก็ไม่สามารถจบบริบูรณ์ลงได้
แท้ที่จริงแม่มดคือคุณหญิงผู้เป็นเมียหลวงของท่านนายพลที่หลงเมียน้อยวัยกระเตาะ (อ่านแล้วนึกถึงเรื่องจริงที่เป็นข่าวกระฉ่อนเมือง) เธอกดดันเขาทุกวิถีทางทั้งอายัดทรัพย์สิน ทั้งใช้สื่อสังคมออนไลน์เรียกความเห็นใจจากทีมเมียหลวง เขาจึงต้องฆ่าเธอเท่านั้นจึงจะได้ทุกอย่างที่ปรารถนา เธอหนีไปซ่อนตัว แต่ในที่สุดเขาก็ตามเธอจนพบและฆ่าตายอย่างอุกอาจโหดเหี้ยม ทว่านั่นเป็นแผนการที่แม่มดวางไว้ เพื่อยืนยันอำนาจแม่มดของเธอว่าเธอเลือกที่จะตายเอง และไม่เลิกล้มการแก้แค้น หลังจากนั้นไม่นานท่านนายพลก็สิ้นชีวิตโดยไม่มีผู้ใดทราบสาเหตุ ยกเว้นคุณหญิงแม่มดที่เขียนเล่าแผนการว่าเธอฆ่าสามีให้ตายช้าๆ ด้วยยาพิษ โดยยืมมือเมียน้อยและแม่บ้านที่เห็นแก่เงิน
ส่วนนันสาวผมแดงที่ยอมทำแท้งตามความต้องการของสามี แต่เขากลับนอกใจและขับไล่เธอออกจากบ้าน เธอจึงหาวิธีแก้แค้นสามีและเพื่อนสนิท และตอบแทนอย่างสาสมด้วยมีดและยาพิษ เธอได้แรงบันดาลใจจากวิธีฆ่าตัวตายของโรเมโอและจูเลียต ตัวละครเอกในวรรณคดีคลาสสิคของโลก เพียงแต่นันไม่ยอมเป็นจูเลียต หญิงสาวผู้บูชาความรักอีกต่อไป
ตัวละครหญิงในนวนิยายเรื่องโครงกระดูกแม่มด สุขฆาตกรรมแห่งความรัก ประสบปัญหาอย่างเดียวกันคือสามีนอกใจ อันเป็นปัญหาอมตะของชีวิตครอบครัว ซึ่งสะท้อนอยู่ในวรรณคดีโบราณมาจนถึงวรรณกรรมร่วมสมัย ภาพเสนอนี้ก็ยังตอกย้ำซ้ำเดิมจนกลายเป็นภาพลักษณ์ที่แสดงอำนาจของผู้ชาย และความอ่อนแอของผู้หญิงที่วางใจว่าความรักจะร้อยรัดหัวใจของคนที่เธอรักไว้ได้ตลอดกาล แต่ความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ดังข้อความกินใจตอนหนึ่งที่ “เจน จิ” กล่าวว่า
เมื่อตกหลุมรัก เธอปล่อยมือจากสิ่งที่ยึดอยู่ และปล่อยให้ตัวร่วงหล่น…สู่อ้อมแขน
ของใครสักคน และเชื่อว่าเขาจะกอดเธอไว้ ไม่ใช่แค่เพียงชั่วขณะ แต่ตลอดไป เธอกล้าเสี่ยง
ที่จะตกสู่พื้นแม้ว่าร่างจะแหลกเหลว เธอร่วงหล่นและร่วงหล่น…แล้วเธอก็แหลกเหลว ไม่มี
ใครอยู่ที่นั่น (คำโปรย)
ผู้หญิงต้องบอบช้ำเพราะผู้ชายหมดรัก ถึงกระนั้นพวกเธอก็อดทนด้วยข้ออ้างนานัปการ การลุกขึ้นปฏิวัติตัวเองอาจจะเป็นเพียงหนทางเดียวที่ช่วยเยียวยาจิตใจได้ ฆาตกรรมสามีในนวนิยายเรื่องนี้จึงเป็นการแก้แค้นที่ผู้หญิงทำไปเพื่อตอบโต้อำนาจของผู้ชาย และเปลี่ยนความกลัวในหัวใจของเธอให้กลายเป็นความกล้า กล้าสู้ กล้าตอบโต้ กล้ายืนหยัด กล้าเป็นผู้กระทำ ก็เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
คอลัมน์: เชิญมาวิจารณ์
เรื่อง: ศ.ดร.รื่นฤทัย สัจจพันธุ์